“ท็อป ดารณีนุช” ควงลูกชายเปิดใจหย่าสามี “อู๋ กฤต” ลั่นเป็นปัญหาสะสม ไม่เสียใจ ไร้น้ำตา ไม่เสียดายเวลา 20 กว่าปี เชื่อที่ผ่านมา “ทุกข์มากกว่าสุข” ด้านอดีตสามีไม่ยุ่งเรื่องสินสมรส ส่วนตนยกธุรกิจน้ำตาลสดให้ตั้งตัว
หลังจากสร้างความรู้สึกช็อกใจแก่แฟนๆ ด้วยการออกมาเปิดใจว่าได้ตัดสินใจหย่าขาดจากสามี “อู๋ กฤต โพธิปิติ” เป็นเวลาปีกว่าแบบเงียบๆ โดยสาเหตุที่ไม่ออกมาเปิดเผยเพราะไม่อยากให้กระทบกระเทือนความรู้สึกของลูกชายทั้ง 2 คน จนตอนนี้ลูกสามารถทำใจยอมรับเรื่องหย่าได้แล้ว โดย “ท็อป ดารณีนุช โพธิปิติ” ได้ตัดสินใจชี้แจงสาเหตุของการหย่าร้างกลางรายการ “น้ำผึ้งพระจันทร์” พร้อมควงลูกชาย “กัส กฤณ โพธิ์ปิติ” และ “แก๊งค์ ติณห์ โพธิปิติ” มาร่วมเผยถึงเรื่องดังกล่าว ณ สตูดิโอมูนสตาร์ ซึ่งท็อปเผยว่าเป็นปัญหาสะสม โทษตัวเองบกพร่อง บอกไม่อยากเกลียดกันไปมากกว่านี้ จึงตัดสินใจหย่า ด้านลูกทั้งสองคนเคารพการตัดสินใจของตน
“ต้องบอกว่ามันเป็นปัญหาสะสมนะคะ มันก็ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ เรื่องบางเรื่องมันก็เหมือนมีคำถามว่าทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้หลายๆ เรื่องน่ะค่ะ ก็เหมือนกับทำให้เราหมดใจลงไปเรื่อยๆ พอมันมีช่องว่าง ไม่เข้าใจกัน ก็ไม่อยากจะเห็นหน้า ไม่อยากจะคุยกัน มันก็หมดใจ หมดรัก มันเหมือนหมดอายุน่ะค่ะ อาจจะเรียกว่าหมดศรัทธาในกันและกัน คิดว่านั่นคือสาเหตุสำคัญเลย คือคนเราไม่ต้องลุกขึ้นมาเก่งสมบูรณ์แบบหรอก แต่คิดว่าถ้าคนเรามีหน้าที่มีความตั้งใจในการที่จะดูแลอะไรต่างๆ เราก็เชื่อว่าคงไม่เสียศรัทธากัน”
“ก็ต้องบอกว่า 20 กว่าปี มันก็อาจจะมีเรื่องราวอะไรต่างๆ ทั้งดีและไม่ดีนะคะ มันอาจจะมีเรื่องทุกข์มากกว่าสุข เราเองก็รอให้ลูกเติบโตพอที่จะรับเรื่องต่างๆ ได้ เราไม่ได้แต่งงานเพื่อจะมีเป้าหมายว่าจะหย่าร้างหรอกค่ะ เราก็มีเป้าหมายว่าจะทำชีวิตครอบครัวให้มีความสุข แต่ถ้าเราไปกันต่อมันก็ไม่ใช่แล้วล่ะ และชีวิตที่เหลือมันก็ไม่ได้อยากจะใช้ร่วมกันกับคนๆ นี้ เราก็เลยตัดสินใจว่าเราจะทำยังไง เราไม่ได้ตัดสินใจสายฟ้าแล่บปุบปับนะคะ แต่เมื่อมันต่อไม่ติดแล้วเราค่อยมาหันดูว่าลูกเราเป็นยังไง คนรอบๆ เป็นยังไง และค่อยเริ่มพูดกับเขา ทั้งกับตัวสามีเองก็ปรับความเข้าใจกันมันก็ไม่รอด และในเมื่อมันไม่รอดและลูกเราโตรับได้แล้ว เราก็เลยตัดสินใจว่าแยกกันดีกว่า อย่างหนึ่งก็คือถ้ามีชีวิตคู่อยู่กันต่อไปและเราสะสมความรู้สึกเกลียดชังต่อกัน สะสมความรู้สึกที่ไม่ดี เดินออกไปข้างนอกบ้านแล้วพูดว่าแฟนอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็อายปากเรา เราก็เลยรู้สึกว่างั้นเลิกกันไปดีกว่า เราอิสระกันทั้งคู่”
เผยตัดสินใจหย่าเพื่อความรู้สึกแฟร์กันทั้งสองฝ่าย ไม่อยากเกลียดกัน
“มันอาจจะเป็นปัญหาที่บางเรื่องมันเป็นเรื่องนามธรรมน่ะค่ะ มันจะพูดออกมาว่าเธอไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้มันก็ไม่ถูก เราก็บอกกับเขาว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ เธอเป็นคนทำ และทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตฉัน ฉันเป็นคนทำ เราก็ไม่ได้โทษเขานะ และทุกคนเราก็เลือกหมดทั้งนั้นแหละ เธอเลือกทำในสิ่งนั้น เธอเลือกทำในสิ่งนี้ เธอเลือกทั้งนั้น ฉันก็ได้เลือกแล้วว่าฉันไม่รับมันนะ ฉะนั้นก็รู้สึกว่ามันก็แฟร์ทั้งสองฝ่าย และเราก็ไม่ได้เป็นคนที่สมบูรณ์แบบ เราก็บอกเขาว่าเราไม่ได้ต้องการความรักที่มันสมบูรณ์แบบหรอก แต่เป็นความรักที่อบอุ่น อยู่ด้วยแล้วมีความแข็งแรง แข็งแรงในการที่เรามีกำลังใจ แต่ถ้าเราไม่ได้ตรงนั้นก็รู้สึกว่าเราจะอยู่ไปเพื่ออะไร ถ้าเราจะอยู่เพื่อลูกเราก็อยู่โดยที่อิสระทางใจเรา โดยที่เราไม่ได้รู้สึกว่าเธอเป็นนั่นเป็นนี่ อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้อยากเกลียดกันน่ะค่ะ”
“หย่าไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2556 คุยกันก่อนหน้านั้นก็คุยเป็นระยะๆ ค่ะ คุยอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนกับใจมันก็วางลงแล้วทั้งคู่ว่าเป้าหมายเราคือเรื่องหย่าล่ะ มันก็เช็กใจตัวเองกันด้วยว่าพูดไปด้วยอารมณ์หรือเปล่า แต่พออยู่กันไปต่างคนต่างก็ไม่เอาแล้วล่ะ ตอนนี้ยังอยู่ด้วยกันค่ะ อยู่ด้วยกันก่อนประมาณสักปีหนึ่งน่ะค่ะ แต่ตอนนี้ก็แยกกันไป เขาก็กลับไปอยู่ของเขา แต่ก็ยังติดต่อกันค่ะ เรื่องน้ำตาลสดอะไรของเขาน่ะค่ะ เราก็ซื้อเขา แล้วก็หาตลาด เวลาที่เขามีงานตลาดดาราก็ทำเป็นในชื่อเรา แล้วให้เขาไปขาย คือไม่ใช่ว่าเกลียดกัน ไม่มองหน้า แต่เรายังช่วยเหลือกันค่ะ”
“จริงๆ ก็ไม่เชิงว่าเป็นงานคู่ติดต่อมาจนต้องยอมออกมาบอก แต่มันจะมีหลายๆ อย่าง ก่อนหน้านี้ก็จะมีพิธีกรด้วย บางทีเราก็ไม่รู้จะพูดยังไง เราก็อึดอัด พอรายการนี้เขาถามถึงสถานะในเรื่องชีวิตครอบครัว เราก็เลยบอกว่าจริงๆ เราเลิกกันแล้ว น้องเขาก็บอกว่าอ้าวเหรอครับ ยังไง ก็คุยรายละเอียดกัน เขาก็ถามว่าเราเปิดเผยได้ไหม เราก็บอกว่าได้ ก็เลยเป็นเหตุให้เขาชวนนักข่าวมา (ยิ้ม)”
ยันปัญหาเกิดจากคนสองคนไม่ใช่มือที่สาม แต่สถานะเลิกกันแล้ว อีกฝ่ายจะมีใครใหม่ไม่ใช่เรื่องผิด
“ไม่ใช่หรอก คือถ้าเกิดมือสองมือมันจับกันแน่น มือที่สามยังไงมันก็เข้ามาไม่ได้อยู่แล้ว ปัญหามันจะต้องเกิดจากคนสองคนก่อน และจริงๆ เราเลิกกันไปปีกว่าแล้ว แต่หลังจากนั้นเขาจะมีกันไหมหรืออะไรยังไงเราก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิด ก็ยอมรับว่ามันไม่ผิด แต่สำหรับตัวเราเองลูกก็เห็นว่าไม่มีอะไร ถามลูกได้ว่าถ้าเรามีมือที่สาม คนๆ นั้นต้องมาอยู่ในบ้านนะ หรือพ่อจะต้องยังไง แต่ตอนนี้เขาก็สามารถมีได้นะ ไม่ผิด”
“เรื่องลูกเราเลือกแล้วค่ะ เราเลี้ยงลูกมาตั้งแต่ก่อนที่เราจะหย่าร้างกัน เพราะฉะนั้นตรงนี้เราไม่ได้คิดว่าเป็นภาระอะไร นี่เป็นหน้าที่ที่เราภาคภูมิใจและเรารู้สึกว่าเราจะทำมันให้ดี คือเราดูแลลูกทุกๆ เรื่อง ทั้งในเรื่องของส่งเสีย ในเรื่องของการอบรม เราก็ดูแลทั้งหมด แต่ว่าพ่อเขาก็มีส่วนช่วยกันสอน ค่าเลี้ยงดูก็ไม่มีค่ะ เราเลี้ยงของเรามา และไม่ได้ส่งเสียอะไรอยู่แล้ว เราทำเอง ส่วนเรื่องทรัพย์สินไม่มีเลย ตรงนี้เขาก็น่ารักนะคะ เขารู้ว่าเราทำอะไรมาและอะไรเป็นของเขา อะไรที่ไม่ใช่ของเขา เขาไม่ได้บอกว่าสินสมรสทุกอย่างต้องแบ่งครึ่งนะ เพราะบ้านที่อยู่ก็เป็นบ้านเรา จริงๆ ตามกฎหมายมันแบ่งครึ่งก็ได้ แต่เขาก็น่ารัก และเขาก็รู้ว่านี่เป็นที่ครอบครัวเรานะ เขาก็ไม่มายุ่งอะไร อะไรที่เป็นของเขา รถเขา เราก็ให้เขาไป ถือว่าจบลงด้วยดีค่ะ ไม่มีไปด่าสาดกันค่ะ”
บอกรักหมดอายุ กลับบ้านอยากกอดใครสักคน แต่อีกฝ่ายไม่อยู่ให้กอด
“เรียกว่าเป็นความรักที่หมดอายุมากกว่า (ยิ้ม) มันอยู่กันไปแล้วมันไม่ได้เกิดความเข้าใจน่ะ แต่ว่าความเชื่อใจเรามี แต่มันไม่มีความรู้สึกที่ว่าเวลาเราเหนื่อยมากๆ เดินเข้าบ้านแล้วอยากให้ใครสักคนกอดเราน่ะ แต่เขาก็ไม่อยู่บ้างอะไรอย่างเนี้ย เราก็จะทุกข์ใจว่าเขาไปไหน ก็ยิ่งหาเรื่องทะเลาะกัน โกรธกัน มันก็ยิ่งบานปลาย ก็เลยไม่เอาดีกว่า อย่าไปคาดหวังอะไรเลย”
“ณ วันนั้นเราก็ไม่ได้ร้องไห้นะ แต่มันเป็นความกลัว เรากลัวลูกๆ เรากลัวคนรอบข้าง คือลูกๆ บอกว่าเราไม่ได้มีชีวิตครอบครัวที่เป็นส่วนตัว แต่เราก็ไม่ได้ระดับโด่งดังเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่เรื่องทุกเรื่องของเราคนก็ต้องรับรู้ ถามว่าเสียใจไหมก็ไม่ แต่ว่าอาจจะเป็นความกลัวมากกว่า”
“ก็มีเพื่อนๆ น่ะค่ะ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นกาวใจ เพื่อนจะรับรู้สถานะภาพของเราว่าเป็นยังไง เพื่อนก็เข้าใจ ทั้งเพื่อนเราเพื่อนเขา เพื่อนเขาก็ไม่กาวใจเรา เพื่อนเราก็ไม่กาวใจเขา เพราะเห็นแล้วล่ะว่ามันไม่รอด”
ลั่นไม่เสียดายหลังชีวิตคู่พัง ขอบคุณที่สร้างพลังในการดูแลครอบครัวต่อไป
“ไม่เลยค่ะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นสิ่งที่ดีนะ คิดว่าถ้าเรามีชีวิตที่ราบเรียบเราอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ว่าวันหนึ่งถ้าเราตกอยู่ในหลุมทุกข์ เราจะขึ้นมาจากมันยังไง ถ้าวันหนึ่งเราเจอเรื่องที่มันท้าทายเราจะฝึกใจเรายังไงให้ผ่านเรื่องต่างๆ ได้ ก็ต้องขอบคุณเขานะคะที่เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น และขอบคุณเขาที่ทำให้เรามีพลังมากขึ้นในการดูแลครอบครัว เพราะอย่างน้อยตอนนี้เราต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับลูกของเรา ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้เป็นนะ แต่ ณ วันที่ลูกยืนอยู่กับเรา อยู่ในบ้านที่ถ้าเกิดมีเหตุให้ต้องวิ่งหาพ่อ แต่ไม่มีพ่อ เขาก็ต้องวิ่งหาเรา ต้องทำให้ได้”
“วันที่เขาเดินจากไปก็ไม่เคว้งค่ะ เพราะเราไม่ได้รู้สึกว่าเขาเป็นที่พึ่งของเรา ก็เลยไม่ได้รู้สึกเคว้งอะไร อาจจะแค่รู้สึกแปลกๆ ว่าคนเคยเห็นเดินกันอยู่ แต่ไม่เดินเท่านั้นเอง แต่ข้าวของอะไรของเขาก็ยังอยู่บางส่วน”
นอกจากนี้ท็อปได้เปิดใจพร้อมลูก โดยยืนยันว่าหลังจากนี้พ่อยังเป็นพ่อ แม่ยังเป็นแม่ เชื่อลูกไม่ขาดอะไร
ท็อป : “มันก็ไม่ได้เชิงปลอบหรอกเนอะ (หันไปหาลูก)”
แก๊งค์ : “ไม่ได้ปลอบหรอกครับ เพราะมันก็เป็นความจริง เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้เราก็ยอมรับมันแค่นั้น เราก็มีความสุขในที่ที่เรายืนแค่นั้นเอง ก็ได้นั่งคุยกับคุณแม่บ่อยครับ ว่ามันอาจจะถึงจุดที่เราเข้าใจไม่ตรงกันขนาดนี้แล้ว และมันก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกันในบ้านเพราะว่ายังมีพวกผมอยู่ เขาก็บอกว่าถ้าเกิดมันเป็นอย่างนี้ก็อาจจะเป็นอย่างนี้ๆ อาจจะต้องแยกกัน ลูกรับไดไหม มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ก็เป็นความจริงแค่นั้นเอง”
ท็อป : “แต่เราก็ได้บอกลูกว่าถึงแยกกันเราก็ไม่ได้รักลูกน้อยลงนะ พ่อก็ยังเป็นพ่อ แม่ก็ยังเป็นแม่เท่านั้นเอง นอกนั้นลูกไม่ได้มีอะไรขาด ลูกไม่ต้องกลัวเลย ไม่ว่าเรื่องชีวิตความเป็นอยู่หรืออะไร เพราะเด็กบางคนพอพ่อแม่เลิกกันเขากลัวว่าฉันจะโดนลากไปอยู่บ้านไหน เรื่องความมั่นคงของปัจจัยสี่คือจะอยู่ยังไง กินยังไง เรียนหนังสือยังไง เราก็บอกไม่ต้องกลัว เรื่องพวกนั้นอยู่เหมือนเดิมหมด เพียงแต่อาจจะขาดตรงนั้นตรงนี้ไป เพราะฉะนั้นแม่ยืนอยู่ตรงนี้นะ ลูกมายืนพิงแม่ได้เสมอ”
กัส : “ทุกวันนี้แม่ทำหน้าที่ได้ดีมากครับ ในสายตาผมคุณแม่เป็นทั้งคุณพ่อคุณแม่มากอยู่แล้ว คุณแม่เขาก็มีโมเม้นต์ ผู้ชาย ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วเขาก็เป็นผู้หญิงแมนๆ ห้าวๆ เราปรึกษาเขาได้ทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องจีบผู้หญิงบางทียังปรึกษาคุณแม่เลย คุณแม่เป็นได้ทุกอย่าง คุยได้ทุกเรื่องจริงๆ ครับ”
เผยไม่ปิดกั้นหากพ่อลูกจะพบกัน ไร้โอกาสรีเทิร์น ชีวิตต้องเดินหน้า
“ไม่มีปัญหาเลยถ้าเขาจะมาเจอลูก เรื่องอย่างนี้เราไม่กีดกันอยู่แล้ว พอวันพ่อเขาก็ไปหากัน และปีที่เราเลิกกันปีแรกลูกก็มางานกับเรา พอเสร็จกลางคืนเขาก็ขับรถไปหาพ่อ เราไม่รู้ว่าลูกคิดยังไงหรือรู้สึกยังไงหรอกนะ แต่เรารู้ว่าลูกไม่ได้เลือกพ่อหรือแม่ ลูกรักทั้งพ่อและแม่ ก็ไม่ได้ทำให้ใครเสียใจ เราก็รู้สึกว่าลูกเราไม่ได้มาเฮรักแม่ เพราะเขาก็รักพ่อเขา”
“ตอนนี้อดีตมันก็คืออดีตนะคะ เมื่อก่อนเราก็รักเขาแหละ แต่ตอนนี้มันเป็นความเห็นอกเห็นใจกันมากกว่า เป็นห่วงมากกว่า ห่วงว่าเขาจะรอดไม่รอด แต่ไม่ใช่รักแบบวาบไหวแล้ว ไม่มีเลยค่ะ โอกาสคืนดีคงไม่หรอกค่ะ เราก็บอกกับเขาตรงๆ ว่าเราเดินหน้าเลยนะ เจอใครก็อะไรไป ฉันจะเจอหรือไม่เจอมันก็เป็นเรื่องต่อไป แต่ฉันน่ะชัดเจนแล้วว่าฉันอยู่แบบนี้นะ”
รับยกธุรกิจให้อีกฝ่ายเพื่อเลี้ยงตัว ส่วนตนกลับมาใช้นามสกุลเดิม
“ธุรกิจมันก็ไม่เชิงร่วมนะคะ เราก็ยกให้เขาทั้งหมดเลย เราก็ถือว่าเป็นส่วนที่เขาจะได้เลี้ยงตัว และธุรกิจน้ำตาลสดนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาเป็นคนต้นคิด เพียงแต่มีรูปหน้าเราเข้าไปแปะแค่นั้นเอง เราก็ช่วยเขาหาตลาด แต่ที่เหลือเขาก็ทำของเขาเอง ไม่เกี่ยวกับเรา ตอนนี้ก็กลับมาใช้นามสกุลปสุตนาวิน ค่ะ บอกพวกรายการต่างๆ ไว้แล้ว หรือตามละครก็เริ่มเปลี่ยนแล้ว แต่แรกๆ ที่หย่ากันเราก็บอกกับเขาว่าฉันขอใช้นามสกุลเธอก่อนนะ เพราะกลัวว่าลูกๆ จะยังไง และสังคมจะยังไง พอตอนหลังก็รอจนมันมั่นคงขึ้นถึงค่อยเปลี่ยน”
“ก็อยากจะฝากว่าตอนนี้เราก็อาจจะเป็นที่จับตามองนะคะ เพราะคนเห็นภาพว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่น แต่ในความเป็นจริงมันเกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัวอยู่แล้ว ถ้าคุณไม่ได้ระวัง คุณไม่ได้ดูแล คุณไม่ได้เติมเต็ม เราก็บอกว่าเราอาจจะไม่ใช่ภรรยาที่ดีเพราะมัวแต่ทำงาน ไม่ได้หันกลับมาดูว่าเขาเป็นยังไง เราก็มีความบกพร่อง ฉะนั้นทุกคู่แหละค่ะ ถ้าเกิดว่าห่วงใยกันก็กราบขอบพระคุณจริงๆ แต่ก็อยากให้กลับไปย้อนดูคู่ของเราด้วยว่าเราขาดการให้ ทดแทน หรือว่าดูแลซึ่งกันและกันไหม ถ้าขาดก็เติมให้เต็ม และถ้าพยายามประคับประคองไปได้ก็ทำให้ดีที่สุดค่ะ”
ASTVผู้จัดการออนไลน์ เพิ่มหมวดข่าว “โต๊ะญี่ปุ่น” นำเสนอความเคลื่อนไหวของข้อมูลข่าวสาร ตอบสนองผู้อ่านที่สนใจในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้ง สรรสาระ เกร็ดความรู้ต่างๆ ที่ผู้อ่านควรรู้ และ ต้องรู้อีกมากมาย ติดตามเราได้นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |