ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -จะเรียกว่าเป็นมรสุมชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ของ 2 ผัว-เมีย “ปลื้ม-สุรบถ” กับ “ทับทิม-มัลลิกา หลีกภัย” ก็ไม่ผิดนัก เพราะในช่วงสัปดาห์เดียว เจอคดีหนักๆ ซ้อนกันถึง 2 คดี
เริ่มต้นด้วยการโฆษณาสรรพคุณของครีมบำรุงผิวของทับทิม-มัลลิกา ที่มีการกล่าวอ้างว่ามีสรรพคุณ ว่านอกจากจะช่วยทำให้ใบหน้าผ่องใส ช่วยในการขับสารพิษ เปลี่ยนรูปหน้าแล้ว ยังสามารถช่วยลดอาการเส้นเลือดในสมองแตก บรรเทาอาการข้อเข่าเสื่อม ขาโก่ง ฯลฯ รวมถึงมีการใช้ภาพเด็กมาประกอบการรีวิวสินค้าด้วย
งานนี้จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ครั้งมโหฬารในสื่อโซเชียลต่างๆ ว่าเป็นการโฆษณาเกินจริง ที่สำคัญดูเหมือนเจ้าของผลิตภัณฑ์จะแยกไม่ออก ระหว่างเครื่องสำอางกับยารักษาโรค เพราะลำพังกล่าวอ้างว่าช่วยเปลี่ยนรูปหน้า ทำให้หน้าขาวใส ก็ยังพอจะเชื่อได้ว่าทำได้จริง แต่เรื่องที่ระบุว่าช่วยขับสารพิษ , ลดอาการเส้นเลือดในสมองแตก , ข้อเข้าเสื่อม มันออกจะมากเกินไปหน่อย เข้าใจว่าการโฆษณาผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ต้องบอกสรรพคุณที่เกินจริงไปบ้าง แต่ก็น่าจะอ้างอิงอยู่บนพื้นฐานความป็นจริงด้วย ลำพังการจดทะเบียนของเครื่องสำอางกับยา ก็ต่างกันแล้ว ถ้าเครื่องสำอางจะมีสรรพคุณเวอร์วังอลังการขนาดนี้ สงสัยหมอคงตกงานไปตามๆ กัน ซึ่งทางทับทิมก็ได้มีการชี้แจงในเบื้องต้นผ่านทางแฟนเพจ TubTimMallika ว่าภาพต่างๆ นั้น มาจากทางลูกค้าที่ได้ใช้แล้วเห็นผลจริง จึงนำมาเผยแพร่ต่อ พร้อมกับท้าพิสูจน์ให้ทาง อย. หรือ สคบ. เข้ามาตรวจสอบก็ได้ กระนั้นพอมีกระแสวิจารณ์หนักเข้า แฟนเพจ ดังกล่าวก็มีการลบข้อความโฆษณานั้นออกไปแล้ว
แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้น เมื่อในเวลาต่อมาปรากฏว่ามีข้อความจากฝั่งสามีของทับทิม คือปลื้ม-สุรบถ ออกมาตอบโต้คำวิพากษ์วิจารณ์ด้วยการโพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรม @vrzopleum ด้วยภาษาที่เผ็ดร้อน และก็ดูเหมือนจะเป็นการฟาดงวงฟาดงากราดใส่แบบ “หลงประเด็น”จังๆ เพราะประเด็นหลักที่ถูกวิจารณ์นั้น แค่เรื่องโฆษณา “เกินจริง” เท่านั้น ถ้าสินค้าของ (ภรรยา) ตัวเองมีสรรพคุณตามที่อ้างจริง ก็แค่หาข้อมูลมาชี้แจง เพื่อหักล้างข้อกล่าวหา แต่นี่กลับพูดเลยเถิดไปเรื่อยเปื่อย มีการเสียดสีว่าแค่ขายครีมบำรุงผิว ทำไมต้องมาโจมตีกันเหมือนขายยาบ้า และทิ้งท้ายด้วยการยืนยันว่า ทับทิมแค่ช่วยธุรกิจของครอบครัว โดยยืนยันว่ามิได้ทำเพราะเห็นแก่เงิน หรือผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น
คือปลื้มคงเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า ? เพราะคนที่ออกมาวิจารณ์นั้น คงไม่ได้อยากรู้ว่ากำไรของการขายสินค้าเข้ากระเป๋าใคร? มากไปกว่าอยากรู้ว่าใช้แล้วดีจริงอย่างที่โฆษณาไว้รึเปล่า ? แล้วก็แค่ถามหา “ความรับผิดชอบ” ต่อถ้อยคำโฆษณาเหล่านั้นก็แค่นั้นเอง แต่กลายเป็นว่าการชี้แจง (หรือพูดให้ถูกคือการแถ) ของปลื้ม ไม่ได้มีการพูดถึงประเด็นหลักเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
สินค้าของทับทิมอาจจะได้รับ อย. จริง ไม่มีใครเถียง แต่จะมีสรรพคุณทั้งหมดอย่างที่โฆษณาไว้หรือไม่นั้น มันคนละเรื่องกัน !!
และจากคำพูดของปลื้มที่บอกว่าสิ่งที่ทับทิมทำ (คือการโฆษณาสรรพคุณของเครื่องสำอางเกินจริง) นั้น มิได้ทำเพราะ
“เห็นแก่เงิน” !!
นำมาสู่ดรามาบทใหม่ เมื่อ “แชมป์-ทชณิตร เธียรทณัท” อดีตตากล้องยุคบุกเบิกรายการ VRZO ที่ทั้งปลื้ม และทับทิมรับหน้าที่เป็นพิธีกร ได้มีการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Champ Chib Tachanyt แฉทั้งคู่ ทำนองว่าถูกหลอกให้ทำงาน จนร่างพัง พอรายการดัง ก็ไม่เห็นหัว
“คุณ...คุณกล้าพูดได้ยังไงว่า ไม่เห็นแก่เงิน คุณ...คุณกล้าพูดได้ยังไงว่า ไม่โกงใคร....คุณ...คุณกล้าพูดได้ยังไงว่า ไม่เอาเปรียบใคร....คุณ...คุณกล้าพูดได้ยังไงว่า ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร 4 ปีที่แล้ว ผมได้ใช้แรงกาย แรงใจ กำลังเงิน และความสามารถในการสร้างสิ่งๆ หนึ่งขึ้นมากับคุณ ซึ่งคุณขายฝันให้ผมทุ่มเท หลอกให้เป็นผู้ก่อตั้งกับคุณ เพื่อที่จะสามารถเลี้ยงตัวเองได้ เลี้ยงที่บ้านกับพ่อแม่ได้ ลำบากตอนนี้สบายตอนหน้านะพี่ ผมยังจำได้ คำพูดที่ว่า เรามาลำบากด้วยกันแล้วเราก็จะสบายด้วยกันนะ เราจะไม่ทิ้งกัน แล้วเป็นยังไง
วิธีการทำงานของคุณทำร่างกายผมพัง ตอนนี้ต้องรักษาตัวเอง ไม่มีงาน ต้องให้ที่บ้านเลี้ยง พวกคุณสบายกันแล้วหายหัวไปเลย โทร. ไปไม่เคยรับติดต่อไม่เคยได้ ฮ่าๆๆๆ จากเมื่อก่อนโทรตามยิกๆๆๆ ให้ไปทำงานให้ ทำงานหาเงินนะไม่แย่หรอก แต่หลอกใช้คนอื่นเพื่อความสำเร็จของตัวเองนะมันแย่ “อยากให้ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างนะครับ” คุณ...รู้ทุกอย่าง....แต่ไม่ทำอะไรสักอย่าง คุณเคยหักหลังใคร คุณเคยโกงใคร คุณเคยเอาเปรียบใคร คุณเคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร คอยดูแล้วกัน กรรมมันมีจริง การทำบุญเยอะๆ หรือไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ ไม่ได้ช่วยให้ไม่ต้องชดใช้กรรมหรอกนะ แก้ไขสิ่งผิดให้ถูก ปรับปรุงตัว ยอมรับผลกระทบจากสิ่งที่ทำไป สำนึกผิดบ้าง โชคดี”
ก่อนที่ทางฝั่งของปลื้ม ก็ออกมาโพสต์ข้อความผ่านไอจีส่วนตัว บอกว่ารู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาไม่เคยรับรู้ว่าอีกฝ่ายสุขภาพย่ำแย่ พยายามจะติดต่อกลับไปแล้วแต่ติดต่อไม่ได้ ยืนยันว่ายังรักและเคารพเหมือนเดิม
ดูจากเรื่องราวที่โพสต์กันไปโพสต์กันมาคนละที สองทีแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าเป็นแค่เรื่องเด็ก 2 คนทะเลาะกัน เพราะน้อยใจที่อีกฝ่ายหมางเมิน เลยพยายามเรียกร้องความสนใจ ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อนมากไปกว่านั้น แต่ไปๆ มาๆ กลับดรามาหนักหน่วงมากขึ้น เพราะมีการเล่นตลบหลัง เมื่อปรากฏว่ามีสมาชิกเว็บไซต์ www.pantip.com หมายเลข 2086445 โพสต์ข้อความโดยมีเจตนาเพื่อ “โจมตี” แชมป์โดยเฉพาะ เห็นได้ชัดจากการตั้งชื่อกระทูว่า “แชมป์คนลวงโลก” งานนี้ทำเอาบรรดาเกรียนคีย์บอร์ดสืบค้นต้นตอเป็นการใหญ่ ก่อนจะมีการจับพิรุธได้ว่า สมาชิกหมายเลขดังกล่าว เพิ่งสมัครมาเป็นสมาชิกเพื่อโพสต์ข้อความนี้โดยเฉพาะ ทุกคนจึงพร้อมกันไปพุ่งเป้าไปที่ปลื้มว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสมาชิกหมายเลขดังกล่าว ส่วนจะจริงเท็จประการใดนั้น คงต้องให้ทางเจ้าตัวออกมาอรรถาธิบายเอง
ไปๆมาๆ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้สึกน้อยอกน้อยใจอย่างเดียวเสียแล้ว นัยว่าอาจจะมีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะล่าสุดสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้มีการตรวจสอบข้อมูลทางธุรกิจบริษัท วีอาร์โซ จำกัด พบว่าจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2555 ด้วยทุน 3 ล้านบาท โดยมีนางภักดิพร สุจริตกุล (มารดาของปลื้ม) เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ทั้งนี้รายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 เมษายน 2557 มีจำนวน 4 ราย คือนางภักดิพร สุจริตกุล ถือหุ้นใหญ่สุด 15,000 หุ้น มูลค่า 1,500,000 บาท นายสุรบถ หลีกภัย ถืออยู่ 10,000 หุ้น มูลค่า 1,000,000 บาท นายพรภักดิ์ สุจริตกุล ถืออยู่ 2,500 หุ้น มูลค่า 250,000 บาท นายสุธี ทองคำ ถืออยู่ 2,500 หุ้น มูลค่า 250,000 บาท มีการนำส่งงบการเงินแสดงผลประกอบการล่าสุด ปี 2556 มีรายได้รวม 66,653,648.82 บาท กำไรสุทธิ 1,515,265.41 บาท มากขึ้นจากปี 2555 ที่มีรายได้รวม 10,534,009.06 บาท และมีกำไรสุทธิ 1,411,385.05 บาท ซึ่งก็ต้องนับว่าเป็นบริษัทฯ ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องการหารายได้อย่างมาก ส่วนวิธีการแห่งการได้มาซึ่งรายได้มหาศาลนั้น ขออนุญาตไม่พูดถึง
จะแปลกอะไรถ้าการที่ขึ้นชื่อว่าเป็น 1 ใน 4 ผู้ร่วมก่อตั้งรายการขึ้นมากับมือ จะออกมาทวงถามความเป็นธรรม และเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองสมควรได้
แต่สิ่งที่ได้รับนั้น กลับกลายเป็นการถูกซุ่มโจมตีลับหลัง ด้วยข้อกล่าวหาว่า “ลวงโลก” ซึ่งถือว่าเป็นถ้อยคำที่รุนแรงมาก
อนึ่งสำหรับรายการ VRZO นั้น มาจากคำภาษาอังกฤษว่า "We Are So" มีความหมายว่า "พวกเราเยอะ” เป็นรายการวาไรตี้ที่ผลิตโดย บริษัท วีอาร์โซ โปรดักชั่น จำกัด ซึ่งมีเนื้อหาหลักคือการสัมภาษณ์ความเห็นของคนดูดี 100 คนในแต่ละหัวข้อที่แตกต่างกันไปในแต่ละตอน โดยเริ่มออกอากาศครั้งแรกบนเว็บไซต์ www.youtube.comในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 ต่อมาได้เพิ่มการออกอากาศทางช่องเวรี่ ทีวี ทรูวิชั่นส์ 85 โดยปลื้มรับหน้าที่อำนวยการผลิต รวมทั้งเป็นพิธีกรร่วมกับทับทิม (ในภายหลัง) , ปรีดิ์โรจน์ เกษมสานต์ รับหน้าที่เป็นผู้กำกับศิลป์ และ อิสระ ฮาตะ, ดิษพงศ์ สำราญมาก ฯลฯ รับหน้าที่เป็นผู้ตัดต่อ ส่วนแชมป์- ทชณิตร เธียรทณัท เป็นตากล้อง และมีธชา คงคาเขตร เป็นผู้กำกับ โดยในช่วงแรกค่อนข้างจะลำบากในการหาคนมาสัมภาษณ์ เนื่องจากรายการยังไม่เป็นที่รู้จัก
รายการ VRZO เป็นอีกหนึ่งรายการที่ได้รับความนิยมในหมู่คนดู เพราะรูปแบบรายการที่ดูสนุกสนาน โดยมีการสัมภาษณ์บุคคลทั่วไป รวมทั้งบุคลลที่มีชื่อเสียง มีเพียงบางส่วนเท่านั้น ที่วิจารณ์รายการในเชิงลบ ในแง่ของการใช้ภาษาที่หยาบคาย ปัจจุบัน VRZO ได้รับการตอบรับจากทาง www.youtube.com มียอดผู้ชมทั้งหมด 600,000,000 ครั้ง ยอดผู้ชมนี้รวมจากแชนแนลของ VRZO ทั้ง2 ช่อง ทั้งช่องที่ถูกแฮ็กและช่องที่เปิดใหม่มีชื่อว่า Vrzochannel
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของรายการ ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จนกลายเป็นวลีฮิตติดปากวัยรุ่น ก็คือ “ขอ 3 คำ” ซึ่งเกิดจากการตั้งหัวข้อจากประเด็นที่น่าสนใจ แล้วให้บุคคลต่างๆ จำกัดความสิ่งเหล่านั้นด้วยคำเพียง 3 คำ โดยถูกใช้ครั้งแรกในตอนที่ 4 ของรายการ ในหัวข้อการสวมใส่เครื่องแบบนักศึกษาที่แน่นคับของนักศึกษาหญิง ซึ่งผู้ถูกสัมภาษณ์ที่ถูกขอความเห็น 38eเป็นคนแรกในรายการคือ “จอห์น-วิญญู วงศ์สุรวัฒน์” พิธีกรชื่อดัง
หลังจากที่สร้างชื่อจนรายการประสบความสำเร็จในสื่อออนไลน์ (ก่อนจะมีการเข้ามาของช่องทีวีดิจิตอล) VRZO ก็มีการต่อยอดออกมาเปิด VRZO Coffee & Accessories ในรูปแบบของร้านกาแฟสไตล์วัยรุ่น ตกแต่งแบบทันสมัย เปิดจำหน่ายทั้งเครื่องดื่ม - ของว่าง รวมถึงสินค้า Accessories ของรายการ เช่น เคสโทรศัพท์, แก้วกาแฟ, หมวกแก๊ป, กระเป๋าผ้า , เสื้อ แจ็คเก็ต ฯลฯ โดยร้านตั้งอยู่บริเวณที่ซอยประเสริฐมนูญกิจ 19-21 (เกษตร-นวมินทร์ ตอม่อ 86)
ขณะเดียวกันปลื้มกับทับทิม ก็กลายเป็นคู่พิธีกรที่มีคิวงานต่อเนื่องชนิดที่ต้องจองกันล่วงหน้าถึง 2 เดือนเต็ม และสนนค่าตัวของการรับงานแต่ละประเภทนั้น ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว โดยลงเสียงโฆษณาวิทยุ คนละ 60,000 บาท , ออกงาน อีเวนต์ คนละ 80,000 บาท , พิธีกรอีเวนต์ คนละ 100,000 บาท (ส่วนใหญ่จะรับงานคู่) , โฆษณาสินค้าลง instagram , facebook สำหรับทับทิม 150,000 บาท/1ภาพ (ยอดผู้ติดตาม 1 ล้านคน) ของปลื้ม 100,000 บาท / 1ภาพ (ยอดผู้ติดตาม 3 แสนคน ) ส่วนสินค้าที่อยากจะเป็นสปอนเซอร์ให้กับรายการ VRZO ก็ต้องจ่ายเงินกันถึงเทปละ 670,000 บาทเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดดรามาในหมู่ผู้ร่วมก่อตั้งรายการ VRZO แล้ว ยังตามมาด้วยการขุดคุ้ยเรื่องราวของทับทิมกระหน่ำตามออกมาไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งเรื่องศัลยกรรม และแย่งสามีชาวบ้าน โดยเฉพาะในเว็บไซต์ www.pantip.com ถึงกับมีคนตั้งกระทู้ โดยมีการมอบคำ 3 คำให้เธอว่า
“ร้ายตัวแม่”
อันอาจจะเป็นเหตุให้ทับทิมลบเฟซบุ๊กและข้อมูลของตัวเองออกจากหน้าแฟนเพจ และตั้งค่าอินสตาแกรมเป็นส่วนตัว นัยว่าเพื่อป้องกันมิให้คนที่ไม่ได้ติดตามเข้าไปก่อกวนอีก
สำหรับเหตุดรามาที่ดูท่าทางจะบานปลายออกไปเรื่อยๆ นั้น อาจจะมองได้ว่ามีมูลเหตุมาจาก 3 หลักใหญ่ๆ
ประการแรกตัวรายการ ที่ต้องยอมรับว่าปัจจุบันเริ่มเสื่อมความนิยมลงไปตามลำดับ เนื่องจากปัจจุบันแฟนๆ ที่เคยชื่นชอบในคอนเทนต์ของรายการในแบบดั้งเดิม เริ่มรับไม่ได้กับการที่รายการหันไปเน้นในเรื่องของธุรกิจ จนดูเหมือนจะกลายเป็นรายการสำหรับโปรโมตสินค้าเข้าไปทุกที โดยเฉพาะในแฟนเพจ drama-addict มีการวิจารณ์รูปแบบรายการไว้อย่างหนักหน่วงทีเดียว
ประการที่สอง ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า เรื่องราวทั้งหมดบานปลายมาจากเรื่องครีมกระปุกเดียวแท้ๆ นั่นอาจจะเป็นเพราะสงครามของธุรกิจเครื่องสำอางในปัจจุบันกัน มีการแข่งขันที่สูง เพื่อช่วงชิงการเป็นเจ้าตลาด ใครที่มีจุดโหว่ ช่องว่างตรงไหน คู่แข่งก็พร้อมจะหยิบมาโจมตีทันที เป็นการ “เตะตัดขา” หรือเรียกว่า “สกัดดาวรุ่ง” นั่นเอง
ประการต่อมา อาจจะเป็นด้วยความหมั่นไส้ทับทิมเป็นการส่วนตัว ในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิงที่อยู่ในกระแส เป็นพิธีกรขายดี ทำรายการก็ดัง แถมยังได้สามีที่ประสบความสำเร็จ ที่สำคัญรวยติดอันดับอีกด้วย ไม่แปลกเลยที่สาวๆ ค่อนประเทศจะนึกอิจฉาทับทิม
และงานนี้คนที่ไม่พลาดที่จะเกาะติดสถานการณ์ และหยิบเรื่องดรามาของ VRZO มาวิเคราะห์แบบถึงลูกถึงคน ก็คือแฟนเพจยอดนิยมอย่าง “อีเจี๊ยบเลียบด่วน” ถึงขนาดมีการนำเสนอวิธีแก้เป็นฉากๆ ดังนี้
“ในฐานะที่ผมเคยแนะนำไปทีนึง ในกรณีครีมวิเศษ ไปแล้ว ถึงวิธีที่จะแก้ปํญหาได้ง่ายๆ แต่เฮียกะซ้อก็ไม่เลือกทำแบบนั้น จนเรื่องมันบานปลายใหญ่โต ลามเละเทะ กันไปใหญ่
ผมไม่อยากให้สิ่งที่เฮียทำมา มันพังไปเพราะเรื่องนี้ จากใจจริง จึงขอเสือกแนะนำอีกครั้งเดียวจริงๆ
1. ปิดเพจ ปิดไอจี อันนี้เห็นด้วย มีสิทธิ์ที่จะทำเต็มที่ จะได้ไม่ต้องมาห่วง มีเวลาคิดไตร่ตรองแก้ปัญหาได้เต็มที่
2. สั่งห้ามคนใกล้ชิด หรือพนักงานท่านใดออกมาพูดอะไร หรือตอบอะไรในโซเชียลเด็ดขาด ย้ำ เด็ดขาด ตัวอย่างที่เห็น เป็นไงล่ะ ยิ่งออกมายิ่งดูแย่ จากวุฒิภาวะ ไม่รู้เรื่องราวจริงๆ ตอบไม่ตรงประเด็น ยิ่งไปกันใหญ่
3. เฮียกะซ้อ ต้องออกมาพูดเองครับ ใครก็ได้ สองคนเลยก็ดี แต่ต้องเฮียกะซ้อเท่านั้นนะ ผมว่าคนอยากเห็นแบบนั้น เรื่องมันไปขนาดนี้ ดูแล้วต้องถึงกะตั้งโต๊ะแถลงแล้วล่ะ
เรื่องครีม อันนี้ผมว่า เฮียกะซ้อน่าจะออกมาขอโทษ อะไรรับผิดได้ก็รับไปเถอะครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แก้ได้ไม่ยากหรอก เพราะตัวครีมมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร มีปัญหาแค่การโฆษณาสรรพคุณเท่านั้น และรีบแก้ไขเป็นรูปธรรมชัดเจนไปเลย
เรื่องเพื่อน อันนี้ผมว่า ผมไม่เสือกดีกว่า เพื่อนกัน ผมว่าคุยกันได้ครับ ไปคุยกันเอง ไม่ต้องมาบอกสื่อก็ได้
เรื่องขุดประวัติซ้อ เรื่องนิสัยนั่นนี่ แฟนเก่าแฟนใหม่ ทำหน้าไม่ทำหน้า อันนี้ไม่ต้องพูดก็ได้ครับ ช่างแม่ง เรื่องส่วนตัว
เรื่องข้าวกล่อง เสื้อคลุม แฝงสินค้าอื่น อีเว้นต์ ปัญหากะออแกนไนซ์ อันนี้พูดหน่อยก็ดีครับ น่าจะดีกะรายการใจเย็นๆครับ ลดอีโก้ ลดอารมณ์ลงหน่อย อะไรเราคิดว่าเราผิด เราก็รับผิดไปซะ ขอโทษไปซะ แล้วก็อย่าทำอีก เรื่องมันก็ไม่ได้ ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมร้ายแรงขนาดอภัยกันไม่ได้
เรื่องไหนคนเข้าใจผิด ก็อธิบายความจริงให้เค้าเข้าใจซะ แต่ย้ำนะ ความจริงนะครับ เอาความจริง ถ้าอธิบายแล้ว มีหลักฐาน พยาน ชัดเจนแล้วมันยังไม่เชื่อ ก็ได้ทำเต็มที่แล้วครับ
ไอ้พวกแฟนคลับมาอวย อย่าฟังแม่งมากครับ แม่งไม่มีผลดีห่าอะไรเลย ฟังคนที่ด่าดีกว่า
แต่ที่ขอคือไอ้คำหล่อๆมากๆ คำสวยๆ ดูดี๊ดี งดได้ก็ดีครับ
เอาแบบจริงๆจากใจมาเลย เพราะเวลาคนเค้าอ่าน เค้าฟัง ผมเชื่อว่า คนแม่งรู้สึกได้ ว่าไอ้....นี่จริงใจ หรือ พูดเอาหล่อ ซึ่งคนก็คลางแคลงเฮียอยู่
อันนี้ถือเป็นคำแนะนำ จากใจคนที่เคยโดนแบบเฮียมาแล้ว โดนรุมกระทืบจมตีน และผ่านมาได้แล้วกันนะเฮีย
อินเตอร์เนต แม่งสร้างเราขึ้นมายิ่งใหญ่ได้เท่าไหร่ แม่งก็ทำลายเราชิบหายได้มากเท่านั้นแหละเฮีย”
และก็ดูเหมือนว่าทั้งคู่ก็ปฏิบัติตาม (เป็นบางข้อ) เห็นได้จากการที่มีการแถลงข่าวผ่านคลิปวิดีโอเพื่อชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยพอจะจับใจความได้ว่า
1. เรื่องชุลมุนหลังงานอีเวนต์นั้น ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาจะพังงาน และขโมยของใคร แต่ยอมรับในส่วนที่การทำงานอาจจะไม่เป็น “มืออาชีพ” เท่าที่ควร ส่วนเรื่องการเรี่ยไรเงินเพื่อนำมาสร้างภาพยนตร์ VRZO MAFIA แต่ยังไม่มีการคืบหน้านั้น ยืนยันว่าขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการสร้าง และย้ำว่าเงินที่เรี่ยไรมายังอยู่ครบทุกบาททุกสตางค์
2. เรื่องความบาดหมางของแชมป์นั้น ยืนยันว่าไม่เคยหลอกใช้งาน และเสียใจที่อีกฝ่ายให้ข่าวในเชิงทำลายกันแบบนี้
3. เรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับทับทิมนั้น เป็นการเจตนาปลุกปั่น และใส่ร้าย พร้อมกันนั้น ก็เตรียมยื่นฟ้องหมิ่นประมาทบรรดากลุ่มคนและเว็บไซต์ที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
จากการแถลงข่าวของทั้งคู่ ก็ยังดูเหมือนจะยังคงตกหล่นประเด็นที่ทุกคนยังคาใจในเรื่องสรรพคุณของเครื่องสำอางที่โฆษณาเกินจริง และกลายเป็นการจุดชนวนให้เกิดเป็นมหากาพย์ดรามาครั้งนี้อยู่ดี ไม่มีทั้งคำปฏิเสธ และแม้แต่คำขอโทษออกมาแม้แต่คำเดียว
อยากจะทิ้งท้ายเรื่องดรามาของ VRZO ด้วยคำ 3 คำ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ใครนึกออกช่วยบอกที !?
ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 276 14-20 กุมภาพันธ์ 2558
ล้อมกรอบ
ไม่เพียงแต่ทับทิม-มัลลิกา เท่านั้น ที่มีการผลิตและจำหน่ายแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเอง (หรือจะในนามของครอบครัวก็ตามแต่) ยังมีเหล่าดารา-นักร้อง-นักแสดง อีกหลายคนที่ทำธุรกิจในหมวดเดียวกัน เพื่อเป็นอาชีพเสริม เพราะมองว่าอาชีพในวงการมายานั้น เป็นอาชีพที่หลักลอย ไม่มั่นคง จะอยู่หรือจะไปเมื่อไรก็ไม่มีใครคาดเดาได้ โดยใช้ความเป็นดารา และชื่อเสียงของตัวเองเป็นจุดขาย เป็นนายแบบ นางแบบเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพรีเซ็นเตอร์ที่ไหน ซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบของเหล่าดารา ถ้าเทียบกับสินค้าแบรนด์อื่นๆ ในหมวดเดียวกัน เพราะคนส่วนใหญ่ ก็มีดารา-นักแสดงเหล่านี้เป็นไอดอลอยู่แล้ว และก็หวังว่าเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดารา-นักแสดงเหล่านั้น เป็นผู้จำหน่ายแล้ว จะสวย จะหุ่นดี จะฟิต แอนด์ เฟิร์ม เหมือนกับดาราเหล่านั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด เพราะดารา-นักแสดง คงไม่ได้สวย ไม่ได้หุ่นดี เพอร์เฟกต์ชัดเป๊ะ เพราะสินค้าของตัวเองอย่างเดียว หลายคนยังมีการพึ่งเทคโนโลยีอื่นๆ เข้ามาเสริมด้วย (เผลอๆ อาจจะใช้สินค้าแบรนด์อื่นด้วยซ้ำ) ซ้ำรูปที่เห็นก็ไม่รู้ว่าผ่านการรีทัชกันมากี่ตลบ
ดูเหมือนว่านักแสดงที่เข้ามาบุกตลาดผลิตเครื่องสำอางแบรนด์ของตัวเองอย่างจริงจังเป็นคนแรกๆ เห็นจะเป็น “โก้-ธีรศักดิ์ พันธุจริยา” ที่มาพร้อมกับครีมหน้าเด้ง ก่อนจะขยายธุรกิจกลายเป็นแบรนด์ Kory Serum ในปัจจุบัน สมัยก่อนไม่มีเครื่องมือประเภทโซเชียลมีเดีย ก็อาศัยการ “ใช้ดี แล้วบอกต่อ”กันแบบปากต่อปาก จนขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
สมัยนี้ง่ายกว่านั้น เพราะเหล่าดารา-นักแสดงมีเครื่องมือ และช่องทางในการโปรโมตสินค้าแบรนด์ของตัวเองมากมาย โดยเฉพาะในอินสตาแกรม ที่มีแฟนคลับตามฟอลโลกันเยอะอยู่แล้ว จนแทบไม่ต้องเสียเงินซื้อสื่อโฆษณาที่ไหน
ไม่แปลกที่ยุคนี้สมัยนี้ ธุรกิจผลิตอาหารเสริม และเครื่องสำอาง แบรนด์ของดารา-นักแสดง จะผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด เพราะไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่หาแหล่งผลิต (ที่คิดว่าเชื่อใจได้) มีสูตรเฉพาะ (ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คิดค้นเองอยู่แล้ว) แล้วก็ตั้งชื่อแบรนด์ที่จดจำง่าย จากนั้นก็เริ่มจากการโพสในไอจีส่วนตัว แล้วเวลาไปออกรายการ ก็แอบพ่วงโปรโมตสินค้าไปแบบเนียนๆ
ธุรกิจดังกล่าวดูเหมือนจะไปได้ดี ถ้าไม่บังเอิญมีข่าวดีเอสไอ บุกทลายบริษัทผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชื่อดังยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งมีการใช้ดารา-นักแสดง-นักร้องหลายคนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เช่น วู้ดดี้ -วุฒิธร มิลินทจินดา , แหม่ม-วิชุดา พินดั้ม ,หญิงลี ศรีจุมพล ฯลฯ เนื่องจากพบว่าทีการใช้วัตถุดิบที่ไม่บริสุทธิ์ อาหารปลอม อาหารผิดมาตรฐาน และโฆษณาเกินจริง
ในมุมนี้แม้ว่าดารา-นักแสดง-นักร้อง ที่ปรากฏรายนามเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์จะไม่ได้มีความผิดร่วมด้วย เพราะเป็นเพียงผู้รับจ้างเท่านั้น แต่ก็นับว่าเสียเครดิต และความน่าเชื่อถือไม่น้อย เพราะใช้ชื่อเสียงของตัวเองการันตี ทำให้ผู้คนหลงเชื่อว่าสินค้าเหล่านั้น มีสรรพคุณตามที่กล่าวอ้างจริงๆ (ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ตัวเองอาจไม่ได้ใช้สินค้าเหล่านี้ด้วยซ้ำ)
แต่ที่ถูกผลกระทบไปเต็มๆ ก็เห็นจะเป็นเหล่าดารา-นักแสดง ที่ใช้บริษัทนี้ผลิตสินค้าแบรนด์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ลดความอ้วน ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม-บำรุงผิว-เพิ่มความขาว ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายต่างๆ นานา ซึ่งเท่าที่มีการสืบค้นมาก็มีกันมากมายหลายคนเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น พลอย-เฌอมาลย์, นิวเคลียร์-หรรษา, ดีเจ เพชรจ้า , ยุ้ย-ปัทมวรรณ, โบ-สุรัตนาวี, ปาน ธนพร, แหม่ม จินตหรา, ปูดำ-สรารัตน์, ไก่-วรายุฑ, จอย-รินลณี ,เนย-โชติกา ,โมเม-นภัสสรฯ ซึ่งในเว็บไซต์ของบริษัทนี้ ก็ได้มีการนำภาพผลิตภัณฑ์ของดารา-นักแสดงเหล่านี้มาโฆษณาด้วย ในฐานะที่ตัวเองเป็นผู้ (รับจ้าง) ผลิต
งานนี้ทำเอาดารา-นักแสดงนั่งกันก้นไม่ติดเก้าอี้เลยทีเดียว เพราะนอกจากจะเสียเครดิต เสียชื่อเสียงแล้ว เผลอๆ ยังอาจจะทำให้ธุรกิจล้มไปเลยก็ได้ เพราะคนก็อาจจะเหมารวมไปว่า เมื่อผลิตจากแหล่งเดียวกัน ก็น่าจะใช้วัตถุดิบประเภทเดียวกัน แต่ละคนก็เลยต้องมีการออกโรงมาชี้แจงผ่านไอจีส่วนตัว ยืนยันมาตรฐานของสินค้าตัวเอง ว่าผ่านกระบวนการผลิตที่ถูกขั้นตอน และได้รับการรับรองจาก อย. เรียบร้อยแล้ว