ในบทบาทของถ้อยคำ “วิปแพลช” เป็นได้ทั้งนามและกิริยา ในคำนามนั้นหมายถึงเชือกสั้นปลายแส้ ถ้าเป็นกิริยาจะหมายถึงอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาท และถ้าจะอนุมานเอาตามความหมายทั้งสองของถ้อยคำนี้ เนื้อหาอารมณ์ในหนังเรื่องวิปแพลชก็กินรวบทั้งสองอย่าง เพราะตลอดการเดินทางของเรื่องราว ตัวละครหลักในเรื่องจะรู้สึกราวกับว่าเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย คล้ายกับมีแส้หวดโบยตลอดเวลา และนั่นก็ส่งผลเป็นความปวดร้าวไปทุกอณู ไม่ว่าจะร่างกาย จิตใจ หรือแม้กระทั่งความใฝ่ฝัน
แต่ไม่ว่าจะมีความหมายอย่างไรในพจนานุกรม...ในคำที่ไม่ต้องแปล “วิปแพลช” เป็นชื่อของบทเพลงเพลงหนึ่งซึ่งกลุ่มตัวละครนักดนตรีในเรื่องจะต้องเล่น คล้ายๆ เป็นเพลงหลัก จนถูกใช้เป็นชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปด้วย
ครับ, สำหรับคนดูหนัง ถ้าให้จัดอันดับหนังยอดเยี่ยมที่เข้าฉายในบ้านเราเมื่อปีที่ผ่านมา 2557 เชื่อว่าวิปแพลชจะเป็นอีกหนึ่งเรื่องซึ่งติดอยู่ในลำดับต้นๆ และก็เชื่อเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าใครหลายๆ คนอาจยกให้เป็นอันดับต้นที่สุดของรายชื่อหนังดีประจำปีที่แล้วด้วยซ้ำ แน่นอนว่า ความดีนั้นได้รับการตอกย้ำอีกครั้ง เมื่อหนังทะลุเข้ารอบไฟนอลบนเวทีประกวดรางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รวมถึงสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม โดยเดเมี่ยน ชาเซลล์ ที่รับตำแหน่งทั้งกำกับและเขียนบทหนังเรื่องนี้ที่ขยับขยายมาจากหนังสั้นซึ่งตนเองเคยทำไว้
และที่ไม่เหนือความคาดหมายก็คือ “เจ.เค.ซิมมอนส์” ดาราชายวัยเฉียดแซยิดผู้ผาดโผนอยู่บนเส้นทางการแสดงมาค่อนชีวิต ก็ได้มีโอกาสเข้าไปชิงชัยในตำแหน่งนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ถ้าไม่ได้ชิงนี่จะถือว่าแปลก เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีบทของเจ.เค.ซิมมอนส์ หนังก็คงไม่สามารถมีตัวตนขึ้นมาหรือขับเคลื่อนต่อไปได้เลย และถึงขั้นไม่อาจเรียกชื่อว่า “วิปแพลช” ได้ด้วยซ้ำ
ในบทบาทของ “เฟลทเชอร์” ครูสอนดนตรี เจ.เค.ซิมมอนส์ ไม่เพียงผลักดันเรื่องราวให้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างบีบคั้นทรงพลัง หากแต่ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนผลักดันลูกศิษย์ลูกหาที่มีความใฝ่ฝันให้ก้าวไปพิชิตในแบบที่ไม่เหมือนใครมีและไม่มีใครเหมือน เพราะสำหรับเขาแล้ว ในโลกนี้ ไม่มีคำไหนอีกแล้วที่จะแย่ไปกว่าคำว่า “ดีแล้ว” (Good Job)
ที่ผ่านๆ มา เราอาจจะเคยเห็นครูผู้สอนในแบบต่างๆ มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนที่ต้องต่อสู้อย่างสาหัสกับความเหลือขอของเด็กๆ อย่างในเรื่อง To Sir With Love หรือครูที่เป็นตำนานอย่างครูจอห์น คีติ้ง ในเรื่อง Dead Poet Society ฯลฯ แต่สำหรับครูคนนี้ “เฟลทเชอร์” ก็จะเป็นตำนานอีกหนึ่งหน้าที่คนดูหนังจะจดจำไปอีกนาน เพราะลักษณะคาแรกเตอร์ของครูเฟลทเชอร์นั้น มีเอกลักษณ์ในตัวเองสูงมากจนมิอาจจะลืมไปได้เลย
เขาคือครูสอนดนตรีที่ดูเหมือนจะไปไกลกว่าครูสอนดนตรีคนอื่นๆ ทะลุกรอบของนิยามความเป็นครูโดยพื้นฐานไปด้วยซ้ำ เนื่องจากสิ่งเขากำลังกระทำในฐานะครูผู้สอน มันไกลไปกว่าแค่การดำรงสถานะครู ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า มันมีเรื่องของอัตตาความเชื่อส่วนบุคคลเกี่ยวกับนิยามของความยอดเยี่ยมที่มีแต่จะต้องใช้ความพยายามและ..พยายาม ไม่รู้จบรู้สิ้น
ด้วยเหตุนี้ วิปแพลช ในแง่หนึ่ง มันจึงเปรียบเสมือนโลกจำลองของคนที่ทำงานอย่างมีอุดมคติปณิธาน อย่าว่าแต่ความธรรมดาพื้นๆ แม้แต่ความเยี่ยมยุทธ บางทีก็อาจจะไม่ใช่หมุดหมายปลายทาง เพราะตราบเท่าที่ยังชีวิต เรายังสามารถผลิตและสร้างสรรค์ผลงานที่ยอดเยี่ยมได้อีก และได้อีก ไม่รู้หมดรู้สิ้น และนี่ก็คือสิ่งที่ทำให้หนังดูสนุก ซึ่งคนที่จะสัมผัสรสชาติเช่นนี้ได้รู้ซึ้งที่สุดก็คือเด็กหนุ่มนักศึกษาวิชาดนตรีในเรื่อง ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองชนิดที่เลือดตกยางออกคากลองชุด
สำหรับคนที่ชื่นชอบเพลงแนวแจ๊ส อาจจะอิ่มเอมกับบทเพลงในหนังได้มากเป็นพิเศษ เพราะแนวดนตรีที่ใช้ในเรื่อง รวมถึงเพลงวิปแพลชที่เป็นหลัก คือเพลงแนวแจ๊สที่คอแจ๊สคงจะรื่นรมย์ในการฟังได้ ขณะเดียวกัน หนังยังมีการอ้างอิงถึงศิลปินระดับปรมาจารย์สายแจ๊สผู้เปี่ยมด้วยอัจฉริยภาพและความเพียร อย่างเช่น ชาร์ลี ปาร์คเกอร์, โจ โจนส์ หรือกระทั่งหลุยส์ อาร์มสตรอง อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ไม่ได้คุ้นชินกับดนตรีแจ๊สก็ยังสามารถรื่นรมย์กับบทเพลงแห่งวิปแพลชได้เช่นกัน ลำพังแค่ได้ฟังเรื่องราวเล่าขานของศิลปินแจ๊สชื่อดังที่หนังอ้างถึง ทั้งชาร์ลี ปาร์คเกอร์ และ โจ โจนส์ ก็ทำให้เรารู้สึกอยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เคยทำมาได้แล้ว
วิปแพลช คือเรื่องราวแห่งแรงใจและไฟฝัน กระตุ้นและผลักดันให้เราได้ค้นลึกลงไปในแหล่งพลังงานทุกขุมที่มีอยู่ในตัวและนำมันออกมาใช้ การบอกตัวเองว่า “ดีแล้ว” และยืนกระหยิ่มยิ้มและพอใจไม่ก้าวต่อ ทั้งที่เส้นทางข้างหน้า อาจมีอะไรให้ไขว่คว้าได้อีกเยอะ คือความคิดที่กีดขวางการก้าวย่างไปสู่ความยอดเยี่ยม ในทัศนะของครูเฟลทเชอร์ ผู้เหมือนจะมาพร้อมกับค้อนอันมหึมาที่จะทุบทลายกรอบความสามารถ ผลักดันผู้คนให้ข้ามพ้นจากความสำเร็จธรรมดาๆ สู่ภาวะแห่งความเป็นเลิศ
“...ฉันต้องการผลักดันผู้คน มากกว่าที่พวกเขาทำได้
เพราะไม่อย่างนั้น เราก็จะพลาดโอกาสในการสร้าง หลุยส์ อาร์มสตรอง คนใหม่ หรือ ชาร์ลี ปาร์คเกอร์ อีกคน”
ในบางฉากของหนัง ครูเฟรทเชอร์กล่าวไว้อย่างนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงตัวตนและความเชื่อของเขาแบบหมดเปลือก มันอาจจะดูสุดโต่ง มันอาจดูเหมือนจะล้ำเส้นจาก “ผลักดัน” กลายเป็น “กดดัน” จนตึงเครียด แต่ก็อย่างที่เขาว่า ถ้าเราเอาแต่ประนีประนอมกับตนเอง ก็อย่าได้ฝันถึงการกำเนิดบุคคลผู้เป็นเลิศขึ้นในโลก
...ในบรรดาผลงานเก้าเรื่องที่เข้าชิงออสการ์สาขาหนังยอดเยี่ยมปีนี้ วิปแพลช อาจไม่ใช่เต็งจ๋า แต่สถานะของมัน คือหนังที่มีคนรักมากมายมหาศาล คือแต่ละปี ออสการ์มักจะมีหนังลักษณะนี้เข้ามาร่วมชิงประดุจไม้ประดับที่น่าจับตา The Kids Are All Right , Silver Linings Playbook, Juno หรือ Little Miss Sunshine ความยอดเยี่ยมของหนังเหล่านี้โดยที่ไม่ต้องรอให้ออสการ์มอบตุ๊กตาทอง แต่คนดูผู้ชมก็จะสามารถสัมผัสได้คือมันมักจะมาพร้อมกับเนื้อหาที่น่าประทับใจ ส่งผลต่อความรู้สึกในด้านใดด้านหนึ่งอย่างรุนแรง และส่วนใหญ่จะมีบทสรุปที่สวยงาม มันเหมือนเสียงหนึ่งซึ่งส่งสารถึงผู้คนว่า ต่อให้โลกนี้ย่ำแย่เพียงใด แต่ถ้าใช้สายตาพิจารณาดีๆ ในร้ายมีดี ในขมขื่นก็มีรื่นรมย์ มันผลักดันให้เรากล้าก้าวกล้าเผชิญกับปัญหาในชีวิต เช่นเดียวกับวิปแพลชที่ผลักดันให้เราพร้อมจะก้าวข้ามทุกข้อจำกัดด้วยความเพียรพยายามอย่างถึงที่สุด
เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที ต้องใช้พลังงานและศักยภาพให้เต็มที่
นั่นคือสิ่งที่ครูเฟลทเชอร์พยายามบอกกับทุกคน
ยอดเยี่ยมครับสำหรับวิปแพลช ใครกำลังมองหาพลังผลักดันหรือแรงฝันบันดาลใจ
รีบรายงานตัวต่อครูเฟรทเชอร์โดยด่วน!
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |