ย้อนรอยเรื่องราวบนเส้นทางคนสู้ชีวิต "ประจวบ จำปาทอง" นายห้าง 100 ล้านผู้พลิกประวัติศาสตร์ลูกทุ่งไทยจากรายการ "ชุมทางคนเด่น" และเจ้าของครีมไข่มุกชื่อดัง
วงการบันเทิงบ้านเราต้องสูญเสียคนมีฝีมืออีกครั้งหลังมีงายงานว่า "ประจวบ จำปาทอง" หนึ่งในคนสำคัญของวงการเพลงลูกทุ่งได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 74 ปีเมื่อช่วงบ่ายของวันวานที่ผ่านมา
"ประจวบ จำปาทอง" ชื่อนี้ - นามสกุลนี้เด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่คุ้นเคยเท่าใดนัก แต่สำหรับคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปเชื่อว่าหลายคนจะต้องรู้จักกับชายคนนี้เป็นอย่างดีทั้งในบทบาทของนักร้อง โฆษกชื่อดังทางวิทยุ ที่สำคัญก็คือในฐานะเจ้าของผลิตภัณฑ์เพื่อหน้าขาวยุคแรกๆ ที่มีชื่อว่า "กวนอิม" นั่นเอง
พลิกดูปูมประวัติกว่าจะกลายเป็น "นายห้าง 100 ล้าน" คนนี้ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเพราะมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายและถือเป็นแบบเรียนของคนที่มีความมุ่งมั่นได้เป็นอย่างดี
"ประจวบ จำปาทอง" เกิดเมื่อพ.ศ.2483 ที่จังหวัดนครพนม เรียนที่โรงเรียนเทศบาลสองหนองแสง ในตัวจังหวัด ระหว่างที่เรียนอยู่เจ้าตัวได้รับรู้เรื่องราวความทันสมัยโอ่อ่าของเมืองที่ชื่อ "กรุงเทพ" จากเพื่อนๆ และคนใกล้ตัวทำให้เขามีความฝันอยากจะเข้ามาสัมผัสชีวิตในเมืองกรุงสักครั้ง แต่ฝันนั้นกลับถูกฏิเสธโดยพ่อ-แม่ของเขาที่ต้องการให้เขาตั้งใจเรียนเพื่อจะได้ไม่อดตาย
แต่ด้วยความรักกรุงเทพฯ จนขึ้นสมอง วันหนึ่งในปีพ.ศ.2497 เจ้าตัวในวัย 14 ปีจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านเข้าสู่เมืองหลวงโดยมีเงินติดตัวเพียงไม่กี่สิบบาทและไม่รู้จักใครเลย พยามหางานอยู่หลายวันเพื่อหาเงินซื้อข้าวกินประทังชีวิตแต่ก็ไม่เป็นผล เจ้าตัวจึงตัดสินใจเดินทางไปยัง จ.ชลบุรี ได้งานเป็นลูกจ้างทำโป๊ะได้เงินเดือนละ 100 บาทพอประทังชีวิต
จากนั้นชีวิตของเขาก็เริ่มดีขึ้นมานิดหลังได้ไปทำงานที่โรงโม่ ได้เงินเพิ่มเดืนละ 50 บาท ทำงานที่โรงโม่ไม่กี่เดือนพอมีเงินเก็บ เจ้าตัวก็ตัดสินใจมุ่งเข้าสู่กรุงเทพฯ เมืองในฝันอีกครั้ง คราวนี้โชคชะตาพาเขาไปเป็นจ็อคกี้ม้าแข่งที่คอกของ "อุดม ประพันธ์ทเสน" ก่อนยึดอาชีพนี้นานว่า 5 ปีเพราะรู้สึกสนุก ระหว่างนั้นเขาก็เข้าเรียนที่โรงเรียนไพศาลศิลป์ต่อด้วยวัดสุทัศน์ตามลำดับ
เก็บเงินจากการเป็นจ็อคกี้ได้ก้อนหนึ่งประจวบก็ตัดสินใจบินไปเสี่ยงโชคที่ญี่ปุ่นเพื่อเรียนต่อและหวังจะดูงานเกี่ยวกับเครื่องสำอางพร้อมตั้งความหวังของตนเองเอาไว้ว่าจะต้องเปิดร้านเป็นตัวเทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามให้ได้ แต่อยู่ที่ญี่ปุ่นได้แค่ 3 ปีเจ้าตัวก็ต้องกลับมาเมืองไทยเพราะเงินหมด ตอนนี้เองชีวิตของเขาก็เกิดความเคว้างคว้างอีกครั้ง
จากนั้นเจ้าตัวจึงได้ไปอยู่กับคณะลิเกของ "จันทร์แรม พยัคฆ์โส" และหวังจะเอาดีทางด้านนี้ก่อนได้รู้จักกับ "พร ภิรมย์" ที่กลายเป็นราชาเพลงแหล่ในเวลาต่อมา โดยช่วงที่เล่นลิเกอยู่นั้นหากมีเวลาว่างประจวบก็จะมาขายข้าวแกงอยู่ที่หลังวังบูรพาหารายได้อีกทาง ซึ่งในเวลาต่อมาเจ้าตัวก็ได้ติดตาม "พร ภิรมย์" ออกจากคณะลิเกไปร้องเพลงกับวงดนตรี "จุฬารัตน์" ของ "ครูมงคล อมาตยกุล" วงดนตรีลูกทุ่งชื่อดังในสมัยนั้่น
ร้องเพลงพร้อมเป็นโฆษกได้ไม่นานเจ้าตัวก็อยากจะเป็นนักจัดรายการวิทยุขึ้นมาจึงได้ไปเป็นโฆษกวิทยุจัดรายการเพลงที่สถานี "จ.ส." และที่นี่เองที่ทำให้เขาได้พบกับแฟนสาวที่ทำหน้าที่คอนโทรลเครื่องและได้กลายเป็นคู่ชีวิตของเขาในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามแม้ทั้งสองจะมีความรักต่อกันแต่เส้นทางก็หาได้ราบรื่นไม่ เพราะต้องมาถูกทางญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงกีดกัน
ทั้งคู่ฟันฝ่าจนได้แต่งงานกันในที่สุด หลังมีครอบครัวประจวบยิ่งมีความมุมานะมากยิ่งขึ้นเพื่อไม่ต้องการให้ทางญาติภรรยาดูถูก โดยตั้งบริษัท "จำปาทอง" สั่งเครื่องสำอางจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่าย มีผลิตภัณฑ์ที่หลายคนรู้จัก อาทิ แป้งน้ำจำปาทอง, ครีมเชฟจากอเมริกา, น้ำหอมแห้ง เอเธนส์ รวมถึงครีมไข่มุกแก้สิวลอกฝ้าตรา "กวนอิม" อันลือลั่น
ขณะที่ลีลาการจัดรายการเพลงของขาก็เป็นที่ประทับใจของคนส่วนใหญ่จนชื่อเสียงเริ่มขจรไกล มีการเปิดค่ายเสกสรรค์เทปแผ่นเสียงขึ้น นอกจากนี้เจ้าตัวยังได้รับการยกย่องให้เป็นผู้พลิกประวัติศาสตร์วงการลูกทุ่งไทยหลังจัดประกวดร้องเพลง "ชุมทางคนเด่น" ออกทางช่อง 7 ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีและสร้างนักร้องลูกทุ่งขึ้นมาประดับวงการมากมาย อาทิ พุ่มพวง ดวงจันทร์, ศิรินทรา นิยากร, สุนารี ราชสีมา ฯ
สำหรับผลงานเพลงในฐานะการเป็นนักร้องของเขานั้นมีอยู่หลายเพลงเช่นกัน อาทิ คอแห้งเป็นผง, คนเมา, น้ำตาโฆษก ฯ แต่ที่รู้จักกันมากก็คือเพลง สัปเหร่อ ทั้งนี้ศพของประจวบ จำปาทองนั้นจะตั้งสวดพระอภิธรรมที่วัดเทพศิรินทร์ (ศาลา 3) ตั้งแต่วันที่ 19 - 25 พฤศจิกายน 2557 จากนั้นทางญาติจะเก็บศพไว้ 100 วันก่อนทำพิธีต่อไป
หมายเหตุ : เรียบเรียงประวัติจาก "อนุทินคู่ชีวิตดารานักร้อง" เล่ม 3 ปีที่ 1 ฉบับพิเศษที่ 3 ประจำเดือนธันวาคม พ.ศ.2514
วีรกรรมของ ประจวบ จำปาทอง
เพลงสัปเหร่อ
ศิลปิน : ประจวบ จำปาทอง
เนื้อร้อง : ไพบูลย์ บุตรขัน
...คนเรา มีกรรม เหมือนคำ พุทธภาษิต
ว่า เกิดมา ใช้หนี้ ชีวิต ลิขิต ไปตาม
บาปกรรมสร้าง มา เกิดมา เป็นคน
บ้างมี บ้างจน เป็นธรรมดา
เหมือน เป็น สัญญา โลกเรา นี้หนา
เปรียบโรง ละคร เกิดมา ทุกคน
ไม่พ้น ที่เชิง ตะกอน เหลือ ตัว ล่อนจ้อน
ที่หลับ ที่นอน เหมือนกัน คือโรง
...คนเรา มีกรรม ต้องทำ กุศล ไว้บ้าง
เพื่อ แบ่งเบา หนี้บาป ตามล้าง
คิดสร้าง แต่บุญ เป็นทุนเชื่อม โยง
อย่าหยิบ อย่าฉวย หาทาง ร่ำรวย
ด้วยการ กินโกง แม้นตาย เข้าโรง
บาปกรรม เพราะโกง ติดตาม เรื่อยไป
ถึงเป็น เศรษฐี มั่งมี เงินทอง เพียงใด
หมดลม แล้วไม่ อาจนำ เงินไป ได้เลย สักคน
...เวรกรรม ตามทัน เห็นกัน ด้วยตา ก็บ่อย
เข้า อยู่ใน คุกไม่ ใช่น้อย ไม่ค่อย จดจำ
ในความ ทุกข์ทน สวรรค์ ในอก
และมี นรก ในดวง กมล ขอเตือน ทุกคน
ว่ามี หรือจน ไม่เห็น สำคัญ
หมดลม หายใจ แล้วไป นอนเรียง เคียงกัน
ที่ป่า ช้านั่น ไม่พ้น มือฉัน
พวก สัปเหร่อ