xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ “เฟ็ดเฟ่” กับเทปที่โดนแบน โชว์ จ.เจี๊ยวจ๊าว ต้องการอะไรจากสังคม!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“เฟ็ดเฟ่” ขอโทษสังคม ตั้งใจโชว์ จ.เจี๊ยวจ๊าว กลางรายการสแกนเกย์ บอกอยากเซอร์ไพรส์ทีมงาน รับโง่ - เพี้ยน ส่วน “เอกกี้” แอบชอบนิดหน่อย ยันไม่ใช่ความชอบส่วนตัว แค่ก้าวข้ามความกลัวของตัวเอง เผยทุกวันนี้ไม่กล้าไปหาหมอ หวั่นโดนวินิจฉัยเพี้ยน! ยันสติสตังไม่เต็ม แต่ไม่เคยทำร้ายใคร เปรียบตัวเองเหมือนขี้แมลงวันในสังคม สร้างผลงานสะท้อนสังคมสีเทา!

กลายเป็นประเด็นร้อนบนโลกออนไลน์เลยทีเดียว สำหรับรายการสแกนเกย์ เทปโดนแบน กับแขกรับเชิญ “เฟ็ดเฟ่ บอยแบนด์” กลุ่มคนที่มักทำอะไรแผลงๆ แต่โดนใจชาวเน็ตจนกลายเป็นเน็ตไอดอล แต่ล่าสุดสังคมกำลังประณาม “โจ๊ก - ต้า - ยัด” เกรียวกราวกับวีรกรรมที่คาดไม่ถึง เล่นโชว์ จ.เจี๊ยวจ๊าวกันจะจะกลางรายการ โดยเฉพาะ “ยัด” ที่ลงทุนแก้ผ้าหมดทั้งตัว เดินโทงๆ เข้ารายการ นำถุงเท้าปกปิดแค่ของลับ จนพิธีกรรายการอย่าง “เอกกี้ เอกชัย” ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว ซึ่งถึงแม้เทปดังกล่าวจะไม่ได้ออกอากาศ แต่ก็มีการนำภาพมาลงในยูทิวบ์ งานนี้คนที่ได้ดูต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเกินจะรับได้ และพฤติกรรมแบบนี้ต้องการให้อะไรสังคม

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวบันเทิงผู้จัดการออนไลน์ได้ตามไปสัมภาษณ์หนุ่มยัดในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง “แก๊งค์ขาสั้นเจอพี่แขนยาว” ณ โรงเรียนแย้มจาดวิชชานุสรณ์ ซอยนวลจันทร์ 36 ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความคิดของตนเอง ไม่เกี่ยวกับทีมงานและไม่ใช่สคริปต์ ส่วนตนทำไปเพื่อสร้างรอยยิ้ม อยากให้ทีมงานทุกคนสนุก จนลืมคิดไปว่าต้องมีการออกอากาศทางทีวี งานนี้ยอมรับว่าเป็นความโง่ของตนล้วนๆ

“คือผมต้องบอกว่าผมไม่ได้เก่งเรื่องการแสดง ผมไม่ได้เก่งเรื่องการพูด หรือเรื่องมุขอะไรต่างๆ นะ มันก็เหมือนเป็นทางออกฉุกเฉินของผมนะ ผมก็เลยเลือกที่จะแก้ผ้า คือผมไม่ค่อยมีสมอง ผมไม่ค่อยได้คิดอะไรอยู่แล้ว ผมก็เลยทำแบบนั้นออกไป สิ่งแรกที่คิดที่จะทำแบบนั้นก็แค่หวังให้มันเป็นความบันเทิงเฉยๆ อย่างอื่นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าเกิดกระแสอะไรต่างๆ ผมก็ยอมรับได้ ไม่ได้อะไร”

“ผมเป็นคนคิดเองว่าจะแต่งตัวแบบนั้น ไม่ได้มีทีมงานหรือสคริปต์อะไรบอกให้ผมใส่ คือผมค่อนข้างที่จะโตมากับความเป็นบ้านๆ หรืออาจจะเป็นเพราะไม่รู้เยอะก็ได้ คือผมโง่นั่นแหละ ผมคิดว่าผมจะทำให้คนที่อยู่ตรงนั้น ทีมงาน หรือคนที่ถ่ายอยู่ตรงนั้นเขาสนุกยังไง เราก็นึกไม่ออก ก็เลยทำเท่าที่ตัวเองคิดได้ ก็แต่งเสื้อผ้าน้อยชิ้นออกไป เพื่อให้คนที่อยู่ตรงนั้นเขาสนุกเฉยๆ เพราะมันเป็นการอัดรายการ มันไม่ได้มีต้องไปเล่นกับสื่ออะไร แต่ก็ลืมนึกไปว่ามันเป็นการออกทีวี”

“พอออกไปทีมงานก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ ทุกคนหัวเราะ สนุก ทุกคนไม่ได้อะไรอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่มันชัดเจนคือเหมือนเรื่องร้ายๆ ทุกคนก็พบเจออยู่แล้วในชีวิตน่ะ เพียงแต่ว่าเขาจะเจออะไร ผมก็อาจจะเป็นเรื่องร้ายๆ สิ่งหนึ่งในชีวิตที่เขาเจอวันนั้นก็ได้ แต่เชื่อเถอะครับว่าข้อผิดพลาดบางอย่างที่มันเกิดขึ้น บางทีเราก็ไม่ได้อยากให้เกิด แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ถอดตลอดทั้งรายการนะครับ มันถอดแค่ช่วงแรกที่เดินเข้าไป จากนั้นเราก็เดินเข้าหลังโพเดี่ยม แล้วเราก็ใส่กางเกงปกติครับ”

บอกพอสั่งคัตก็โดนสั่งให้ใส่กางเกง แต่ด้าน “เอกกี้ เอกชัย” ก็มีทั้งกลัว ตกใจและอาจจะชอบนิดหน่อย
“พอมีช่วงสั่งคัตเขาก็มาบอกให้ผมใส่กางเกง เพราะตอนนั้นความรู้สึกของผมอย่างเดียวเลยคือมันเย็น รู้สึกสบายดี มันโล่งๆ แต่พอถ่ายรายการไปสักพักหนึ่งสั่งคัตเขาก็ให้ใส่กางเกง เพราะกระบวนการเราก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องมีการตัดต่อ พี่เอกกี้เองก็มีสองอารมณ์นะ หนึ่งคือตกใจ แล้วก็กลัว อีกอย่างก็ดูชอบนะ มีอมยิ้มนิดๆ (หัวเราะ) แต่เขาเพิ่งเห็นตอนที่ผมเดินออกมานั่นแหละ คือผมอยากเซอร์ไพรส์ทีมงานที่เขาทำงานกันอยู่ตอนนั้น เพราะผมพูดตรงๆ เลยว่ากับทีมงาน กับพี่เอกกี้เราก็ค่อนข้างที่จะรู้จักกัน เขาค่อนข้างที่จะรู้ตัวตนว่าผมเป็นคนยังไง โง่ บ้าหรืออะไรอย่างนี้ เขาจะรู้อยู่แล้ว และสิ่งที่ผมทำก็แค่ต้องการที่จะเซอร์ไพรส์และสนุกกับทีมงานแค่ตรงนั้นเองครับ”

“ผมไม่ได้คิดอะไรมากเลย ไม่คิดถึงเรื่องกระแสที่จะตามมา คือผมก็บอกตัวเองไว้ก่อนว่าถ้าดูผมแก้ผ้าแล้วก็อย่าไปแก้ผ้าตามผมนะครับ เดินถนนไปไหนโน่นนี่นั่น ซึ่งผมว่ามันไม่มีใครทำอยู่แล้ว และการออกมาก็ไม่ได้เปลือยทุกชิ้น เพียงแต่มันโล่งมากๆ มันเหลือแค่หน่อยเดียว มันก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน”

บอกการแก้ผ้าเป็นวิธีก้าวผ่านความกลัวของตัวเอง
“จะเรียกว่ามันเป็นสไตล์ของเราได้ไหม คือจริงๆ มันก็มีบางสิ่งที่เรากลัวนะ บางทีพอเรากลัวแล้วทางออกก็คือเราไม่ต้องไปคิดหรือกังวลอะไรเลย ทำอะไรเท่าที่อยากทำเพื่อให้มองข้ามความกลัวนั้น นั่นก็คือเรากลัวที่จะทำอะไรต่างๆ นานา มันจะมีคนที่ค่อนข้างจะจับผิด คนที่คอยวิจารณ์ ซึ่งมันก็ดีในการที่มีคนคอยควบคุม หรือคนที่ทำกรอบโน่นนี่นั้น มันก็ดีครับ แต่บางทีลึกๆ ก็ต้องมีอีกฝั่งหนึ่งที่กลัวเวลาที่จะทำอะไร และพอเขาจะทำอะไรมันก็กลัวไปหมดว่าจะโดนด่าโน่นนั่นนี่ จนสุดท้ายเขาจะกลายเป็นสุดท้ายเขาอาจจะเป็นคนที่ไม่แคร์อะไรเลยก็ได้ มันอาจจะเลวร้ายกว่าเดิมก็ได้”

“แต่มันไม่ใช่ความชอบส่วนตัวหรอก เรียกว่าเป็นความโง่โดยส่วนตัวมากกว่า เหมือนการแก้ผ้ามันเซฟสุดแล้วในการที่จะเอาตัวรอด เพื่อให้ทุกคนได้ยิ้ม ได้ตลก นี่ในความคิดของพวกผมนะ แต่เราก็ต้องแยะว่าคนที่รู้สึกอายกับการถอดเสื้อผ้าเนี่ย เขาคือคนปกติ แต่ผมเป็นคนที่ไม่ปกติ ทุกวันนี้ผมยังไม่กล้าไปหาหมอเลย กลัวเขาบอกว่าความจริงแล้วมึงบ้านะ มึงสติไม่ดีนะ ผมยังกลัวตรงนั้นอยู่เลย (หัวเราะ) เพราะเราก็รับไม่ได้เหมือนกันว่าสิ่งที่เราคิดมาตั้งแต่เด็กมันเป็นจริงแล้วเหรอวะ ว่ากูเป็นคนเพี้ยน (หัวเราะ)”

“แต่เรื่องฟีดแบ็กต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนที่ไม่ได้เล่นอะไรมาก ไม่ได้ตามอะไรมาก งานแต่ละชิ้นที่ผมทำไปผมไม่ชอบที่จะมานั่งดูงานตัวเองย้อนหลัง บางคนก็บอกว่าดูไว้เพื่อจะได้แก้ แต่สำหรับผมเหมือนว่าบางอย่างเราก็รู้แหละ แต่เราก็ยังมีความโรคจิตอยู่ (หัวเราะ) มันเป็นความโง่ของพวกผม อย่าใช้คำว่าเป็นสไตล์ เป็นทางหรืออะไรเลยครับ ใช้คำว่าเป็นความโง่ของพวกผมดีกว่า พวกผมมันโง่จนบางทีไม่รู้จะทำยังไงให้มันตลกหรือว่าสนุก ก็แก้ผ้านี่แหละ”

ขอโทษสำหรับคนที่ดูแล้วไม่พอใจ บอกจะพยายามเลิกแก้ผ้า แต่ไม่รับปากว่าจะทำได้
“แต่ถ้าผมจะพูดเหมือนไม่แคร์สังคมเลยมันก็ดูเหี้ยไปกว่าเดิมอีก ดูร้ายไปกว่าเดิมอีก แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นผมก็ต้องขอโทษทุกคนด้วย หรือว่าผู้ใหญ่หลายๆ ท่านที่ดูแล้วไม่ชอบ เขาดูแล้วรู้สึกว่าการแก้ผ้ามันไปออกโน่นนี่เยอะ คนดูเยอะ มันมีผลต่อสังคม ผมก็ต้องขอโทษตรงมุมนั้นด้วย แต่ผมจะพยายามใส่เสื้อผ้าให้มากขึ้น (ยิ้ม) ผมจะพยายามเลิกในการแก้ผ้า ก็ให้โอกาสผมเลิกสักหน่อย อาจจะ 2 - 3 ปี หรือ 4 - 5 ปี หรือบางทีผมอาจจะเลิกไม่ได้ก็ได้”

มันก็เหมือนบุหรี่นะ ผมไม่รู้นะว่าคนจะชอบติดการแก้ผ้าหรือเปล่า แต่ผมว่ามันเหมือนบุหรี่ มันติดได้ เลิกได้ ไม่มีใครบอกว่าเลิกไม่ได้ แต่มันก็อาจจะมีคนที่เลิกไม่ได้ก็ได้ ผมก็บอกว่าผมติด (หัวเราะ) ผมก็อาจจะเลิกได้หรือเลิกไม่ได้ก็ได้ จะมองว่าผมเป็นคนไม่เต็มในสังคมก็ได้ หรือเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องสมองก็ได้ ผมไม่ได้อะไร แต่ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ไปทำร้ายคนอื่น ถึงแม้มันอาจจะมีไปทำร้ายคนอื่นทางอ้อม แต่ผมรู้สึกว่ามันน่าจะไปทำอย่างอื่นมากกว่าการจะไปใส่ใจกับอะไรอย่างนี้”

“ก็มีคนบอกเยอะเหมือนกันว่ากลัวผมจะไปเป็นแบบอย่างของน้องๆ ซึ่งผมบอกตรงๆ เลยว่าบางอย่างผมก็เอาน้องๆ เป็นแบบอย่างนะ (หัวเราะ) บางอย่างผมก็เอามาจากในสังคมที่เขามีโน่นนี่นั่นมาครับ บางทีผมก็เกาะกระแสไปด้วย ทำคลิปล้อเลียนโน่นนี่ คือต้องพูดก่อนว่ามันแล้วแต่มุมมองนะครับ ผมไม่ได้ทำงานสำหรับผ้าขาว ผมทำงานสำหรับสีเทา คือมันเปรอะ มันเปื้อน มันดำก็ได้”

“ผมไม่ได้เหยียดสำหรับคนโลกสวยนะ ผมเข้าใจความคิดของแต่ละคน แต่เอาสิ่งที่เรามีให้ หรือบางทีผมก็ไม่รู้ว่ามันมีหรือเปล่านะ (หัวเราะ) คือถ้าคิดว่าดูแล้วมันมีแง่คิด หรือประโยชน์ หรือดูเพื่อยิ้ม หรือเพียงแค่คลายเครียดให้เราไปทำงานอย่างอื่นต่อ หรือดูเพื่อเป็นอุทาหรณ์ก็ได้ ว่าเฮ้ย…มันดูแล้วไอ้แม่งน่าเกลียด มันไม่น่าทำตาม คือผมไม่ได้แก้ผ้าทุกครั้ง ผมไม่ได้มายืนบอกว่าการแก้ผ้ามันดี ผมไม่ได้พูดจาคำหยาบแล้วมาบอกว่าการพูดจาคำหยาบแล้วมันดี ผมว่ามันอยู่ที่ดุลพินิจหรือการคิดของแต่ละคน ผมเชื่อว่าเด็กสมัยนี้มันไม่ได้โง่นะ การที่เขาจะทำนอกลู่นอกทางเขาทำง่ายนิดเดียวเอง”

“แต่บางคนก็บอกอีกว่าคุณก็ไม่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการที่ไปเพิ่มให้มันเกิดขึ้นในมุมมองนั้น อย่างนั้นก็ขอให้มองซะว่าพวกผมเป็นเหมือนขี้แมลงวันในสังคม หรือเป็นอะไรก็ได้ที่มันเอาไว้เป็นตัวอย่างเปรียบเทียบว่าดูแล้วมันไม่ดีนะ สมมติว่าคุณอยู่กับลูกแล้วบอกลูกว่าการพูดจาคำหยาบมันไม่ดีนะ แล้วไม่รู้จะเปรียบเทียบแบบไหนก็เปิดเฟ็ดเฟ่ให้เขาดู แล้วก็บอกว่าเนี่ยทำแล้วมันจะเป็นแบบนี้ สังคมมันจะประณามแบบนี้ ทำอย่างนี้แล้วไม่ดี คืออะไรก็แล้วแต่ถ้าคุณรู้สึกว่าสามารถเอาเราแล้วไปใช้ประโยชน์ได้หรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ๆ ทุกครั้งที่ทำก็ขอเพียงแค่ให้คนดูแค่ยิ้มกับสนุกไปด้วยกัน นอกนั้นผมก็ไม่สามารถที่จะฉลาดหรือจัดการที่จะแก้ปัญหาเรื่องอื่นได้เยอะหรือมากมายขนาดนั้นแล้ว”

บอกพวกตนไม่ได้มีพิษมีภัยต่อสังคม และถึงจะพูดคำหยาบกับงาน แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครไปพูดมึง - กูกับพ่อแม่แน่
“ผมว่าในเฟ็ดเฟ่เราค่อนข้างจะเอาตัวเองเป็นหลัก หรือทำให้บางทีมองไม่เห็นสิ่งที่มันไกลหรือผลกระทบมันก็เลยเป็นปัญหา มันก็เลยทำให้พวกผมมีกันอยู่แค่นี้แหละครับ 10 คนแค่นี้ เพราะว่ามันค่อนข้างน่ากลัวในการที่พวกผมจะออกไปคบคนอื่น ไม่แน่พวกผมอาจจะทำให้เวลาไปคบคนอื่นมันอาจจะกลายเป็นโรคติดต่อในการที่จะแก้ผ้ามันระบาดมากกว่าเดิม (หัวเราะ) สำหรับพวกผมชีวิตมันต้องไปเจออะไรอีกมากครับ บางสิ่งบางอย่างก็ทำไปแบบที่เรียกว่าสันดานเสียก็ได้ (หัวเราะ) ไม่มีคอยกระตุก คอยฉุดกันหรอก มีแต่จะยุกันมากกว่าเดิมด้วยครับ (หัวเราะ)”

คือทุกวันนี้ผมพยายามที่จะเก็บเงินและพยายามจะเปลี่ยนออฟฟิศเฟ็ดเฟ่ให้เป็นหลังคาสีแดงอยู่ เพราะดูจากรูปการแล้วคงอีกไม่นาน หรืออาจจะของบจากรัฐบาลเพื่อมาตั้งสถานบำบัดอะไรสักอย่างสำหรับคนพวกนี้ แต่เชื่อเถอะครับว่าคนพวกนี้เขาไม่ได้มีพิษภัยอะไร ถ้าตราบใดที่สังคมยังให้โอกาสอะไรพวกนี้ยืนอยู่ในสังคมได้ หรือพูดว่าคุยความจริง พูดความจริง คือเอาสังคมจริงๆ มาพูด คือสิ่งที่พูดก็ถูกว่าในการออกมาทำแบบนี้เด็กมันจะโน่นนี่นั่น มันก็ถูก แต่ในจุดของพวกผมบางทีคำหยาบบางคำ หรือกิริยาบางอย่างผมก็เอามาจากอย่างอื่นเหมือนกัน”

“คือเขาก็อาจจะย้อนผมได้ว่าคุณยังไปเลียนแบบสื่อแล้วเอามาทำเลย แต่สิ่งหนึ่งที่มันชัดเจนผมว่าบางครั้งเราต้องพูดเรื่องจริงครับ อะไรที่มันเป็นจริงๆ ซึ่งมันไม่มีอะไรที่จะดูค้านกับสัญชาตญาณของคนหรอก ในการที่ผมพูดกับเพื่อนว่ากูมึง แล้วผมจะไปพูดกับพ่อแม่ว่ากูมึง ผมว่าอันนั้นมันเป็นสัญชาตญาณหรือสายพันธุ์มันผิดเพี้ยนไปแล้ว คือผมว่ามันขึ้นอยู่กับสถานการณ์อะไรต่างๆ ไม่มีทางที่ผมจะหยาบกับทุกคน ไม่มีทางที่ผมจะไอ้นี่กับทุกคน แต่ผมก็หยาบในเฉพาะตัวงานของผม”

บอกไม่ได้ให้คนเสียเงินมาดูพวกตน แต่ถ้าดูแล้วเกิดสิ่งที่ผิดพลาดพวกตนก็พร้อมขอโทษ
“แต่ผมต้องบอกก่อนเลยว่าผมไม่ได้ตั้งเก็บตังค์เพื่อให้คนอื่นเข้ามาดู แล้วเขารู้สึกไม่ดี เขารู้สึกสูญเสีย แต่ผมเปิดในช่องทางที่มันฟรี เมื่อมันฟรีในการที่คุณจะเข้ามา อย่าใช้คำว่าเป็นตัวเลือกเลยครับ ใช้คำว่ามันจะเป็นแชนแนลหนึ่งในความผิดพลาดของยูทูปก็ได้ ซึ่งคุณจะดูหรือจะไม่ดูก็ได้ เชื่อผมเถอะว่ามันไม่ได้จริงจังอะไรนักหรอกสำหรับพวกผม บางทีพวกผมก็โง่จนไม่รู้จะหาวิธีกระบวนการทางออกหรืออะไรยังไง ก็อาจจะทำเท่าที่ไม่รู้ก็ได้ แต่ถ้าอันไหนที่ทำไปแล้วผิดพลาดผมก็บอกกันตรงๆ คุยกันตามความจริงว่าพวกผมขอโทษ จะบอกว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกก็คือมันแล้วแต่ยาครับว่ายามันจะหมดหรือเปล่า ต้องดูว่าหมอเขาจะให้ยาหรือเปล่า (หัวเราะ)”

“ถามว่ามีหน่วยงานไหนหรือใครออกมาปราบไหม ถ้าเอาจากสื่อหรือจากคนที่รู้จักจริงๆ หรือคนที่ทำงานโปรดักชั่นส่วนมากเขาโอเคนะครับ คือเขาโอเคกับสิ่งที่ผมทำ มันเหมือนเวลาเขามองรายการพวกผม หรือเวลาทำงานกับพวกผม เขาจะมองว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นอะไรแบบนี้ คือบางครั้งเราจะไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้มันจะดีถ้าเราไม่เคยเห็นของที่มันเลว เราอาจจะต้องเห็นสิ่งที่มันเลวก่อนถึงจะรู้ว่าสิ่งนั้นน่ะมันดี คือผมไม่ได้บอกว่าผมเทพในการที่จะทำมาเพื่อจะเป็นตัวเลือก หรือทำมาเพื่อสอนสังคม เปล่าเลยครับ ไม่ต้องพยายามคิดว่าเฟ็ดเฟ่ทำดีหรือให้อะไรกับคน เปล่าครับ ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่มันก็มีบ้างที่อาจจะผลักดันให้สิ่งที่มันดีให้มันเห็นชัดขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นเอง”

เผยเวลาอยู่กับพ่อแม่ก็ยังเป็นลูกที่แทนตัวเองว่า “หนู” เวลาอยู่กับภรรยาก็เป็นอีกคนหนึ่ง
“พ่อแม่ผมเขาก็เหนื่อยกับผมมามากตั้งแต่เด็กนะ (หัวเราะ) เขาพยายามทำให้ผมเป็นคนปกติทุกอย่าง แต่ด้วยประการใดไม่รู้ หัวฟาดพื้นหรืออะไรสักอย่าง หรือเกิดตกฟากผิดเวลามันก็เลยทำให้ผมเชื่อว่าผมไม่ใช่คนปกติ เมื่อก่อนผมก็ไม่เชื่อนะ แต่ตอนนี้ผมเชื่อแล้ว (หัวเราะ) ผมยืนยันเลยว่าผมไม่ใช่คนปกติ ผมว่าพ่อแม่ผมก็ค่อนข้างที่จะชิน เพราะเวลาผมกลับไปบ้านผมก็จะเป็นอีกคนหนึ่ง ผมอยู่ข้างนอกผมคือยัด-า เฟ็ดเฟ่ คนทั่วไปมาถ่ายรูปผมก็พูดจาปกติ แต่เวลาผมอยู่กับเพื่อน ทำงานผมก็ทำอีกแบบหนึ่ง เวลาผมอยู่ที่บ้านผมชื่อเอฟ ซึ่งผมยังเรียกแทนตัวเองว่าหนูอยู่เลย (หัวเราะ) อย่างที่ผมบอกว่ามันขึ้นอยู่กับสถานที่มากกว่า”

“ส่วนกับภรรยาเขาก็ค่อนข้างจะเข้าใจว่าแต่ละอันที่ผมทำมันค่อนข้างชัดเจนคือ เมื่อผมไม่เก่งเท่าคนอื่น ผมไม่ฉลาดเท่าคนอื่น ผมแก้ปัญหาไม่ได้เท่าคนอื่น ผมก็ต้องพยายามทำอะไรที่มันไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งผมไม่ฉลาดอยู่แล้ว ผมก็เลยทำอะไรที่มันผิดรูปแบบหรือกรอบของสังคมที่คนอื่นเขามองบ้าง ซึ่งภรรยาของผมก็จะเข้าใจอยู่แล้วว่าเขาเพียงแค่พยายามที่จะทำออกมาให้สนุก เพราะว่าผมแทบจะไม่ได้มีความฉลาดอะไรขนาดนั้นมากกว่า ผมยืนยันเลยว่าเฟ็ดเฟ่โง่ทุกคนครับ แต่บางทีความโง่กับความบ้ามันก็แยกกันไม่ออก มันอยู่ใกล้กันมาก”

“แต่ภรรยาผมไม่ได้อะไรครับ เขาจะกังวลเรื่องลูกมากกว่า กลัวว่าลูกจะเหมือนพ่อ (หัวเราะ) ตอนนี้กำหนดคลอดประมาณต้นปีหน้าครับ ผมไม่ได้หวังอะไรเลยครับ ไม่ได้กังวลว่าเขาจะเป็นทอม เป็นตุ๊ด เป็นดี้หรืออะไร เพราะปัญหาที่มันเกิด เขาไม่ได้เลือกอยู่แล้ว ผมหวังแค่ให้เขาครบ 32 อย่างอื่นมันก็แล้วแต่ชีวิตที่เขาต้องไปเจอแล้วล่ะ คือถ้าวันหนึ่งเขามาเปิดดูเจอพ่อแก้ผ้า หรือเคยไปดูงานคนอื่นแล้วพูดจาคำหยาบ ผมก็จะอธิบายให้เขาฟัง คือคุยเรื่องจริงให้เขาฟัง ผมไม่ได้วาดฝันสวยหรูว่ามันเป็นอย่างโน้นอย่างนี้นะ ความจริงมันไม่มีอย่างนี้นะ คือถ้าเขาอยากจะอะไรที่มันไม่ดี ก็จะบอกเขาเลยว่ามันไม่ดีแบบไหน ก็ต้องไปเจอเอง บางทีคนเราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กครับ ฟังมาทุกคนรู้หมด ชั่วดีรู้หมด แต่บางทีก็ดื้อ มองดูสิทุกคนลองทำหมดแหละ และเมื่อลองทำแล้วเจอเองก็จะจำเองโดยอัตโนมัติ”

“แต่ผมก็ไม่ถือว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวหรอกนะ แฟนผมจะเป็นช้างเท้าหน้า ลูกเป็นเท้าหลัง ผมน่าจะเป็นหางมากกว่า (หัวเราะ) คอยปัดแมลงวันเวลามากัด คือผมค่อนข้างที่จะให้แฟนผมเป็นคนดูแลเรื่องต่างๆ ซึ่งบางอย่างผมก็โง่อย่างที่บอก ความจำสั้น การบริหารอะไรต่างๆ นานาก็ทำไม่เป็น แต่มีเรื่องหนึ่งที่รู้สึกโอเคคือเรื่องของครอบครัวครับ ไม่ว่าผมไปอยู่ข้างนอกคนจะรู้จักผมในนามอะไร ผมไปทำอะไรมา แต่เมื่อผมเข้าบ้านแม่ก็เรียกผมว่าเอฟ ผมก็แทนตัวเองว่าหนู ก็เหมือนเดิมครับ จริงๆ ถ้ามองแบบเป็นคนเห็นแก่ตัวก็คือบางทีไม่ต้องไปมองอะไรไกล เอาแค่คนรอบๆ ใกล้ๆ ตัวเรา คนที่เรารัก คนที่เขารักเรา บางทีผมว่ามันก็โอเคแล้ว ฟังดูอาจจะเห็นแก่ตัวกับสังคมหน่อย แต่มันก็คือเรื่องจริงครับ ผมไม่ได้โตมาสวยหรู ชีวิตติดลบมาด้วย เป็นหนี้อะไรหลายอย่าง”

ถ้าจะให้นิยามความเป็นเฟ็ดเฟ่ มันคือโง่ครับ คือเรื่องจริงครับ ไม่มีใครหรอกครับที่จะมาแก้ผ้า ไม่มีใครหรอกครับที่จะมาพูดคำหยาบ ไม่มีใครหรอกครับที่จะมาทำอะไรรุนแรง ไม่มีใครหรอกครับที่จะมาทำตัวเพี้ยนๆ หรือขวางโลก มีสิ่งเดียวที่เขาทำได้หรือเขาอาจจะไม่รู้อะไรเลย คือเขาโง่ครับ นิยามสั้นๆ ง่ายๆ เฟ็ดเฟ่คือคนโง่ครับ (ยิ้ม)”














ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live

ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม



เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย
ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540
ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก
ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000
*ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก

กำลังโหลดความคิดเห็น