กลายเป็นเวทีเพื่อการแจ้งเกิดไปแล้วสำหรับโลกโซเชียลในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ในจำนวนบรรดาคนอยากเกิด-อยากดังทั้งหลายนั้น หลายต่อหลายคนเหมือนจะแค่ “ดูดี-มีของ” ยามอยู่หน้าจอเท่านั้น หากแต่พอออกสู่โลกแห่งความเป็นจริงเรากลับพบว่าหลายคนไปไม่เป็น ไม่มีอะไรให้น่าค้นหา หาความเจ๋งไม่ได้เอาเสียเลย
ที่สำคัญน้อยทีเดียวที่ “ของ” ที่ถูกปล่อยออกมาถึงจะจัดได้ว่าเป็นของดีมีคุณภาพควรที่จะพูดถึง
หนึ่งในจำนวนน้อยนั้นคงต้องยกให้กับ “ทีมพากย์กะหล่ำดอก” ที่ถึงตอนนี้เชื่อว่าคนในโลกออนไลน์โดยเฉพาะบรรดาคอบอลทั้งหลายส่วนใหญ่จะต้องคุ้นกับชื่อรวมถึงได้เห็นผลงานของเขาผ่านตาไปบ้างแล้ว
ไม่ใช่เพราะยอดจำนวนคนที่เข้าไปชมแต่ละคลิปที่มีการโพสต์ในจำนวนที่สูง ไม่ใช่เฉพาะยอดกดไลก์กับเสียงชื่นชมจำนวนมากเท่านั้น หากแต่เป็นความเนี้ยบของงานต่างหากที่บ่งบอกว่าเพจนี้ต้องไม่ธรรมดา
หลายคนที่มีโอกาสได้ชมคลิปผลงานจากทีมพากย์กะหล่ำดอกเกือบร้อยทั้งร้อยจะต้องรู้สึกเหมือนๆ กันว่านี่มันงานจากมืออาชีพชัดๆ
“พูดได้ไม่เต็มปากว่ามืออาชีพ หรือมือสมัครเล่นนะ แต่ก็ทำเป็นอาชีพอยู่พักใหญ่เหมือนกัน” เสียงจาก “โปร นที สาครพันธรักษ์” ซึ่งทีมพากย์กะหล่ำดอกคือเขาคนนี้ และเขาคนนี้คนเดียวคือทีมพากย์กะหล่ำดอก
“จริงๆ ก็เคยพากย์หนังอยู่ในช่องเคเบิลครับ ไม่รู้ว่าช่องใหญ่หรือเปล่า (หัวเราะ) คือตอนนั้นเขาได้หนังมาแต่ไม่ได้ลิขสิทธิ์เสียงพากย์ เขาก็ต้องฟอร์มทีมพากย์ใหม่ หลักๆ ก็มีนักพากย์อาชีพรุ่นใหญ่ที่เขามารับจ็อบอยู่แล้ว แต่มันขาดคน เขาก็เปิดรับสมัคร ช่วงนั้นผมเป็นฟรีแลนซ์ก็เลยไปสมัคร เพราะที่ผ่านมาเราก็เรียนเกี่ยวกับละครเวทีซึ่งมันก็เกี่ยวการใช้เสียงอยู่ รวมถึงงานที่ทำด้วย”
“ปรากฏว่าโชคดีที่เราก็ได้ ก็ไปพากย์ เวลาพากย์แต่ละคนแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลยนะ มาถึงก็แยกเข้าห้อง พากย์จบกลับบ้าน แทบไม่ได้รู้ว่าใครเป็นใคร จนมารู้ทีหลังเพราะน้องคนที่ตัดต่อเขาบอกเราว่า พี่ทั้งทีมมีพี่ที่จะเรียกว่าหน้าใหม่คนเดียวเลยนะ ที่เหลือคือทีมพากย์อินทรีล้วนๆ เราก็เฮ้ย จริงอะ นี่กูได้พากย์หนังเรื่องเดียวกับรุ่นใหญ่เลยหรือ”
ทำอยู่นานมั้ย?
“ทำอยู่ 3 ปี เงินเดือนตกเดือนละ 9,000 บาท พากย์หนังเดือนละ 30 เรื่อง คือเป็นอาชีพที่เงินน้อยที่สุดที่เคยทำ (หัวเราะ) แต่กลายเป็นว่าเราอยู่กับมันได้นานเลยนะ ที่อื่นเป็นยังไงไม่รู้แต่นี่คือประสบการณ์โดยตรงคือพูดได้เลยว่ามันอยู่ไม่ได้ ยิ่งถ้าเดือนไหนหนังขาดเหลือ 20 เรื่องเท่ากับเงินเดือน 6,000 มันจะอยู่ยังไง ก็เลยคิดว่าเราคงอยู่วงการนี้ไม่ได้แล้ว”
ไม่คิดที่จะต่อยอดไปจากตรงนี้
“จริงๆ มันก็มีงานสปอตโฆษณาเข้ามาบ้าง แต่มันอยู่ไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้ไปที่ใหญ่ๆ หรือที่ๆ มีโอกาส แต่ตรงนั้นถ้าเราเดินเข้าไปแบบว่าพี่ครับ ผมจะมาสมัครเป็นนักพากย์ ถ้าเข้าไปตรงนั้นนะด้วยความรู้สึกผมนะมันจะต้องเริ่มจากบทเล็กๆ ถ้าเขาเอานะ บทเล็กๆ บางทีอาจจะได้เงินน้อยกว่าที่เก่าอีกด้วยซ้ำ”
“คืออารมณ์มันเหมือนเด็กตามฝันน่ะ ซึ่งโดยสันดานส่วนตัวแล้วเราไม่ชอบทำอะไรให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราพยายาม (หัวเราะ) คือไอ้ช่วงที่พยายามเดี๋ยวผมไปพยายามของผมเงียบๆ เดี๋ยวผมโผล่มาอีกที พวกคุณจะถามว่านี่เป็นใครวะ เอาแบบให้มันสะใจดีกว่า เราก็เลยเลิกอาชีพนั้น”
จากนั้น?
“ก็เริ่มหลังมาจับงานทีวีมากขึ้น ทำสกู๊ป แล้วตอนนั้นคือเรายังมีวิสัยทัศน์ที่แคบอยู่ ยังใช้อารมณ์ทำงาน เฮ้ย มันน่าจะยังนั้นอย่างนี้ ก็เปิดบริษัททำไปสนุกสนาน ตอนแรกก็ดูดีมีช่วงพีกมีเงินเข้ามา แต่ไม่กี่วินาทีไม่กี่เดือนถัดมาเงินหายหมด ช่วง 1-2 ปีหลังบริษัทก็เปิดทิ้งไว้เฉยๆ แล้วตั้งแต่หลังน้ำท่วมก็แทบทำคนเดียว เพราะรู้สึกว่าเราแบกอะไรไม่ไหว”
“ทำคนเดียวมันตัวลำพัง ได้เงินหมื่นสองหมื่นก็อยู่ได้ ก็ทำหมดทั้งถ่ายคลิป ตัดต่อ โปรดิวซ์ บางงานเป็นโปรดิวเซอร์ บางงานเป็นไดเรกเตอร์ บางทีตากล้องขาดเราก็ถ่ายให้ บางทีให้ไปสัมภาษณ์ เราก็ไปได้ไม่มีปัญหา แล้วมันก็จะมีอีกงานหนึ่งที่มันงอกขึ้นมาคือทำสกู๊ป 2-3 นาที ด้วยความงบน้อยเราก็ต้องลงเสียงเอง ทำวอยซ์ โอเวอร์ ทำพวกสปอตวิดีโอพรีเซ็นเตชันเอง”
“แล้วทีนี้เพื่อนได้ยินมันก็บอกเสียงเอ็งคุ้นๆ ว่ะ ก็ถามเอ็งเคยพากย์ที่ไหนหรือเปล่า ผมก็บอกมีบ้าง มันก็บอกนั่นไงกูว่าแล้ว คือด้วยเนื้อเสียงเรา โทนเสียงเรามันไปคล้ายกับนักพากษ์รุ่นใหญ่ที่เนื้อเสียงเขาจะออกมาหนาๆ มันก็เลยเป็นความโชคดีว่าคนก็เลยคุ้นง่าย”
“เพื่อนผมคนนี้มันชอบอาชีพเป็นนักพากย์มาก ลงทุนไปเรียนเลยนะ แต่มันบอกว่ามันรู้ตัวว่าเสียงมันได้แค่นี้ มันก็บอกผมว่าอย่าเก็บมันไว้เลยความสามารถแบบนี้ มันบอกพี่ๆ นักพากย์เขาก็อายุมากกันแล้ว วันไหนแกจะลาวงการกันเราก็ไม่รู้ คลื่นลูกใหม่มามันก็ยังไม่มีใครไปทาบได้ มันก็ยุผมทำทีมเลย ผมก็แบบ หาทำทีมเลยหรือ นี่กูต้องไปแบบรับชีวิตคนอีกแล้วรึ ตอนทำบริษัทก็เจ๊งมาแล้ว”
จริงๆ ถ้าฟอร์มเป็นทีมจะต้องใช้ทีมสักกี่คน?
“ก็คือเสียงหลักที่เป็นเสียงขาย 1 เสียงรอง 1 เสียงทั่วไปอีก 1 แล้วผู้หญิงก็เหมือนกัน หญิงตัวหลักหนึ่ง ตัวรองหนึ่ง ตัวทั่วไปอีกหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือแต่ละคนเสียงต้องได้เทคนิคอีกเรื่องนึง เพราะอย่างคนไทย ถ้าเสียงไหนไม่คุ้น สำเนียงการพากษ์ไม่ใช่ก็โดนปฏิเสธเลยนะว่าพากย์ไม่ดี ตอนนี้กลายเป็นว่าเหมือนโมเดลของการพากย์เมืองไทยมันต้องเหมือนรุ่นใหญ่ ผิดแบบออกไปคุณพากย์ไม่ดี ซึ่งอันนี้มันเป็นสิ่งที่เรายอมรับ”
“ตอนนั้นก็เลยเอาไว้คิดดูแล้วกัน คือใจไม่อยากแบบรับภาระคนอื่นแล้ว ก็ห่างๆ ไป สุดท้ายก็เลยได้ไอเดียว่าลองทำคนเดียวดูมั้ย ไม่อยากยุ่งกับใคร คืออยากจะทำแบบอีโก้จัดไปเลย จะทำแบบนี้ ลองดูว่าถ้าเราเสนอวิธีคิดแบบเรา วิธีเขียนบทแบบเรา วิธีเลือกหนังแบบเรา เสียงแบบเรา ทุกอย่างจากตัวเราทั้งหมด ชาวบ้านจะว่าไงกันบ้าง คนใกล้ตัวที่อยู่ในวงการเขาบอกได้ แล้วตลาดล่ะ คนที่เขาไม่อยู่ในวงการเขาว่ายังไง”
เหมือนจะทำเป็นพอร์ตงาน (Portfolio) ไปในตัว?
“จะมองอย่างนั้นก็ได้ครับ คือตอนแรกผมก็กะว่าจะให้มันเป็นพอร์ตฟอลิโอ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ มันกลายเป็นงานไปแล้ว (หัวเราะ) อย่างตอนแรกกะว่าจะทำงานออกมาให้มันถี่ๆ จะเน้นอาทิตย์ละชิ้น แต่พอสามคลิปผ่านไปรู้แล้วว่ามันไม่รอด มันทำให้เราไม่มีเวลาคิด มันไม่ตกตะกอน...”
เสียงตอบรับนอกจากคำชื่นชมแล้วมีเข้ามาในรูปแบบอื่นบ้างมั้ย?
“เรื่องงานเริ่มมาบ้างครับ ตอนนี้สิ่งที่ได้ชัดๆ เลย คือมีคนรู้จักเรามากขึ้น (สมใจอยากมั้ย?) ไม่รู้นะ คือพูดตรงๆ นะ อย่างที่บอกว่าผมมีสันดานเสียอยู่อย่างที่ว่าไม่ชอบพยายามให้ใครเห็น สมมติเรื่องพากย์ต้องเดินเข้าไปพันธมิตรแล้วบอกว่าพี่ครับผมอยากเป็นนักพากย์จังเลย ผมไม่เอา มันไม่ใช่สไตล์ ถ้าจะเข้าไปได้ผมอยากให้เขาเห็นฝีมือเราก่อน แล้วค่อยเอาเราเข้าไปดีกว่า”
“คือถ้าจะเปิดตัวว่าทำอะไรได้เราต้องมีของว่าเราเปิดออกมาแล้วชาวบ้านเขารู้ว่าคนนี้มันโอเค คนนี้เจ๋ง คนนี้ไปได้ ส่วนเรื่องขอมาโฆษณาผ่านหน้าเวบมีไหม มีครับ มีเยอะเลย แต่ผมปฏิเสธหมด เพราะหนึ่งผมไม่อยากให้มีการค้าในเพจ สองคือโฆษณาที่เข้ามามันเป็นอะไรที่ไม่ค่อยแฮปปี้กับมัน ส่วนใหญ่จะเป็นพวกพนันบอล ผมบอกไม่เอา ผมไม่เล่นพนัน เพราะผมเห็นคนรอบตัวโดนกันมาหนัก เฮ้ย ไม่คุ้มว่ะ”
“บางคนก็จะใช้ว่าขอลงโฆษณาในคลิป เราบอกว่ามันทำไม่ได้เพราะหนังมันก็ลิขสิทธิ์ แค่เราเอามาทำแบบนี้เขาไม่มาฟ้องเราก็บุญแล้ว ผมก็เลยต้องออกตัวหน้าคลิปตลอดว่าทำเพื่อความบันเทิง ไม่มีเจตนาเพื่อการค้าอะไรทั้งสิ้น”
ชอบบอล ทำคลิปเกี่ยวกับบอล แต่ยืนยันไม่ใช่เพจฟุตบอล
“คือผมไม่ชอบให้คนทะเลาะกันเรื่องฟุตบอล ผมจะไม่พูดเรื่องบอลในเพจ หลายๆ โพสต์ผมจะบอกเลยว่าห้ามคุยเรื่องบอลในนี้นะนี่มันไม่ใช่เพจบอล ถ้าจะตีไปตีกันที่อื่น ผมไม่ชอบ พอเราไม่พูดเรื่องบอลเขาก็จะไม่พูดเรื่องบอล แต่ก็ยังมีคนใหม่ๆ ที่เข้ามาเขาก็ไม่รู้ ซึ่งผมก็เลี่ยงด้วยการที่ไม่ตอบเขา ดูได้เลยว่า 100 คอมเมนต์ผมจะตอบ 70 คอมเมนต์ มีเวลาว่างเราก็เปิดเข้าดู อยากมีปฏิสัมพันธ์กับเขาเพราะจุดนี้มันทำให้มีกำลังใจ เพราะบอกเลยว่างานอันนี้ทำแล้วไม่ได้เงิน ไม่มีรายได้ แล้วมันกินเวลามาก”
เทียบกับชิ้นงานอื่นๆ ในแนวเดียวกันที่ออกมา ของเราต่างจากคนอื่นขนาดไหน?
“หนึ่ง เทคนิค หนังผมเหมือนพากย์ในโรง ซาวนด์ ดนตรีประกอบ อะไรทุกอย่างผมไม่ได้ไปดูดเสียงออก ผมตัดใหม่ คือบางครั้งดึงออกจริง แต่ผมต้องนั่งหาซาวนด์แทร็กเรื่องนั้น หรือไม่ก็เป็นเรื่องอื่นเอามาตัดเข้าไป ซาวนด์ที่ดึงขึ้นได้ก็ดึงขึ้นเพื่อให้เข้ากับโทนของงานได้ทั้งหมด ถึงบอกว่างานชิ้นหนึ่งมันใช้เวลามาก มันเหมือนกับกำกับหนังใหม่ประมาณว่ากำกับซ้อนกำกับอีกที ส่วนเรื่องอุปกรณ์เราก็ใช้อุปกรณ์ที่เรามีซึ่งมันก็ไม่ได้แพงอะไร เพียงแต่เราทำสตูฯ มาก่อน ทำห้องอัดมาก่อน เรารู้ว่าต้องปรับอะไร”
“สิ่งที่มันแตกต่างอีกหนึ่งอันคือเรื่องไอเดีย เพราะผมมีคอนเซ็ปต์ งานผมมีธีมมีทิศทางชัดเจน อย่างที่เคยพูดไปว่าไม่ได้กะให้งานเดียวแล้วจบ คือทำอะไรให้มันอยู่ยาวๆ มาถึงตอนนี้ผมมองว่าคนเริ่มเข้าใจแล้วว่างานผมไม่ได้มีทางเดียว แล้วในอนาคตก็อาจจะมีโปรเจกต์ที่จะทำเงินให้ผมได้บ้างอันนี้ก็ไม่ได้ปิดบังอะไร อีกสักพักก็จะเริ่มบอกในเพจบ้างว่าในปีหน้าเราจะทำอะไรดี”
ออกมาแล้ว 6 คลิปดูเหมือนคลิปล่าสุด “แด่ทีมฟุตบอลชายไทยชุดเอเชียนเกมส์ 2014” ดูเหมือนหลายคนจะชื่นชมมากๆ
“ผมชอบเด็กชุดนี้เล่นบอลนะ เราดูตั้งแต่ยุคปิยะพงษ์ จนมาดรีมทีมก็ยังน่าเชียร์อยู่ แต่พอมาหลังๆ ทำไมบอลทีมชาติไม่น่าเชียร์เลย มีแต่ขี้เก๊ก แต่เด็กชุดนี้เล่นบอลแบบว่าบอลนำบอลตามไม่รู้ กูบุกแหลก นาทีสุดท้ายกูก็จะบุก ชนะจีนได้ เจอจอร์แดนเตะทั้งทีมไม่มีนอตหลุด เฮ้ย เราคิดว่าเราอยากขอบคุณเขาจังที่ทำให้เรากลับมาดูบอลไทย”
“ก็นึกถึงหนังไอดีโฟร์ (Independence Day) ขึ้นมาทันที เพราะเป็นหนังที่อยู่ในหัวอยู่แล้ว และซีนนั้นมันใช่เลย คือตอนนั้นถ้าเกิดได้เหรียญก็คิดว่าจะปรับสคริปต์อีกหน่อย แล้วก็รอดูคู่ชิงด้วย รอดูผลว่าถ้าเกิดเกาหลีใต้ไม่ชนะจะแก้สักสองประโยชน์ นิดนึงให้มีเหน็บๆ บ้าง (หัวเราะ) จริงๆ คลิปนี้เราก็อยากดูด้วยว่าฟีดแบคจะเป็นยังไงเพราะไม่ได้เน้นเอาฮา แต่อีกใจหนึ่งก็มั่นใจนะว่าคลิปนี้โดนแน่ เพราะผมว่าไม่ได้เห็นคนเดียวที่ทีมชาติไทยเล่นดี ทุกคนก็เห็น ซึ่งก็กลายเป็นว่าฟีดแบคหนักที่สุดเท่าที่ทำมาเลย”
ทำไมเวลาที่ช่องทีวีต่างๆ เอาหนัง เอาซีรีส์มาพากย์เอง หลายเรื่องมันถึงได้ห่วยมากๆ พอเสียงคนขึ้นมาเสียงอื่นๆ หายหมด การให้ได้เสียงพากย์ที่ดีมันต้องลงทุนลงแรงมากเลยหรือ?
“ผมว่าลงแรงมากกว่านะ มันเป็นงานละเอียด คือถ้าเขาใส่ใจทำได้ดีกว่าผมแน่นอน เพราะอุปกรณ์เขาดีกว่าผม เครื่องมือเขาเยอะกว่า ตรงนี้มันเป็นงานเสียเวลา งานละเอียด ไม่ใช่งานที่ต้องใช้เทคนิคขั้นเทพ ผมมองนะว่าเขาอาจจะไม่ให้ความสำคัญจุดนี้มั้ง ซึ่งจริงๆ ให้ความละเอียดนิดนิงก็ได้ คนดูเป็นล้าน ให้เกียรติคนดูหน่อย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมซีเรียสเลยนะ เพราะเราทำงานฝั่งนี้มา อย่าคิดว่าคนเขาโง่ดิ อย่าคิดว่าเขาด้อยดิ เราทำให้ทุกคนเขาได้รับงานดีๆ ไปเหมือนกันดีกว่า”
ต้องยอมรับว่าปัจจุบันคนไทยส่วนหนึ่งไม่ชอบถึงขนาดเกลียดหนังพากย์เอามากๆ เพราะหลายครั้งมักจะตลกจนเกินเหตุ ไม่ตรงกับอารมณ์ของหนังเลย ตรงนี้รู้สึกอย่างไร?
“เห็นด้วยนะครับ แต่ผมว่าเป็นที่ผู้ว่าจ้างด้วยส่วนหนึ่ง อย่างทีมพันมิตรคือมันชัดเจนนะครับ เหมือนพี่เขาโดนบล็อคมาให้เป็นแบบนี้ว่าพวกพี่ต้องเอาฮานะ อย่างล่าสุดเรื่องซามูไรพเนจร ผมเลือกไม่ดูอ่ะ แถวบ้านผมพากย์ไทยล้วนๆ แล้วมันเป็นการ์ตูนในดวงใจเราน่ะ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะ แต่ผมรู้ว่าพี่เขาก็โดนมา แล้วบางเรื่องผมว่ามันเกินเนื้อหาไปจริงๆ โทนหนังมันเปลี่ยนไปเลย ทั้งที่เราต้องให้คุณค่ากับออริจินอลที่เขามา”
“อย่างที่ผมพากย์ไปเรื่องอื่น พากย์ไปเรื่องฟุตบอล แต่อีโมชันต้องยังอยู่ อารมณ์ของหนังซีนนั้นมันต้องยังอยู่ เราต้องรักษามันมากที่สุด เราเปลี่ยนแค่ภาษา แต่ของผมมากหน่อยคือผมเปลี่ยนเนื้อเรื่องเลย แต่อารมณ์ก็ยังต้องได้ ต้องเหมือนในซีนหนังนั้นเลย ตรงนี้ก็อาจจะโยงกลับไปในข้อที่แล้วว่าของผมมันต่างจากชาวบ้านตรงไหน คือผมจับอารมณ์พวกนี้ทั้งหมด เราต้องเป็นตัวละครในสิ่งที่เรายึดถือ เราจะพากย์เป็นคนอื่นเราต้องเป็นคนอื่น เราให้เสียงตัวละคร เราก็ต้องเป็นเสียงของตัวละครนั้นให้ได้"
“แต่โอเคโดยเนื้อเสียงของคนพากย์ จะหล่อกว่าหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ตัวละครนั้นเขามาอารมณ์ไหนเราก็ต้องอยู่ในอารมณ์นั้น สิ่งที่เขาพูดอาจจะเป็นเรื่องบ้าบออะไรก็ได้ แต่อารณ์มันต้องยังอยู่ ในมุมมองผมแล้วกันนะ ผมชอบทางนี้มากกว่า คือให้รักษาอารมณ์ของหนังไว้”
เรื่องลิขสิทธิ์ตอนนี้มีปัญหาอะไรหรือไม่?
“ตอนนี้ยังไม่มีครับ ด้วยความที่ผมไม่ได้เอาไปหาเงิน แต่อย่างในยูทิวบ์หนังค่ายฟ็อกซ์จะขึ้นยูทิวบ์ไม่ได้ อย่างคลิปบอลอันล่าสุดอันเป็นของฟ็อกซ์ ผมก็ขึ้นได้ที่เพจเฟซบุ๊กอย่างเดียว ซึ่งของเฟซบุ๊กก็จะมีบางค่ายที่ลงไม่ได้ ตรงนี้ผมก็ต้องกลับไปทำการบ้าน”
พอจะบอกได้มั้ยว่าคลิปต่อไปจะเป็นรื่องอะไร?
“ฟุตบอลวีกที่ผ่านมาไม่มีอะไรน่าเล่น ไม่สนุก เพราะชนะกันหมด (หัวเราะ) ก็คิดอยู่ว่าไปแซวกีฬาอื่นบ้างมั้ย อย่างวอลเลย์บอลหญิงน่ารักๆ ก็น่าจะเป็นวอลเลย์ย์บอลครับ เพราะผมชอบปลื้มจิตร แซวให้น่ารัก หลีกเลี่ยงคำหยาบ ถ้าถึงขั้นคำด่าผมจะไม่ใช้ ก็ไม่อยากให้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ไม่รู้นะ ในโลกออนไลน์มันขาดวิจารณญาณ มันขาดความยับยั้งชั่งใจกันเยอะแล้ว อยากให้ดีขึ้นบ้าง...”