แม้จะไม่ถึงขนาดที่บอกได้ว่า "เยอะมาก" แต่ก็ต้องบอกว่ามีจำนวน "ไม่น้อย" ทีเดียวสำหรับวงดนตรีคนไทยฝีมือดีๆ ที่อาจจะไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างด้วยเหตุผลเพราะว่าไม่ถูกสื่อกระแสหลักๆ พูดถึง
หนึ่งในนั้นก็คือวงดนตรีที่มีชื่อว่า Melodius deite ที่ประกอบไปด้วย 5 สมาชิกซึ่งเป็น 2 คู่พี่-น้องอย่าง "บิ๊ก(กี้) ภาคภูมิ พันธุ์รัตน์" - บุ๊ก(กี้) วิวรรธน์ พันธุ์รัตน์" ในตำแหน่กีต้าร์และกลอง กับ 2 พี่น้อง "เอก ณัฐวุฒิ เกียรติพาณิชย์ - โอ๊ด(ดี้) ปิยพันธ์ เกียรติพาณิชย์" รับหน้าที่ร้องนำกับกีต้าร์ และอีกหนึ่งเพื่อนสนิท "โอม สุทธิพงษ์ เดชก้อง" มือเบส
"Super บันเทิง" ไม่การันตีว่าพวกเขาเจ๋งแค่ไหน? และมีอะไรที่น่าสนใจกว่าวงดนตรีวงอื่นๆ? แต่อยากให้ผู้อ่านตัดสินเอาเองจากบทสัมภาษณ์นับจากนี้ไป (และก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งหากหลายคนจะข้ามเรื่องราวเหล่านี้เพียงเพราะรู้สึกว่าขี้เกียจ(อ่าน))
...
"ถ้าพูดถึงรวมกันมาก็เกินสิบปีแล้วครับ แต่ก่อนหน้านั้นเราอาจจะเล่นอะไรไม่จริงจังมาก (หมายความว่าไงที่ไม่จริงจังมาก?) ก็คือซ้อมกันธรรมดา ยังไม่ได้ฟอร์มวงกันเต็มที่ แต่ก็เล่นด้วยกันมาเป็นสิบปีตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ..." บิ๊ก(กี้)ในฐานะหัวเรือใหญ่ของ "เมโลดิอุสฯ" เผยถึงการมารวมตัวของวงก่อนบอกถึงความหมายของวงว่า...
"melodius เป็นภาษากรีกครับ แปลว่าเมโลดี้ที่ไพเราะ ส่วน deite เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่าเทพเจ้า หรือพวกเทพในตำนานกรีก-โรมันอะไรทำนองนั้น ฉะนั้นชื่อวงเรา melodius deite พอแปลเป็นไทยมันก็จะคล้ายๆ ที่ว่าเทพแห่งเสียงท่วงทำนองที่ไพเราะประมาณนี้ครับ"
โอ๊ด(ดี้) - "จริงๆ แล้วคำหลังนี้ยังไม่มา คำว่า deite ยังไม่มา ตอนแรกมีแค่ melodius ก่อน ซึ่งถ้าเกิดใครที่ติดตามผลงานในชุดแรกของเราที่ชื่อ dream on ก็จะรู้ แล้วหลังจากนั้นผมกับบิ๊กก็ได้คุยกันว่า เราน่าจะเติมข้างหลัง (ทำไมถึงเติม?) ก็เพราะด้วยเนื้อหาแล้วเราตั้งใจที่จะเติมในอัลบั้มสองด้วย"
"ก่อนอื่นต้องบอกว่าเพลงเราจะใช้บทเพลงเป็นเรื่องเล่าเป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้ม มีตัวละคร มีคอนเซ็ปต์ เป็นการผจญภัย แล้วก็เจออะไรหลายอย่าง เรื่องมันจะผูกกัน เนื้อเพลง ท่วงทำนอง อาร์ทเวิร์ค ทุกอย่างมันจะเชื่อมต่อกัน มีที่มาที่ไป ตัวละครในนั้นก็จะเชื่อมโยงกัน"
แนวดนตรีของ Melodius deite จะเรียกว่าแนวอะไร?
โอ๊ด(ดี้) - "ถ้าเอาสากลเลยนะครับเราจะเรียกว่าเมโลดิด พาวเวอร์ เมทัล ที่มีส่วนของซิมโฟนิค เมทัล ก็คือ ซิมโฟนี ออร์เคสตร้านี่แหละ แต่ว่าตามที่คนรู้จักเขาอาจจะเรียกว่าแนวแฟนตาซี แต่จะอยู่ในกลุ่มดนตรีพาวเวอร์ เมทัล...ซึ่งทางยุโรปเขาชอบดนตรีที่มีเรื่องราว มีที่มาที่ไป เนื้อหาจะไม่มีฉันรักเธอ เธอรักฉัน ฉันทิ้งเขา อกหัก จะไม่เหมือนอย่างนั้น"
บิ๊๊ก(กี้) - "เมโลดิค เมทัลก็คือมีการลิธึ่มที่รวดเร็วครับ โซโล่กระจุย แต่เมโลดิคถึงจะแรงแค่ไหนสิ่งสำคัญมันคือต้องหวาน ต้องสวยงาม แล้วมีส่วนผสมของโน้ตดนตรีคลาสสิคอยู่ในนั้นด้วย..."
ทางวงเล่นแนวนี้มาโดยตลอดหรือเปล่า?
บุ๊ก(กี้) - "ตั้งแต่ตนเลยครับ เพราะเราเป็นคนที่ชอบฟังเพลงแนวนี้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พอเล่นดนตรีก็เลยมาหัดเล่นกัน เป็นเพื่อนๆ กันก็เลยหัดเล่นมาด้วย ซ้อมมาด้วยกันตลอด"
โอ๊ดดี้ - "ด้วยความเป็นพี่น้องกันด้วย เพราะบางทีคนอาจไม่รู้ว่าในวงมีพี่น้องด้วยกันสองคู่ ก็คือมือกลองกับบิ๊กกี้ ส่วนผมก็เป็นน้องชายของนักร้อง มือเบสก็เป็นเพื่อนสนิทของพี่ชาย ก็คือเล่นกันมาตั้งแต่มัธยม, มหา'ลัย พูดง่ายๆ คือโตมาด้วยกัน"
ตอนนั้นฟังเพลงอะไรกันหรือทำไมมันถึงได้มาแนวนี้ได้?
บิ๊ก(กี้)- "หลักๆ ที่ฟังเลยก็ฟังวงพวก Angra, Stratovarius, Helloween, Symphony X , Rhapsody of fire ก็คือจะอยู่ในแถบทางยุโรปๆ หน่อย"
โอ๊ด(ดี้) - "ก็มีฟังเพลงไทยบ้างตอนเด็กๆ แต่บังเอิญเราไปเจอเทป Angra ในร้านเทป แล้วมันเหมือนกับเปลี่ยนชีวิตเลยนะ ว่านี่แหละคือเรา ดีดกีตาร์มาตั้งนานไม่รู้ว่าเล่นไปทำไมแต่ตอนนี้เจอแล้ว...แต่คือตอนนั้นยังเล่นไม่ได้ เล่นไม่ไหว ตอนนั้นเพราะเรายังเด็ก ก็ได้แค่ฟัง แล้วก็เริ่มฝึกฝนถึงเล่นไม่ได้ก็ฝึกฝน แกะ เล่นกันจนเล่นได้ ก็มีงานเล่นสดบ้าง เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเรื่อยๆ"
ที่ผ่านมาเคยเข้าประกวดตามเวทีต่างๆ บ้างมั้ย?
บิ๊ก(กี้) - "ก็มี บางกอก มิวสิค อวอร์ดส์ ปี 2004 ก็ได้รองชนะเลิศครับ (ใช้เพลงอะไรประกวด) ก็เอาเพลงที่เราชอบเล่นเลย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ากรรมการจะชอบหรือเปล่านะ แต่พวกผมชอบ (หัวเราะ)"
โอ๊ด(ดี้)- "คือพรีเซนต์ความเป็นเราให้มากที่สุด ต่อให้เวทีไหนที่เขาจะมีเพลงบังคับ พวกเราก็จะเอามาเล่นใหม่
บิ๊ก(กี้) - "เช่นเพลงสู้ของหินเหล็กไฟ ผมก็นำมาทำเป็นเมโลดิคจ๋าเลย แต่ก็ยังคงมีความเป็นเพลงเดิมอยู่ คือคนฟังเขาก็ฟังรู้ว่าเรากำลังเล่นเพลงอะไรอยู่ แต่พวกท่อนโซโล่ ท่อนบรรเลงเราอาจเพิ่มเทคนิคเข้าไป"
ฟังเพลงคนอื่น เล่นเพลงคนอื่น นานมั้ยกว่าที่จะเริ่มคิดทำเพลงของตนเอง
บิ๊๊ก(กี้) - "จริงๆ ผมเขียนเพลงเก็บมาตั้งแต่ผมเรียน ปวช.อายุ 17-18 แล้วนะ แต่งเขียนไว้ในโปรแกรม เขียนกลอง เขียนเบส เขียนทุกอย่างเอาไว้ แล้วก็อัดกีต้าร์ไว้แล้วด้วย เล่นคนเดียว ผมเป็นคนแต่งเก็บตลอด จากนั้นก็เริ่มชวนเพื่อนมาซ้อม เพลงแรกชื่อเพลง The Mirage เป็นเพลงเกี่ยวกับการให้กำลังใจคน เหมือนเชิงให้คนฟังและคิดตาม ประมานว่าอย่างไปหลงอะไรกับสิ่งนอกตัวมากนัก คือรอบตัวภาพลวงตามันเยอะเราต้องคิดเขาไปในตัวเราเองว่าเราต้องการอะไร แล้วชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร"
ครั้งแรกที่เพื่อนๆ สมาชิกในวงได้ฟังเป็นอย่างไรบ้าง?
โอ๊ด(ดี้) - "วันแรกที่บิ๊กกี้โทรมาหา คือสมัยนั้นยังไม่มีมือถือเลย โทรมาที่บ้าน ว่าเนี่ยแต่งเพลงไว้นะ เขาก็อัดเหมือนเป็นเทปคาสเซ็ท บอกมาดิ มันเป็นเพลงแรกเลยแล้วเพลงนี้ก็อยู่ในอัลบั้มชุดหนึ่งของเรา ยาวประมาณ 8 นาทีกว่าได้ ผมฟังทีแรกคือมันโอ้โห ใช่เลย แต่มันก็ยากนะ (หัวเราะ) คือบิ๊๊กกี้เขาเป็นคนที่มีพื้นฐานทางดนตรีเพราะเขาเรียนมา แต่ผมไม่ได้เรียนมา ก็อาศัยเรียนกับเขา ผมต้องไปแกะ ต้องไปนั่งให้เขาเทรนอยู่อย่างนั้น คือในหัวคิดว่าเราต้องเล่นให้ได้ ถ้าเล่นไม่ได้วงเราก็ไปต่อไม่ได้"
โอม - "คือมันเหมือนเป็นเพลงที่เราต้องการและตามหามานาน คอนเซปต์ทุกอย่างมันดีเลย ฟังตอนแรกมันเหมือนวงที่เราชอบมันมีกลิ่นอย่างนั้นมาเลย ว่าเออวุ้ย โห เจ๋งว่ะ ทุกอย่างที่เขาแต่งมากลั่นกรองมาเรียบร้อยแล้วรายละเอียดทุกอย่าง แต่ก็ยากครับ (หัวเราะ)"
เพลงก็มี วงก็มี เรื่องต้องออกอัลบั้มในฐานะศิลปิน ตอนนั้นเรานึกออกไหมว่าจะต้องยังไง?
โอ๊ด(ดี้) - "นึกไม่ออกเลย คือผมกับพี่บิ๊กกี้เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กตั้งแต่ป. 2 ว่าเราอยากเป็นอย่างที่เราฟัง ก็มาปรึกษาเราก็มองว่าความน่าจะเป็นมันไม่มีเลยครับว่าจะไปทางไหน ด้วยประเทศที่ไม่นิยมแนวนี้ แล้วถ้าเราจะไปที่อื่นล่ะ ซึ่งก็คือไปทำดนตรีที่เขามีอยู่แล้วให้เขาฟังมันแปลว่าเราต้องทำอย่างไรให้เขายอมรับให้ได้ว่าพวกเราเป็นเอเชียแต่เราก็ทำได้นะ เราก็ชื่นชอบพวกคุณ เอาพวกคุณเป็นแนวทางนะ"
ตอนนั้นไม่เคยคิดที่จะมองเมืองไทยเลยหรือ?
บิ๊ก(กี้) - "คิดครับ ไปที่ค่ายอื่นมาเยอะ ไปด้วยผลงานทั้งเทป ทั้งซีดี อย่างซีดีเดโมที่เราไปเสนอนี่มีเพลงทั้งอัลบั้มเลยแต่แค่การบันทึกเสียงเป็นแบบว่าเดโม มีทุกเพลง 10 กว่าเพลง เล่นมาเรียบร้อยหมดแล้ว คือถ้าค่ายไหนจะเอาก็ไปเขาห้องอัดได้เลยครับ"
โอ๊ด(ดี้) - "จริงๆ ก่อนหน้านั้นก็มีค่ายใหญ่ของไทยค่ายหนึ่งเขาเข้ามาหาเราก่อน คือไปเจอพวกเราในงานประกวด เขาก็เข้ามาแจกนามบัตรไว้ เราก็ลองติดต่อ เขาก็บอกว่าให้ทำเพลงไป 2 เพลง เราก็ทำ ก็ไปเสียค่าห้องอัดอะไรเรียบร้อย คือตอนแรกเราก็ถามว่าพี่จะให้พวกผมทำแนวไหน เขาก็บอกทำเพลงที่น้องเล่นเลย แนวนั้นเลย ผมก็อุ้ยพี่ อย่างนั้นมันจะได้เหรอ ไม่มีใครฟังนะ เขาก็ยืนยันว่าทำแบบนี้"
"และที่สำคัญตอนนั้นพวกเราทำเนื้อไทยด้วยครับ ก็ถูกต้องทุกอย่าง แต่ว่าพอไปที่ตึกนะครับ ไปเจอ ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย...คือคำพูดหรือสิ่งที่เราเข้าใจไว้เนี่ยเปลี่ยนทุกอย่างเลยครับ คือเขาพูดกับเราไว้แบบเหมือนกับทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่น่าจะทำมาเยอะขนาดนี้...ก็คือเขาให้เหตุผลว่าทำอย่างนี้ขายไม่ได้นะ ประเทศไทยไม่นิยมไม่มีใครฟัง ซึ่งพวกผมก็ถามพี่เขาแล้วว่าตอนที่มาติดต่อว่าจะเอาแบบไหน เพราะถ้าเกิดให้ทำอย่างอื่น พวกผมก็จะไม่ทำ บิ๊กกี้ก็เลยไม่ ไม่ต่อหน้าเลย ในออฟฟิศ ในตีกนั้นเลย"
มีการต่อรองไหม?
บิ๊ก(กี้) - "ก็มีครับ เขาอยากให้เราลดๆ ไปบ้าง ผมก็มีประมาณว่า เอ่อพี่ ถ้าจะลดให้ลดลดแบบนิดเดียวได้เปล่า ผมพูดตรงนั้นเลยนะว่าเอาแบบเอ็กซ์เจแปนได้ไหม ผมก็พูดประมาณนี้ เขาก็พูดก็ยังมากไป คือสุดท้ายลดถึงประมานป๊อปร็อคเลยครับ สบายๆ ฟังเพลินๆ เลยครับ คือไม่เหลือเมโลดิคเลยครับ"
โอ๊ด(ดี้) - "เพราะว่าเมโลดิคเพาวเวอร์กลองต้องสองกระเดื่อง มันต้องเร็ว นักร้องต้องค่อนข้างเสียงสูง จังหวะค่อนข้างเร็ว ซึ่งบอกให้ลดกลอง ลดร้อง ลดกีต้าร์ มันเท่ากับเบสก็ต้องลด มันก็ลดตามกันทุกอย่างลดหมด พวกผมเลยต้องกลายเป็นร็อคใสๆ แบบพวกหัวใจสี่ดวงเลย ก็เลยไม่เอาครับ (หัวเราะ)"
วนเวียนอยู่ในวงการออกเทปเพลงในเมืองไทยอยู่นานไหม?
บิ๊๊ก(กี้) - "นานทีเดียว ผมว่าหลายปีครับ อาจจะจำไม่ได้เท่าไหร่ แต่ผมว่าน่าจะเกิน 5 ปีแน่นอน (ค่ายเพลงบ้านเรามันมีที่ให้วนขนาดนั้นเลยหรือ?) ไม่คือแบบเราแต่เพลงด้วยอะไรด้วย ค่ายก็ไม่เอาเรา ค่ายต่างประเทศเราก็ยังติดต่อไม่ได้ มันก็เหมือนอยู่ในจุดที่แบบทำอะไรไม่ได้เลย ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง อาจจะทำแบบเล่นงานตามผับ ร็อคผับ มีเล่นที่ศูนย์วัฒนธรรมบ้างนานๆ ที..."
แล้วอัลบั้มชุดแรกออกมาตอนไหน? แล้วทำไมไปอยู่กับค่ายต่างประเทศได้?
บิ๊ก(กี้) - "อัลบั้มแรกชื่อว่า dream on ออกตอนช่วงปลายๆ ปี 2008 ออกกับค่ายที่เนเธอร์แลนด์ ชื่อค่ายอวตาร เรคคอร์ดส์ แต่ค่ายนี้มันก็ไม่เชิงว่าค่ายนอกร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ เพราะว่ายังมีคนไทย ถ้าพูดชื่อแฟนเพลงสมัยนั้นพวกใต้ดินต้องรู้จักกัน คือพวก ไอศครีม มิวสิค ค่ายนี้เขาโคกับทางที่นั่นให้ เพื่อให้ทางที่นั่นเขาช่วยจัดจำหน่ายกับทางต่างประเทศให้เราด้วย"
"คือทาง ไอศกรีมมิวสิค เห็นพวกผมเล่นอยู่ตามผับตามเทศการอะไรแบบนี้ครับ เขาก็เรียกไปคุยว่าน้องสนใจทำไหม ตอนนั้นผมมีซีดีอยู่ซึ่งก็เป็นแผ่นเดียวกับตอนที่ไปค่ายใหญ่นั่นแหละครับ แผ่นเดียวกันที่ครบ 11 เพลงเลยครับ พอให้เขาฟัง เขาบอกเฮ้ย ให้ออกเลย เขาออกให้"
โอ๊ด(ดี้) - "แต่ว่าจริงๆ แล้วเราก็ยังไม่ได้ออกเลยนะ เขาให้เราไปออกคอร์ปอเรชั่นที่เป็นของญี่ปุ่นก่อน คือเขาก็อยากให้เราลองแบบนี้ เกริ่นไปก่อน...เหมือนให้ดูตัวอย่างในแผ่นนี้ครับว่ามีวงไหนที่น่าสนใจ ว่าวงนี้เป็นอย่างไรก่อนที่จะเอาจริง ก็จะมีศิลปินญี่ปุ่น ไต้หวัน ไทย...สุดท้ายก็ออกจริง"
เสียงตอบรับเป็นอย่างไร?
บิ๊๊ก(กี้) - "หลักๆ ก็ขายที่ไทยและก็มีแถวยุโรปบ้าง แล้วก็ที่ญี่ปุ่น คือที่ญี่ปุ่นจะแบบโอเคมากเลย ที่อัลบั้มเราหมดสต็อกเลยก็เพราะที่ญี่ปุ่นครับ ญี่ปุ่นเขาสั่งเรื่อยๆ ครับ ขนาดผ่านมาหลายปี ผ่านไปสามปีเขายังติดต่อมาขออีก 20 แผ่น ขอเอาไปวางที่ร้าน 10 แผ่นบ้างอะไรบ้าง จนมันหมดแล้วครับตอนนี้ "
Dream On ว่าด้วยเรื่องของอะไร?
บิ๊ก(กี้) - "ถ้าคำนี้นะมันเป็นความรู้สึกลึกๆ ของพวกเราด้วย ดรีมออนแปลว่าเราฝันมันต่อไป ดำเนินตามความฝัน อีกอย่างก็คือเนื้อเรื่อง เพราะเนื้อเพลงส่วนใหญ่ในชุด ดรีมออน มันเกี่ยวกับการให้กำลังใจคน ให้กำลังใจผู้ฟังทุกเรื่องเลย ให้สู้กับชีวิต ให้มีเป้าหมายในชีวิตทุกอย่าง"
แล้วเนื้อหามันมาได้อย่างไร?
บิ๊ก(กี้) - "ถ้าให้ผมพูดเนื้อหาของมันจริงๆ เลย อาจจะต้องตีความนิดนึง คืออัลบั้มนี้ผมเปรียบเปรยว่า พวกผมไปเจอหนังสือเก่าเล่มหนึ่งใหนห้องสมุดที่เก่าแก่ ซึ่งหนังสือเล่มนี้มันดึงดูดพวกผมมากๆ เลย ผมก็หยิบมันออกมาเหมือนว่ามีอะไรไปดลใจ พอเราหยิบออกมาเปิดเราก็เห็นเป็นกวีต่างๆ ที่แต่งโดยกวีนิรนามคนหนึ่ง ที่สำคัญคือหนังสือเล่มนี้มันจะมีหน้าต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหมด เมื่อเราเปิดมันจะมีเนื้อหาใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็ใช้ตรงนี้แหละมาแต่งเป็นเพลง"
ดูเหมือนทุกอย่างบิ๊ก(กี้)จะเป็นคนกำหนดทุกอย่าง คนอื่นๆ กีต้าร์ กลองพวกนี้ กลัวจะตามไม่ทันในสิ่งที่อีกฝ่ายทำออกมาบ้างมั้ย?
โอ๊ด(ดี้) - "มีบ้างครับ แต่ว่าผมเชื่อว่าถ้าเรามีความพยายาม ทำแบบทำไม่หยุด ไม่ต้องไปหาข้อแม้ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ชอบไปหาข้อแม้ ทำแล้วเมื่อไหร่จะได้"
บุ๊ก(กี้) - "ก็มีกลัวๆ เหมือนกันครับ บางทีแต่งกลองมาให้ผม ผมว่ามันยากไปเปล่าเนี่ย ตามไม่ทันนะ (หัวเราะ) บางทีก็มีค้านเขาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็พยายามฝึกให้ได้ หรือบางทีเขาแต่งมาถ้ามันผิดสรีระในการเล่น ก็ต้องเปลี่ยน ก็ต้องปรึกษามือกลองมืออาชีพบ้าง เฮ้ย ลูกส่งอย่างนี้มันโอเคนะ มนุษย์สามารถทำได้นะ (หัวเราะ)"
YAMA-B & FRIENDS Official Album Teaser - ตัวอย่างเพลงในผลงาน Yama-B & Friends ที่มีมือกลองของวง Angra ร่วมงานด้วย
Thailand - Melodius Deite - The Mirage from Global Domination (Vol 1)ที่มีเข้าร่วมจากทั่วโลกกว่า 129 ประเทศ
- Clip Cover เพลงประกอบหนังเรื่อง The Hobbit
- Clip Cover เพลงการ์ตูนเรื่อง Attack On Titan (ร่วมขับร้องโดย Nika ผู้จัดการชาว Poland)
- Clip Cover เพลงของวง Anthem วง Rock / Metal ระดับตำนานของญี่ปุ่น(ร่วมขับร้องโดย Nika)
จากอัลบั้มที่ 1 มาเริ่มคิดถึงอัลบั้ม 2 ตอนไหน?
บิ๊ก(กี้) - "ผมคิดตั้งแต่ทำอัลบั้มหนึ่งยังไม่เสร็จแล้วครับ(หัวเราะ) เพราะมันจะเป็นภาคต่อ อัลบั้มที่ 2 ชื่อยาวนิดนึง ชื่อว่า EPISODE II: VOYAGE THROUGH THE WORLD OF FANTASY คือโลกแห่งจินตนาการ ซึ่งก็จากหนังสือเล่มเดิมแหละครับ แต่เปิดไปเปิดมาคราวนี้เราไม่เจอบทกวีแล้วแต่เราไปเจอว่านักประพันธ์นิรนามคนนี้เขาได้ทิ้งบันทึกการเดินทางรอบโลกของเขาไว้ คล้ายๆ โคลัมบัส เพียงแต่เขาบอกเราในมุมมองของเขาวงเราก็ได้แรงบันดาลใจจากบันทึกการเดินทางของนักประพันธ์ท่านนี้เอามาเล่าในเพลงเราว่าเขาเดินทางไปที่ไหนบ้าง ทุกอย่างมันจะสื่อไปในเพลงเลยครับ ทั้งเนื้อเพลง ทั้งดนตรี"
ถาม "บุ๊กกี้" หน่อยว่าพี่เราโตมาแบบไหนเนี่ยถึงได้มีจินตนาการแบบนี้?
บุ๊ก(กี้) - "(หัวเราะ) เขาชอบดูหนังพวกหนังแฟนตาซี วิทยาศาสตร์ อวกาศ ไซไฟ พวกนี้ครับ แล้วเมื่อก่อนพี่ผมชอบวาดรูป วาดเกม วาดตัวการ์ตูนฮีโร่ แล้วก็เอามาให้ผมดู...เป็นคนที่มีจินตนาการมาตั้งแต่เด็กๆ อีกอย่างถ้าพี่ผมทำอะไรจริงจังเขาจะเก่ง เรียกว่าเขาฝึกบ่อยๆ จนเก่ง มีอยู่ช่วงหนึ่งช่วงตอนมัธยมเขาฮิตเล่นพวกกีฬาเล่นบาสฯ พี่ผมก็จะเก่งที่สุดในห้อง ผมก็ฝึกเล่นตามพี่มาตลอด"
โอ๊ด(ดี้) - "ผมว่าอย่างเขานี้ไม่ใช่ใจรักไม่ใช่พยายามนะแต่คือเขาจะเรียกว่าดำดิ่งมาก...จริงๆ ตอนเด็กๆ เลยไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้นะ อย่างตอนเด็กๆ คือเขาชอบวาดเกม เหมือนเกมตู้สมัยก่อนที่มีตัวเลือกต่างๆ แล้วเขาวาดไปจนตัวละครของเขาที่เราเป้ายิงฉุบกันว่าเลือกตัวไหนเป็น 200-300 ตัวน่ะ และทุกตัวมีท่าไม้ตายต่างกันหมด ซึ่งแบบผมรู้สึกว่า อันนี้ผมว่ามันเป็นอะไรที่ไม่สิ้นสุดนะ ผมว่าเขามีความคิดที่มีอยู่ตลอด มีความคิดสร้างสรรค์อยู่ตลอด"
ชุดนี้ยังอยู่กับค่ายเดิมมั้ย?
บิ๊ก(กี้) - "ชุดนี้เราเปลี่ยนค่ายแล้วเป็นค่ายที่โปแลนด์ ชื่อ Inazuma Productions แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางค่ายเดิมอยู่นะครับ คืออย่างที่บอกว่าแม้ว่าเรายังไม่รู้ค่ายอะไร จะเอาเราไหม เราก็ทำ ทำโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าจะมีค่ายไหนเอา อย่างชุดที่ 2 จะเห็นภาพวาดสีน้ำมันที่วางอยู่ข้างนอก อันนั้นเราก็ไปจ้างเขาเขียนภาพสีน้ำมันเพื่อทำอาร์ตเวิร์คซึ่งก็หมดไปเยอะอยู่ครับ (หัวเราะ) แล้วก็ยังมีค่าห้องอัด อัดเพลงเลยไม่ใช่แค่เดโมด้วย คืออัดเอาจริงเลย ทุกอย่าง กลอง กีตาร์ เบส ทุกอย่างอัดจริง ก็คือปั๊มได้เลย"
"ทั้งๆ ที่เราก็ยังไม่รู้ว่าค่ายไหนรับเราไหม ทำไปเลย คือต้องลุยไม่มีข้อแม้ เสร็จก็เอาคลิปลงยูทูบ ก็เผอิญมันเหมือนฟลุคนะ ผมต้องเกริ่นก่อนครับว่าคนที่เห็นและติดต่อเราน่ะเป็นผู้จัดการส่วนตัวอดีตนักร้องนำวง Galneryus ซึ่งเป็นวงเมโลดิด พาวเวอร์เมทัล ของญี่ปุ่น ดังมาก นักร้องคนนี้ชื่อ ยามะบี (YAMA B) ผู้จัดการส่วนตัวชื่อ นิก้า (Nika) เขาก็เมลเข้ามา มันเหมือนฟลุคตรงที่วันนั้นเป็นวันเกิดผมพอดี ตอนนั้นผมยังแบบ เอ๊ย วันเกิด ไม่มีใครแฮปปี้เบิร์ดเดย์เราเลย พอเช็คอีเมลล์ดู มันคืออะไรเนี่ย อ่านตอนแรกไม่เชื่อ คิดว่าเขาโม้ พอผมอ่านไปมา เฮ้ย จริงดิ ผู้จัดการของคนนั้นเลยเหรอ ผมก็เลยคุยกับเขาแล้วเขาก็สนใจวงผม เราก็เริ่มคุยกันเราจะออกอัลบั้มคุณให้ อัลบั้มสอง"
เซ็นสัญญากับที่โน่น เรื่องของการแบ่งผลประโยชน์ การดูแลจัดการมันต่างจากบ้านเรามั้ย?
โอ๊ด(ดี้) - "ที่ต่างประเทศ ฝรั่งเขาจะแบบทำเยอะจะได้เยอะครับ...คือผมก็มีเพื่อนที่มีโอกาสได้เข้าทำงานเพลงค่ายใหญ่ๆ ในบ้านเรา ซึ่งแน่นอนว่าคนไทยมองเป็นเรื่องปกติ แต่เราพูดให้ต่างชาติฟังเขายังบอกเลยว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น ส่วนมากถ้าเป็นในประเทศไทยแน่นอน คือผู้จัดการหรือค่ายหรือคนที่ลงทุนเขาต้องได้เยอะกว่าตัวศิลปินอยู่แล้ว เพราะเขาอาจจะถือว่าเขาลงทุนให้ เขาโปรโมทให้ เขาทำให้ทุกอย่าง"
"แล้วก็มีเรื่องของลิขสิทธิ์ ซึ่งลิขสิทธ์เพลงของไทยจะไม่ใช่ลิขสิทธิ์ของศิลปิน เป็นของค่าย...เรื่องส่วนแบ่งในการขายอีก ผมเชื่อว่าเขาน้อยแน่นอนครับ เพราะเขาต้องดูเรื่องบิสสิเนตเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดที่โปแลนด์ในกรณีที่เป็นฟอร์มอย่างนี้ที่พวกผมมีทุกอย่างแล้ว มีมาสเตอร์ อาร์ตเวิร์คของเรา ปก ทุกอย่างเรามีหมด คอนเซ็ปต์เรามีทุกอย่าง ทางนั้นแค่ขายให้เรา โปรโมทให้เรา ติดต่องานอีเว้นท์ เล่นสด เขาก็จะให้ตามที่เราทำมาเลยครับ ถ้าคุณทำเยอะก็ได้เยอะ คือจะแฟร์เลยครับ"
บิ๊กกี้ - "แต่คือทางค่ายเขาต้องการคุณภาพด้วยครับ อย่างที่พวกเราทำไปเขาก็ให้เราไปมิกซ์มาสเตอร์ใหม่ที่โปแลนด์เลย ซึ่งผมก็ต้องบินไป ไปอยู่กับมิกเซอร์ที่นั่น นั่งคลุกคลีกันทั้งวันเลย"
อัลบั้มนี้จะวางขายที่ไหนบ้าง?
บิ๊ก(กี้) - "หลักๆ ก็จะไปญี่ปุ่นก่อนเลย ร้านในญี่ปุ่นจะมีสาขาทั่วประเทศ เขาออร์เดอร์มาแล้ว ตั้งแต่ผมยังไม่ได้ไปมิกซ์ที่โปแลนด์ พอเขารู้ว่าเรากำลังเริ่มทำอะไรเขาก็ออเดอร์มาแล้ว ก็มีทั่วญี่ปุ่น กระจายทั่วญี่ปุ่น ที่ยุโรปก็มีครับ แล้วก็ขายพวกซีดีเบบี้พวกนี้ครับ เขาจะขายให้เราด้วย แล้วก็มีพวกดิจิตอลดาวน์โหลด ทางไอจูน ส่วนที่ในไทย คือทางวงเราทางค่ายเขาจะส่งให้เรามาล็อตนึง ทางเราก็ประชาสัมพันธ์ในเฟซบุ๊กว่ามีใครต้องการซื้อไหม ซึ่งตอนนี้ก็มีคนสนใจเยอะแล้วครับ เราก็แจกจ่ายไปตามคนที่สั่งมา"
ดูเหมือนในบ้านเราจะไม่ใช่ตลาดที่ต้องไปแคร์?
บิ๊ก(กี้) - "ไม่เชิงอย่างนั้นครับ ผมก็แคร์แฟนเพลงในเมืองไทย เพื่อนๆ พี่ น้อง ทุกคนผมแคร์หมด เพราะคนที่เขาซื้องานผมคือคนที่รักในงานผมจริงๆ ผมก็จะแคร์พวกเขามาก แต่ถ้าพูดถึงตลาดหลักจริงๆ ก็ทางยุโรป ญี่ปุ่น อเมริกาใต้ก็มีนิดๆ นะ...คือผมไม่รู้ว่าใครยังไงนะ แต่ผมต้องทำความเข้าใจกับตัวผมว่า เราอยู่ที่นี่ เราจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เข้ากับที่แห่งนี้ หรือเราจะไปอยู่ในที่ๆ คนเขาเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ โดยที่เราไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ผมเลือกไปในที่ๆ คนเห็นคุณค่าของผม โดยที่ผมไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงครับ"
ถึงตอนนี้ยังคิดจะทำเนื้อร้องเป็นภาษาไทยบ้างมั้ย?
บิ๊ก(กี้) - "คือเพลงแนวนี้สำหรับตัวผมนะครับผมไม่ได้หมายความว่ามันคือบรรทัดฐานของโลก สำหรับผมผมคิดว่าแนวเพลงแบบนี้มันต้องร้องภาษาอังกฤษ เพราะว่าหนึ่งก็คือต้นกำเนิดมาจากที่นั่นด้วย แล้วก็เรารู้ว่าเราต้องโฟกัสที่ไหน แฟนเพลงเราอยู่ที่ยุโรป อยู่ที่ญี่ปุ่น คือมันต้องภาษาอังกฤษอยู่แล้วครับ ถ้าเราแต่งเนื้อไทยไป โอเคคุณแต่งเนื้อไทยไป โอเคคุณเยี่ยม แต่ว่าในความสำคัญที่คนต่างประเทศเขามองเรามา เขาจะมองในแบบที่ว่าผมฟังไม่ออก ฟังไม่รู้เรื่องน่ะครับ"
ถึงวันนี้มีอัลบั้มออกมาสองชุดแล้ว มองย้อนกลับไปวันวานเป็นอย่างไรบ้าง?
โอ๊ด(ดี้) - "เหนื่อยเลยครับ เพราะคุณต้องสู้ คุณต้องไม่มีข้อแม้ ผมมองกลับไปนี่พวกผมผ่านอะไรมาเยอะมากครับ ถ้ามองในแง่ธุรกิจมันไม่คุ้มเลย การลงทุนแบบนี้ต้องใจอย่างเดียว เพราะถ้าเป็นการลงทุนแบบนักบริหารมันเป็นการลงทุนที่โง่มาก ดีมานด์ ซัพพลาย ไม่ได้เลย"
บิ๊ก(กี้) - "ถามว่าไปอย่างนั้นได้อย่างไร คำพูดสั้นๆ คืออะไรรู้มั้ยครับ คือลุยครับ แต่ในคำว่าลุยมีรายละเอียดเต็มเลยครับ เช่น ฝึกเข้าไป ฝึกเข้าไป แต่งเพลงให้ดี คือเราฝึกทุกคน ฝึกแต่งเพลงให้มันดี แต่งแล้วฟังแล้วฟังอีก ทุกคนช่วยกันฟังว่า เฮ้ย อย่างนี้เราควรจะทำอะไรไหม"
สุดท้าย ถ้ามีวงน้องๆ มาอ่านแล้วอยากจะเป็นแบบ Melodius deite บ้างจะบอกอย่างไร?
บิ๊ก(กี้) - "หนึ่งต้องรู้ว่าตัวคุณเองต้องการอะไร คุณต้องหาเลยว่า ที่ไหนต้องการสิ่งที่คุณเป็น แล้วคุณต้องมุ่งไปทางนั้นเลย คุณต้องตั้งเป้าเลย ว่าคุณจะเอาอย่างนี้แล้วคุณมุ่งเลย ระหว่างเราเดินทางอยู่อย่าไปซ้ายขวา นู่นนี่ ไม่งั้นมันจะไปไม่ถึง เพราะสิ่งที่เราออกไปเขวไปเขวมาตรงนั้นมันดึงเวลาเราไปเยอะ อย่างวงผม ผมตั้งเป้าไว้ว่าผมจะต้องไปอยู่ค่ายเพลงต่างประเทศให้ได้ แล้วผมเอาเลย ทั้งๆ ที่ตอนตั้งเป้าก็ไม่มีใครมาสนใจผมสักคน เราต้องทำงานของเราให้ดีรอไว้เลย เมื่อเขาเห็นงานเราโอเคไปได้"
โอ๊ด(ดี้) - "คือผมกับบิ๊กกี้ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่ตอนอายุน้อยที่เราเรียน ปวช. นั่งคุยกัน เพื่อนๆ ที่เล่นดนตรีก็ได้ยินว่าเราจะไปเซ็นสัญญาต่างประเทศนะ เขาหัวเราะ เขามองพวกเราแบบเหมือนฝัน เหมือนผมกับบิ๊กกี้เพ้อฝัน แต่สำหรับผมกับบิ๊กกี้มันคือฝันใฝ่ครับ มันไม่ใช่เพ้อฝัน คุยกันเลยว่าไม่ได้ไม่เลิกรานะ ถึงเส้นทางจะโหดร้ายเพียงใด แต่คือพวกผมค่อนข้างแยกแยะนะ อันนี้ต้องพูดไว้เลยว่า ศิลปินระดับโลกหรือมือกีต้าร์ระดับเทพๆทั้งหลาย เขาจะพูดว่าคุณต้องแยกแยะระหว่างเรื่องดนตรีกับเรื่องเงินทอง ปากท้อง ถ้าเกิดอยากได้เงินคุณต้องทำงาน อยากมีเงิน อยากร่ำรวย ต้องไปทำธุรกิจดีกว่า นี่มันเป็นเส้นทางดนตรี คุณอย่าเอาดนตรีพวกนี้ไปหากิน พวกนี้มันคืองานศิลปะ คือเขาบอกว่าให้แยกแยะ"
บิ๊ก(กี้) - "แต่ตอนนี้พวกเราก็คิดๆ อยู่ว่าอาจจะมีสักวันหนึ่งที่เราจะอยู่ได้ด้วยแค่งานเพลงของวงเราเลย เราก็หวังให้ถึงวันนั้น ผมไม่รู้ว่าได้ไม่ได้ แต่สำหรับตัวผม ผมทำแน่นอน เพราะคราวที่แล้วก็พยายามแล้ว มาถึง ณ จุดหนึ่ง ผมต้องไปให้ถึงตรงนั้นให้ได้ครับ..." (เรียบเรียงข้อมูลบทสัมภาษณ์จากรายการ Talkative ทางช่อง Super บันเทิง)
...
Melodius deite
กีต้าร์ - Biggie / ภาคภูมิ พันธุ์รัตน์ / ปริญญาตรีระบบสาระสนเทศคอมพิวเตอร์ ปริญญาตรีดนตรี Jazz Studies ปริญญาโทดนตรี Music Composition (ม. รังสิตทั้งหมด) / อาชีพปัจจุบันอาจารย์สอนดนตรี
กลอง - Bookkie / วิวรรธน์ พันธุ์รัตน์ / ปริญญาตรีดนตรี Music Technology (ม. รังสิต) / อาชีพปัจจุบันอาจารย์สอนดนตรีและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
ร้องนำ - Ake / ณัฐวุฒิ เกียรติพาณิชย์ / ปริญญาตรีเภสัชศาสตร์บัณฑิต (ม. รังสิต) / อาชีพปัจจุบันธุรกิจส่วนตัว
กีต้าร์ - Oatdy / ปิยพันธ์ เกียรติพาณิชย์ / ปริญญาตรีบริหารธุรกิจการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (ม. รังสิต) / อาชีพปัจจุบันอาจารย์สอนดนตรี
เบส - Ohm / สุทธิพงษ์ เดชก้อง / ปริญญาตรีเภสัชศาสตร์บัณฑิต (ม. รังสิต) ปริญญาโทวิทยาศาสตร์บัณฑิตสาขาจิตวิทยาชุมชน (ม. เกษตรศาสตร์) / อาชีพปัจจุบันเภสัชกร
...
http://www.facebook.com/MelodiusDeite
http://www.youtube.com/MelodiusDeite
http://www.twitter.com/MelodiusDeite
- Clip ที่ได้ไปร่วมงานกับ PelleK นักร้องแนว Melodic Power Metal ชื่อดังชาว Norway
- Clip ที่ได้ไปร่วมงานกับ PelleK นักร้องแนว Melodic Power Metal ชื่อดังชาว Norway
- Clip ที่ได้ไปร่วมงานกับ PelleK นักร้องแนว Melodic Power Metal ชื่อดังชาว Norway
- Teaser ของ Album ชุดที่ 2
- Promo Clip ของ Album ชุดที่ 2
- Promo Single ของ Album ชุดที่ 2
Melodius Deite - Land of Fantasy (Super บันเทิง Live)