xs
xsm
sm
md
lg

เห็นตรงกัน “บ๊วย-ตุ๊ก” ขายบ้าน 30 ล้านเพื่ออยู่รอด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หย่าขาดกันมาสองปีเต็มแล้ว แต่สินสมรสชิ้นใหญ่ยักษ์อย่างบ้านหรูย่านรามอินทราของ “ตุ๊ก ชนกวนันท์ รักชีพ” กับอดีตสามี “บ๊วย เชษฐวุฒิ วัชรคุณ” ยังไม่ได้รับการแบ่งตามข้อตกลงในการหย่า ที่ผ่านมาตุ๊กกับลูกๆ น้องแพรว น้องภูมิ ยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาโดยตลอด แต่ล่าสุดบ๊วยเริ่มสู้ราคาผ่อนบ้านเดือนละสองแสนบาทไม่ไหวจำใจประกาศเสียงดังขายบ้านที่ลงทุนลงแรงตกแต่งเองกับมือหลังนี้เพื่อนำเงินที่ได้มาแบ่งกับอดีตภรรยา ซึ่งหากขายได้เมื่อไหร่ตุ๊กกับลูกๆ จะต้องหอบผ้าหอบผ่อนออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น ซึ่งตุ๊กก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าการขายบ้านหลังนี้เป็นหนึ่งในข้อตกลงของการหย่าอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ารู้สึกเสียดายเล็กๆ เพราะตั้งใจจะมอบบ้านหลังนี้ให้กับลูกๆ ทั้งสองในอนาคต

ครองรักกันมาเจ็ดปี หย่าขาดจากกันไปเมื่อสองปีที่แล้ว แต่เรื่องราวระหว่างพิธีกรหุ่นมะขามข้อเดียว “บ๊วย เชษฐวุฒิ” กับนางแบบสาวสวย “ตุ๊ก ชนกวนันท์” ยังคาราคาซังไม่จบไม่สิ้น นับตั้งแต่ที่บ๊วยออกมายอมรับอย่างเป็นทางการว่าขอหย่าขาดกับภรรยาหลังจากที่ตุ๊กคลอดลูกคนเล็กได้เพียง 20 วัน ท่ามกลางกระแสข่าวว่าบ๊วยหลงทายาทร้านทองฮั่วเซ่งเฮง “โม นภัสนันท์ พสวงศ์” อย่างหนักจนไม่สนใจลูกเมีย ซึ่งช่วงแรกแม้จะมีคนเห็นบ๊วยกับโมไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ทั้งกินข้าวดูหนัง ชอปปิ้ง แต่บ๊วยก็จะออกมาปฏิเสธเสมอว่าโมไม่ได้เป็นมือที่สามที่ทำให้ความรักระหว่างเขากับตุ๊กต้องจบลงแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ในช่วงสายของวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ตุ๊กกับบ๊วยก็เดินทางไปจดทะเบียนหย่าที่สำนักงานเขตสะพานสูง โดยทั้งสองได้มีการแบ่งสินสมรสกัน ตุ๊กรับหน้าที่ในการเลี้ยงดูลูกทั้งสองคน โดยที่บ๊วยจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าเล่าเรียนจนจบปริญญา ที่ผ่านมาตั้งแต่มีลูกงานในวงการบันเทิงของตุ๊กก็ลดลงเนื่องจากเจ้าตัวอยากเอาเวลามาเลี้ยงดูลูกอย่างเต็มที่ ส่วนงานของบ๊วยก็ยังคงมีอยู่ในปริมาณปกติทั้งงานแสดงและพิธีกร แต่หลังจากที่หย่าขาดแล้วต้องมาเลี้ยงลูกเองลำพัง ตุ๊กก็เริ่มหวนกลับมาทำงานในวงการบันเทิงเพื่อหาเงินดูแลลูกๆทั้งสองนอกเหนือจากที่บ๊วยได้ส่งเสียอีกทางหนึ่ง

เรื่องราวที่ตุ๊กต้องเผชิญตลอดเวลาที่คบหากับบ๊วยเนื่องจากญาติๆ ทางฝั่งบ๊วยเริ่ม “ไม่ปลื้ม”ที่ตุ๊กไม่ร่ำรวยมีเงินถุงเงินถังเหมือนนางแบบไฮโซรายอื่นๆ ซึ่งนี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บ๊วยเบนไปคบหากับสาวโมที่มีดีกรีเป็นถึงทายาทร้านทองชื่อดัง ส่วนบ้านหลังงามหลังนี้ก็มีคุณแม่ของบ๊วยกับบรรดาญาติๆ ที่ยกโขยงกันมาพักอาศัยกับตุ๊กและลูกๆ ท่ามกลางบรรยากาศมาคุเพราะคุณแม่ไม่ปลื้มสาวตุ๊ก นางแบบสาวคนนี้จึงถูกกดดันต่างๆ นานา จนบ้านซึ่งเป็นหนึ่งในสินสมรสที่เธอลงทุนควักกระเป๋าตัวเองสมทบทุนกับบ๊วยตั้งแต่แรกสร้างถึง 8 ล้านบาทกลายเป็นที่อยู่ของตระกูลวัชรคุณทั้งแม่ พี่ น้อง และญาติๆ ซึ่งล้วนแสดงออกเต็มที่ว่าไม่ปลื้มตุ๊ก ทำให้ตุ๊กกับลูกๆ ต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้อย่างไม่มีความสุขตลอดเวลาหลายเดือนก่อนที่บ๊วยจะขอหย่าขาดจากตุ๊ก

บ้านที่บ๊วยกับตุ๊กตั้งใจจะให้เป็นวิมานรักที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ แม่ ลูก หลังนี้ปลูกบนเนื้อที่กว่าสองไร่ ในย่านรามอินทรา ตัวบ้านเป็นปูนเปลือยยกสูง วัดจากพื้นถึงเพดานมีความสูงถึง 4 เมตร และมีใต้ถุนอยู่ด้านล่างอีก ทั้งหมดมีสองชั้นโดยมีห้องที่จำเป็นต้องการใช้งานเพียงไม่กี่ห้อง นั่นคือชั้นล่างแบ่งเป็นห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นห้องดูทีวี รับแขกขนาดใหญ่ ด้านข้างคือห้องรับประทานอาหารกับห้องครัวที่สามารถเปิดประตูได้รอบทิศจนกลายเป็นห้องครัวเปิดโล่งซึ่งเหมาะสำหรับทำกับข้าวแบบไทยสไตล์ที่มีทั้งควันทั้งกลิ่น ตุ๊กยอมรับว่าตั้งแต่อยู่บ้านหลังนี้เธอใช้ครัวคุ้มมากเพราะต้องทำกับข้าวให้ลูกๆ ทุกวัน โดยเธอจะเป็นคนที่มีวินัยในการกินนั่นคือต้องกินอาหารให้ครบสามมื้อตรงตามเวลาเป๊ะๆ จากเดิมที่ทำอาหารเป็นอยู่แล้ว พอมีลูกเธอก็ยิ่งจะต้องเข้าครัวทำกับข้าวด้วยตัวเองบ่อยขึ้นไปโดยปริยาย

การแต่งบ้านโดยรวมเข้าข่ายสไตล์ Loft นั่นคือกว้างและโล่ง ไม่ค่อยมีข้าวของ สัมภาระ หรือเฟอร์นิเจอร์รกรุงรัง หากมีของอะไรตุ๊กก็มักจะหยิบเข้าตู้เพื่อให้บ้านดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แนวคิดของการสร้างบ้านหลังนี้ตุ๊กบอกว่ามีสองข้อ นั่นคือบ๊วยต้องการให้เป็นบ้านที่มีเพดานสูงสี่เมตรเพราะเขาชอบอยู่ในบ้านที่สูงๆ โล่งๆ และอดีตสามียังขอให้สถาปนิกออกแบบให้บ้านหลังนี้เหมาะกับการขี้เกียจ เพราะเขาคิดว่าทำงานหนักมาทั้งวันแล้วอยากจะมีที่ที่สามารถล้มตัวลงนอนขี้เกียจได้นานๆ และนั่นก็ทำให้บ้านหลังนี้มีห้องรับแขกที่กว้างใหญ่แถมยังมีเก้าอี้ โซฟา ที่สามารถนั่งและนอนเหยียดแข้งเหยียดขาได้อย่างเอกเขนก สมกับที่บ๊วยต้องการทุกประการ

ชั้นสองของบ้านมีห้องนอนของลูกและห้องนอนของตุ๊กที่ก่อนจะเข้าไปสู่ตัวห้องนอนจะต้องเดินผ่านห้องสมุดซึ่งเต็มไปด้วยชั้นหนังสือมากมายจำนวนไม่น้อยไปกว่าห้องสมุดประชาชนบางแห่งเลยทีเดียว ส่วนในห้องนอนของตุ๊กแม้จะกว้างแต่ก็มีเฟอร์นิเจอร์น้อย แถมยังไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ เครื่องเล่นดีวีดี หรือคอมพิวเตอร์ เพราะเธอใส่ใจสุขภาพมากจนไม่อยากให้มีคลื่นไฟฟ้าแผ่มารบกวนเวลานอน ห้องนอนของเธอจึงมีเพียงเตียงนอนกับโต๊ะทำงานเอาไว้นั่งอ่านหนังสือเท่านั้น

จะว่าไปบ้านหลังนี้ก็แทบจะเป็นเรือนหอที่สมบูรณ์แบบแห่งหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยความลงตัวของตำแหน่งที่ตั้งตลอดจนการออกแบบที่ตุ๊กและบ๊วยตั้งใจให้มีส่วนผสมของธรรมชาติอย่างต้นไม้ที่มีทั้งไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ต้นตีนตุ๊กแกที่เกาะเลื้อยกำแพงรั้ว และกำแพงต้นไม้ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นคล้ายเขาวงกตตอนเดินเข้าบ้าน มีลานดิน ลานทรายสำหรับลูกๆ ทั้งสองได้เล่นอย่างใกล้ชิดซึ่งตรงกับความตั้งใจของทั้งคู่ที่อยากให้ลูกติดดินและอยู่ใกล้ธรรมชาติให้มากที่สุด

ประเด็นบ้านสวยหลังใหญ่ที่ถูกประกาศขายในราคา 30 ล้านบาทไม่น่าจะเกี่ยวกับการเป็นบ้านที่เป็นภาพบาดตาบาดใจของคนทั้งคู่ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดอย่างชัดเจน เนื่องจากตัวบ้านยังอยู่ในการผ่อนธนาคารเป็นจำนวนเงินถึงเดือนละสองแสนบาท ซึ่งที่ผ่านมาบ๊วยจะต้องเป็นคนผ่อนคนเดียวตามเกณฑ์ในการกู้เงินจากธนาคารและข้อตกลงในการหย่า เนื่องจากที่ผ่านมาตุ๊กแทบไม่มีรายได้จากการทำงานเลยเพราะต้องให้เวลากับลูก เมื่อหย่าขาดจากกันอย่างสมบูรณ์แล้วแบบนี้ การหันหน้ามาช่วยกันทำมาหากินเพื่อหาเงินผ่อนบ้านซึ่งเป็นทางออกเดียวหากต้องการเก็บบ้านหลังนี้ไว้จึงกลายเป็นทางออกที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หนทางเดียวที่ทั้งตุ๊กกับบ๊วยเห็นพ้องต้องกันเพื่อความอยู่รอดก็คือประกาศขายบ้านอย่างเป็นทางการเช่นนี้

จะว่าไปแล้วการขายบ้านหลังนี้เป็นหนึ่งในข้อตกลงที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ทั้งคู่จดทะเบียนหย่าเมื่อสองปีก่อนแล้ว แต่เนื่องจากตุ๊กเองก็ยังอาลัยอาวรณ์เพราะรักบ้านหลังนี้มาก ส่วนบ๊วยก็คิดว่าอาจจะผ่อนบ้านหลังนี้ไว้แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด แม้ตั้งใจจะมอบให้เป็นของลูกๆทั้งสองแต่เมื่อสู้ไม่ไหวก็จำใจยอมแพ้ สิ่งที่น่าสนใจหลังจากนี้ก็คือว่าหากบ้านหลังนี้ขายได้จริงตุ๊กกับลูกๆจะโซซัดโซเซไปอยู่ที่ไหนเพราะถามเจ้าตัวถึงตอนนี้ตุ๊กเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปอยู่ไหนเพราะว่ายังไม่มีเวลาไปดูที่อยู่สำรองเอาไว้แต่เธอก็บอกว่าเข้าใจอดีตสามีดี ก็ได้แต่หวังว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย
....................................................................

ที่มานิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 231 วันที่ 8-14 มีนาคม 2557

กำลังโหลดความคิดเห็น