ทุกครั้งที่เห็น "ชิงช้าสวรรค์" ที่ประดับประดาด้วยแสงไฟหลากสีหมุนวนอยู่เมื่อไหร่ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อายุ 30 ปีขึ้นไปคงจะฮัมท่อนฮุคของเพลงที่มีชื่อว่า "งานวัด" ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
...เพลิดเพลินเคยเดินด้วยกัน แทะไหมฝันดูรถไต่ถัง
หยอกเย้าบนชิงช้าสวรรค์ ถ่ายรูปคู่กันกินขนมจีนข้างทาง
เจาะรั้วปีนต้นไม้ แอบฟังลูกทุ่งวงดังดูหนังขายยา...
พร้อมๆ กันนั้นในจินตนาการก็ให้นึกไปถึงสถานที่ที่ตกแต่งด้วยธงราวสีสันสดใส, แสงไฟประดับประดาหลากสีหลายสัน และภาพบรรยากาศแห่งความสุขของผู้คนทั้งลูกเล็กเด็กแดง คนหนุ่มคนสาว ผู้เฒ่าผู้แก่ที่จูงมือกันไปสนุกกับกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ชิงช้าสวรรค์, ม้าหมุน, สาวน้อยตกน้ำ, เมียงู, มอเตอร์ไซค์ไต่ถัง, ปาเป้า, ปาลูกโป่ง, ปืนลม, รถไฟเด็ก, รถบั๊มพ์, สไลเดอร์, บ้านลม, ตักปลา, ทาสีตุ๊กตา, โยนห่วง, ปากระป๋อง, กงล้อนำโชค, ตะกร้อลอดห่วง, ประกวดร้องเพลง, ชกมวย ฯ
ตลอดจนความบันเทิงจากหนังกลางแปลง, ลิเก, ลำตัด, อีแซว, โนราห์ ฯ รวมไปถึงความอร่อยเพลิดเพลินไปกับอาหารขนมผลไม้อีกเพียบ ทั้ง ก๋วยเตี๋ยว, ขนมจีน, หอยทอด, ข้าวโพดคั่ว, ขนมโป๊งเหน่ง (ลูกตุ้ม, ตุ้มเม้ง), น้ำตาลปั้นรูปร่างสารพัดสัตว์, ถั่วแระ, อ้อยควั่น, ข้าวเกรียบว่าว, ขนมปังที่เอามาร้อยเป็นสร้อยคอ, น้ำหวาน-น้ำผลไม้สีฉูดฉาดบาดตา, ถังแตก, บ้าบิ่น, ลูกชิ้นปิ้ง, ไส้กรอก ฯ
จะเรียกว่าเป็นเฟสติวัลแห่งความสุขในรูปแบบไทยๆ อย่างแท้จริงก็คงจะไม่ผิดมากนัก
อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบันรูปแบบของการจัดงานแบบที่เรียกกันว่างานวัดทั้งที่ในวัดเองหรือไม่ใช่ในบริเวณวัดจะยังคงมีให้เที่ยวกันอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นในต่างจังหวัดรวมถึงงานวัดใหญ่ๆ ที่ขึ้นชื่อในกรุงเทพ ทั้งที่ ภูเขาทอง, วัดอินทร์, วัดหลวงพ่อโบสถ์น้อย ฯ แต่กระนั้นก็ดูเหมือนจะมีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่พอสมควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่การเข้ามาของบรรดานายหน้าเอเยนซี่รับจัดงานให้ทั้งหลาย
งานวัดหลายที่เน้นขายของกินของใช้กันเสียจนแทบจะแยกกันไม่ออกเลยทีเดียวว่าตกลงนี่มันงานวัดหรือว่า "ตลาดนัด" กันแน่
พอเข้าใจอยู่ครับในเรื่องของการเปลี่ยนแปลง ที่ย่อมจะต้องเป็นไปตามสภาพของสังคมและกาลเวลาที่ผันแปร แต่กระนั้นที่รับไม่ได้ก็คือในระยะหลังๆ นั้นดูเหมือนว่าคำว่า "งานวัด" เองจะกลายเป็นพื้นที่และช่วงโอกาสทองที่พ่อค้า-แม่ค้าบางส่วนจะตั้งใจมาเอากำไรเอาเอาเปรียบคนมาเที่ยวงานไปแล้ว
ขนมจีนกระดาษทิชชู่ (อันนี้่เคยเจอกับตัว), อาหารที่เติมผงชูรสชนิดที่ว่ากินเข้าไปแล้วปากเจ่อ, ขนมสีฉูดฉาดที่ไม่รู้เหมือนกันว่าใช้สีที่เป็นอันตรายหรือไม่ แถมบางเจ้าก็อัดสารกันบูด-กันเน่าเข้าไปเพราะหวังจะให้ของอยู่นานๆ อีกต่างหาก
รวมไปถึงกิจกรรมการละเล่นต่างๆ ที่สังเกตให้ดีนะครับว่าไม่ว่าจะงานวัดไหนพวกนี้ก็จะซ้ำหน้าและคล้ายๆ กันตลอด
จริงๆ การที่หลายคนที่ไปเที่ยวงานวัดแล้วเข้าไปเล่นกิจกรรมในส่วนต่างๆ อย่างพวกที่โฆษณาว่าเป็นเมียงูครับเมียงู, บ้านผี, สัตว์แปลกๆ หาดูยาก พวกนี้ต่างก็รู้อยู่แล้วว่าเข้าไปแล้วจะเจอะเจอกับอะไร หรือจะเป็นเกมที่ของรางวัลล่อตาใจ ทั้ง ตุ๊กตา นาฬิกา เหล้า ฯ นั้นต่างก็ไม่ได้หมายหมั้นปั้นมือถึงขนาดที่ว่าจะไปตามล่าเอาของรางวัลนั้นๆ แบบเอาจริง เอาจังอะไรหรอกครับ
ส่วนมากที่เห็นก็เพราะนึกสนุก ได้ไม่ได้ก็ช่างมัน
เช่น ปาลูกโป่ง แม่ค้าพ่อค้าก็จะใช้เทคนิก ทำลูกดอกแบบพิเศษ แบบไม่มีน้ำหนักบ้าง, ตูดหนักกว่าด้านปลายแหลม ขณะที่ลูกโป่งก็อัดลมไม่ให้ตึง การปาให้แตกนั้นจะยากอยู่พอสมควร (กรณีนี้ถ้าใครอยากปาได้ของรางวัลแนะนำว่าให้เลือกลูกดอกดีๆ หรือจะลงทุนพกเอาลูกดอกไปเองก็ได้ถ้าร้านเขาอนุญาตนะ 555)
กิจกรรมทื่ต้องใช้ "ปืน" ชนิดต่างๆ เป็นอุปกรณ์ อันนี้ส่วนใหญ่ทางร้านจะมีการปรับแต่งความแรงของมันไว้แล้ว หรือถ้าต้องยิงตัวตุ๊กตา ตัวตุ๊กตาเองจะมีการถ่วงน้ำหนักเอาไว้ไม่ก็วางจนเบียดกัน ต่อให้ยิงโดนมันก็จะไม่ตก
เช่นเดียวกับการปาลูกเทนนิสใส่กระป๋องที่ก็จะมีการถ่วงน้ำหนักบางกระป๋องเอาไว้ ถึงปาตกมันก็ยังตั้งอยู่ได้
โยนห่วงคล้องคอขวด คล้องซองบุหรี่ โยนบอลชิ่งผนัง ฯ พวกนี้นอกจากจะต้องสู้กับเทคนิกของอุปกรณ์แล้ว ฝีมือกับดวงก็มีส่วนพอสมควร
ส่วนประเภทที่เป็นการเสี่ยงโชคที่นับวันต้องบอกว่าจะดูโจ๋งครึ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งทำให้งานวัดไม่ต่างอะไรไปจากบ่อนหรือคาสิโนเคลื่อนที่ไปแล้ว ทั้ง บิงโก, หนูลงรู, ทายเลขจากการหมุนเหรียญ 3 - 8 , วัดดวงจากการหมุนวงล้อ, แทงสูง - ต่ำ, น้ำเต้า-ปู-ปลา, ปั่นแปะ ฯ พวกนี้ขอแนะนำว่าอย่าเข้าไปยุ่งเป็นอันขาดครับ เพราะนอกจากจะมีวิธีการโกงที่แยบยลแล้ว พวกนี้ยังมี "หน้าม้า" ที่พร้อมจะกลายเป็นนักเลงหิ้วเราออกมาได้ตลอดเวลา
แต่รู้ทั้งรู้ว่ากระนั้นหลายคนก็เล่นนะครับ เพราะอย่างที่บอกครับคือเอาสนุก เอาบรรยากาศ และที่สำคัญแต่ละเกมค่าใช้จ่ายไม่ได้สูงอะไรมากมาย
5 บาทมั้ง 10 บาทมั่ง 20 บาทมั่ง
ทว่ากับล่าสุดที่เจอมาด้วยตนเองในงานวัดหน้าซอยวัดดาวฯ เชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฯ ที่จะมีในวันที่ 3 - 4 - 5 ธันวาคม ของทุกๆ ปีนั้นต้องบอกว่าเกินไป
เกมที่ว่าก็คือยิงหนังสติ๊กให้ซองสี(บางร้านอาจจะเป็นซองบุหรี่)ที่ตั้งอยู่บนกระป๋องตกโดยที่กระป๋องไม่ล้ม ซึ่งบนป้ายภายในร้านนั้นเขียนระบุรายละเอียดแบบบรรทัดต่อบรรทัดว่า...
อ่านก่อนยิง 20 บาท
1 ลูกยิงซอง
สีให้ตกจากกระป๋อง
กระป๋องห้ามตก
ตก 1 ซองรับทันที
ตุ๊กตา 2 ตัว
หรือเหล้า 1 กลม
พัดลม หม้อหุงข้าว
เครื่องใช้ไฟฟ้า...
ขณะที่หน้าร้านมีถาดเล็กๆ ใส่ลูกกระสุนไว้ถาดละ 5 ลูกพร้อมหนังสติ๊กวางเรียงรายกันอยู่เป็นชุดๆ
อันที่จริงๆ ก็รู้อยู่แหละครับว่าโอกาสที่จะเล่นตามกติกาเพื่อให้ได้มารางวัลนั้นเป็นไปได้ยากหรือเแทบจะป็นไปไม่ได้เลย เนื่องเพราะซองสีนั้นมีการถ่วงน้ำหนักเอาไว้ให้มีน้ำหนักที่มากกว่าน้ำหนักกระป๋อง ต่อให้มีฝีมือหรือว่าฟลุคยิงถูกเฉพาะซองบุหรี่กระป๋องก็จะล้มอยู่ดี
แต่ด้วยความที่เด็กๆ เคยเข้าใจว่าตัวเองก็เซียนหนังกะติ๊กคนหนึ่งผมก็เลยอยากลองเล่นขำๆ
"ชุดละ 20 บาทนะเจ๊ๆ" ผมถามย้ำเพราะกลัวว่าจะมีการหมกเม็ดซ่อนเงื่อนเล่นคำระหว่างบรรทัดบนป้ายที่เขียนไว้หรือไม่?
"ค่ะ กติกาตามป้ายเลยค่ะ"
เพื่อความชัวร์ผมก็เลยควักเงินจ่ายไปก่อนเลย 20 บาท ยิงไปลูกแรก คว้าลูกที่ 2 ขึ้นมายิงก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะว่าอะไร ก็เลยยิงไปจนหมดถาด โดยมีน้องที่ไปด้วยนึกสนุกขอลองเล่นบ้าง
ยิงเสร็จน้องคนที่ว่าก็ควักแบงค์ 20 จ่ายให้ไป พร้อมกำลังจะเดินออก เสียงพนักงานก็บอกว่า ยังขาดอีก 160 บาท
...เอาแล้วไง... ผมนึกใจใน
"ลูกละ 20 บาทถาดละ 100" คราวนี้พนักงานบอกชัดถ้อยชัดคำ พร้อมกับบอกว่าป้ายก็เขียนบอกไว้แล้ว
จริงครับ จริงตามที่พนักงานบอก ป้ายเขียนระบุบอกไว้จริงๆ ด้วยว่า "1 ลูก 20 บาท 1 ถาด 100"
แต่ไอ้บรรทัดสุดท้ายนั้นนอกจากตัวจะเล็กกว่าชาวบ้านแล้วมันยังมีของวางอยู่เต็มไปหมดเลย จะเห็นบรรทัดสุดท้ายจริงๆ ก็ต้องเอาของออกหรือไม่ก็ต้องเดินอ้อมไปดูข้างๆ ตามภาพที่ถ่ายมาให้ดูกัน (ส่วนป้ายที่ติดหน้าร้านบรรทัดสุดท้ายก็มองไม่เห็นเช่นกัน)
นอกจากจะไม่บอกให้ชัดๆ ในร้านยังมีหน้าม้าคอยทำให้เราเขวอีก
"ยิงเลยน้อย 20 เอง...เสียดายอะไร....มาเที่ยวทั้งที...เนี่ยพี่ได้มาแล้ว 2 ขวด" หน้าม้าที่เป็นคนว่าพลางคว้าหนังสติ๊กยิงอย่างเพลิดเพลิน แถมยังยิงตกให้เราเห็นเสียอีก (ซึ่งก็คงจะเป็นอีกหนึ่งเทคนิกในการล่อลูกค้าอีกนั่นแหละ)
สังเกตดูมีคนที่ต้องตกเป็นเหยื่อเกือบจะทุกคนเลยครับ แล้วแต่ละคนนั้นต่างก็โดนกันไม่ใช่น้อยๆ 300 บ้าง 400 บ้าง 500 บ้าง
บางคนอาจจะมองว่าไม่ได้เยอะอะไร ก็ต้องเข้าใจนะครับว่าสำหรับคนที่มาเที่ยวงานวัดนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปหาใช่เศรษฐีมีเงินถุงเงินถังซะที่ไหน
ที่สำคัญยิ่งกว่าพวกพ่อค้าแม่ค้าเห็นแก่ได้หากินที่นึงเสร็จก็ย้ายไปอีกที่หนึ่งพวกนี้แหละครับนับวันดูเหมือนจะยิ่งระบาดและทำลายความสนุกสนานความรื่นเริงของบรรยากาศแบบงานวัดมากยิ่งขึ้นไปทุกทีๆ
คงเป็นเรื่องยากครับที่จะเอาผิดหรือจะหวังว่าอาจจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสักหน่วยงานนึงเข้ามาดูแลตรวจสอบพวกที่ทำมาหากินแบบนี้
เอาเป็นว่า ถ้าใครเจอร้านนี้ที่ไหน ช่วยทำหนังสติ๊กสะบัดลูกกระสุนใส่พวกมันสักคนละลูกสองลูกก็จะขอบพระคุณอย่างยิ่งเลยครับ
แค้นนะเฟ้ย...สาดดดดด