คนต้นเรื่องรายการคนค้นฅน “เช็ค สุทธิพงษ์” ไฟเขียวพนักงานทีวีบูรพาไม่ต้องแทงกั๊กออกไปร่วมม็อบได้เลย ลั่นงานนี้หากรายการถูกถอดทั้งหมดก็ช่างแม่มมัน เหตุเพราะต้องทำสิ่งที่ถูกและสำคัญกว่าก่อน
เข้มขึ้นเรื่อยๆ สำหรับกระแสการเมืองของบ้านเราในวันนี้เฉพาะอย่างยิ่งบรรยากาศนอกรัฐสภาที่มีประชาชนเป็นจำนวนมากจากหลายๆ ภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไป, นักธุรกิจ, ข้าราชการ, ครู-อาจารย์, นักวิชาการ, แพทย์ หมอ พยาบาล, นักเรียน, นักศึกษา ฯลฯ หรือแม้กระทั่งคนบันเทิงเองที่ต่างออกมาใช้สิทธิแสดงความเห็นยืนยันถึงการหมดความชอบธรรมของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ต่อการที่จะบริหารบ้านเมืองต่อไปทั้งในเรื่องของโครงการนโยบายการรับจำนำข้าว, การแก้กฎหมายเพื่อพรรคพวกตนเอง, การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฯลฯ
โดยล่าสุดในเฟซบุ๊กของพิธีกรชื่อดัง “เช็ค สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ” หนึ่งในคนเดินเรื่องรายการ “คนค้นฅน” ของบริษัท ทีวีบูรพา เจ้าตัวก็ได้มีการโพสต์ข้อความถึงเรื่องนี้เช่นกัน โดยมีใจความถึงพนักงานในส่วนของบริษัท ทีวีบูรพา ว่าสามารถออกไปแสดงความเห็นทางการเมืองได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกลัวผลกระทบที่จะตามมา พร้อมยังบอกด้วยว่างวดนี้หากรายการทั้งหมดจะถูกถอดไปก็ยอม
“น้องๆ ชาวทีวีบูรพาที่รัก
ไม่ต้องแทงกั๊ก ไม่ต้องลังเล เงินเดือนใหม่ที่ปรับขึ้น เสร็จแล้ว พวกเราได้รับตั้งแต่พฤศจิกา ล่วงหน้า 2 เดือน ไม่ต้องขอบคุณบริษัท ให้ขอบคุณและตอบแทนประเทศนี้ ฉะนั้นอย่าทำหน้าที่เฉพาะงานวิชาชีพ เพราะยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วนพอ ออกไปทำหน้าที่เพื่อชาติด้วย
งวดนี้ถูกถอดรายการหมดก็ช่างแม่มมัน ค่อยคิด ทำ
สิ่งที่ถูกต้องและต้องทำ
ซึ่งสำคัญมากกว่าก่อน
ทำ เ ล้ ย ย ย พี่น้องเอ้ยย”
ทั้งนี้ในช่วงเมื่อไม่นานมานี้ในส่วนของผู้บริหารบริษัท ทีวีบูรพา เองก็เคยตกเป็นข่าวมาแล้วครั้งหนึ่งหลังจู่ๆ รายการที่ผลิตอย่าง “คนค้นฅน” ในเทปตอนที่มีชื่อว่า “ศศิน เฉลิมลาภ 388 กม.จากป่าสู่เมือง” ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวการเดินเท้าเพื่อต่อต้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ของเลขาธิการมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร คนนี้ได้ถูกทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ทีวี สั่งระงับการออกอากาศกะทันหัน โดยในตอนนั้นเองทาง เช็ค สุทธิพงษ์ ก็ได้โพสต์ภาพตนเองที่มีเทปกาวสีดำแปะตาและปากอยู่ นอกจากนั้นในก่อนหน้านี้เจ้าตัวก็ได้มีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล พร้อมระบุถึงข้าวยี่ห้อหนึ่งก่อนที่ในเวลาต่อมาเจ้าตัวจะออกมากล่าวขอโทษในภายหลังท่ามกลางกระแสวิจารณ์มากมาย