ด้วยพื้นที่เท่า(ลูก)แมวดิ้นตายส่งผลให้การปลูกไม้ใหญ่ชนิดลงดินบริเวณรอบๆ อาณาบริเวณ บ้านที่จังหวัดสระบุรีจึงเป็นไปได้น้อยมากครับ
ยิ่งปัจจุบันมีบ้านน้าเข้ามาปลูกอีกหนึ่งหลัง ส่วนที่เป็นพื้นดินจึงแทบจะไม่มีเหลือ
ที่พอจะเรียกว่าเป็น "ต้นไม้" ได้ก็เห็นจะมี หมาก กับ สน ขนาดย่อมๆ อย่างละ 2 ต้น นอกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นพวกไม้เล็ก อาทิ โป๊ยเซียน กุหลาบ ฯ ที่ต่างยืนโตอยู่ในกระถาง รวมถึง เฟื่องฟ้า, มะยงชิด อีกอย่างละต้นในวงคอนกรีต (อ่านว่า วง - คอน - กรีด)
แต่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ฟ้าก็ประทานไม้ต้น(ขนาดเล็ก)มาให้ต้นหนึ่งครับ
ที่ต้องบอกว่าฟ้าประทานก็เพราะ หนึ่งจู่ๆ มันขึ้นของมันมาเองทั้งๆ ที่ในละแวกแถบพื้นที่ใกล้ๆ กันนั้นไม่มีต้นไม้ชนิดเดียวกันกับมันขึ้นอยู่เลย และสองต้องบอกว่าอะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น เนื่องจากพื้นที่บริเวณขนาดวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางยาวสัก 1 ช่วงแขนที่มีมันขึ้นเป็นจุดศูนย์กลางอยู่นั้น คือพื้นดินผืนเดียวที่เหลืออยู่ในบริเวณบ้านนั่นเอง
ไม้ต้นที่ว่าก็คือ "ตะขบ" ครับ
จริงๆ พื้นที่ตรงนั้นแต่เดิมเจ้าของเป็น(กิ่งตอน)มะม่วงมันพันธุ์หนองแซง แต่หลังๆ ไม่รู้เพราะอะไรมันเกิดไม่มันขึ้นมาซะอย่างนั้น ประกอบกับมีการต่อเติมบ้านนิดๆ หน่อยๆ ก็เลยต้องตัดใจตัดโค่นทิ้งไป
ช่วงพื้นที่ว่างๆ อยู่ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะเอาอะไรมาลงสักต้นดี โดยที่เล็งๆ ไว้ก็มี ลั่นทม กับ กระจง เจ้าตะขบ ก็มาชิงพื้นที่ไปเสียก่อน
เมื่อครั้งที่ต้นเล็กๆ สูงสักครึ่งคืบ มันเกือบจะถูกผมฆาตกรรมไปแล้วจากความชำนิชำนาญในพันธุ์พืชต้นไม้ใบหญ้าเป็นอย่างดีด้วยการไพล่คิดไปว่ามันคือตำแย!
รอดจากเงื้อมือของผม ผ่านไปสักสองเดือนวันหนึ่งผมก็สังเกตเห็นว่าทำไมเจ้าตะขบซึ่งมีความสูงราวๆ เมตรครึ่งแล้วถึงได้รู้สึกเตี้ยๆ พิกล ครั้นไปดูใกล้ๆ ก็พบว่ายอดของมันถูกตัดไป ส่วนมือกรรไกรก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นแม่ผมเองครับด้วยเหตุผลความปรารถนาดีที่ว่าอยากจะให้มันเป็นพุ่มๆ
"จะไม่ตายหรือแม่ มันยังดูเป็นต้นอ่อนๆ อยู่เลยนะ..." ผมถามก่อนได้รับคำตอบสั้นๆ จากมือตัดว่า...ไม่รู้
ถึงตอนนี้ตะขบที่รอดน้ำมือของผมกับแม่ผมมาอย่างหวุดหวิดมีความสูงประมาณ 2 เมตรเกือบจะ 3 เมตรแล้วครับ แถมออกดอก-ออกผลคลอดท้องแรกให้ได้ลองลิ้มลองความหวานอร่อยไปแล้ว ขณะที่กิ่งก้านที่แผ่ออกมานั้นดูแววแล้วโตขึ้นไปกว่านี้มันน่าจะสยายเป็นชั้นๆ สวยงามอยู่พอสมควรทีเดียว
ทุกครั้งที่เดินไปใกล้ๆ ต้น ได้กลิ่นหอมละมุนอันเป็นเอกลักษณ์ของตะขบแล้วทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ ครับ
จำได้ว่าที่วัดในหมู่บ้านจะมีต้นตะขบขึ้นติดๆ กันเยอะมาก นอกจากรสชาติผลสุกที่เวลาขบกัดลงไปจะสัมผัสได้ถึงความหวานอร่อยแถมยังมีกลิ่นหอมชวนชื่นใจแล้ว ทั้งลำต้นและผลดิบของมันยังเป็นเครื่องเล่นชั้นดีของพวกเราชาวเด็กบ้านนอกอีกต่างหาก
ด้วยกิ่งที่แผ่ออกมาอย่างค่อนข้างเป็นระเบียบของต้นตะขบทำให้เราสามารถนำเอาไม้กระดานขึ้นไปวางทำเป็นห้างไว้นั่งเล่น นอนรับลมชมนก ชมไม้ได้สบายๆ เลยครับ
ส่วนใครที่ขยันมีหัวหน่อยก็จะดึงก้านของมันขัดสานทำเป็นฝา ทำหลังคา (ตรงนี้ถ้าใครขยันขึ้นไปอีกก็อาจจะใช้ทางมะพร้าวแทน) กลายเป็นกระท่อมบนต้นไม้แบบไม่ยากเย็นอะไร
เมื่อต่างคนมีอาณาเขตที่อยู่ มีเสบียง(ผลสุกของมัน)เป็นของตนเองแล้ว ทีนี้ก็ต้องมีอาวุธเอาไว้ใช้สู้กันครับ ถ้าเป็นหนังกระติ๊ก(สติ๊ก) ถึงใช้ลูกตะขบเป็นกระสุนก็ค่อนข้างจะเจ็บและอันตรายเกินไป จะเล่นอีโบ๊ะหรือก็ยุ่งยาก ลงตัวที่สุดก็คือ "ปืนตะขบ"
วิธีการทำก็ง่ายๆ ครับ เอาไม้แปมาหนึ่งอัน ยาวสักศอก-แขน ปลายข้างหนึ่งติดหนังยางที่ร้อยเป็นวงกลมความยาวก็กะว่าดึงแล้วให้รู้สึกตึงนิดๆ โดยที่ยังไม่เกินความยาวของไม้ ณ ตรงจุดที่ตึงนิดๆ นั้นให้ทำเป็นตัวหนีบแบบกระดก(นึกถึงที่หนีบผ้า) ด้วยการบากไม้(แป)ลงไป แล้วนำเอาไม้เล็กๆ มารัดติดโดยให้ส่วนหนึ่งยื่นออกไปในส่วนที่บากไว้แค่นี้ก็เสร็จแล้ว
ส่วนวีธีการเล่นก็ง่ายๆ เช่นกัน เด็ดลูกตะขบดิบเอามาโดยให้ก้านมันยังติดคาขั้วผลอยู่ ง้างก้านหนีบหนีบส่วนที่เป็นก้านเอาไว้ แล้วก็ดึงหนังยางจากด้านหน้ามาคล้องกับตัวผลของมัน เวลายิงก็แค่กระดกตัวหนีบที่หนีบก้านตะขบลงไป พออีกฟากของที่หนีบคลายตัวจนก้านตะขบเป็นอิสระ แรงดึงของหนังยางก็จะดึงเอาผลของมันพุ่งออกไป
หลักการทำงานก็คล้ายๆ กับหน้าไม้นั่นละครับ ลูก(กระสุน)ตะขบจะแรงหรือไกลขนาดไหนย่อมสัมพันธ์อยู่กับความยาวของไม้กับแรงตึงของหนังยาง
บางคนพ่อเชี่ยวชาญเรื่องไม้ก็อาจจะเหลาไม้เป็นรูปทรงคล้ายปืนยาวจริงๆ ให้คนอื่นได้อิจฉา
ยิงลูกดิบ กินลูกสุก พอเสียงกลองเพลดังก็พากันปีนลงจากต้นไปจัดกับข้าวให้พระ กินข้าววัดเสร็จ ล้างบาตร ช้อน จาน ชาม ปิ่นโตเรียบร้อย บ่าย-เย็นก็กระโดดน้ำท่าวัดเล่น ช่างเป็นช่วงปิดเทอมที่แสนสุขเสียจริง
นึกๆ แล้วก็ให้น่าน้อยใจแทนเจ้าตะขบนะครับ เพราะแม้จะมีเชื้อสายฝรั่งเมกซิกัน มีประโยชน์สารพัด ทั้งให้ร่มเงา เป็นไม้พี่เลี้ยงที่ดีของพืช-ผักหลายชนิด เช่น ผักหวาน แถมผลยังมีรสชาติหวานอร่อย ที่สำคัญจากการวิจัยพบว่าตะขบนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีกว่าผลไม้อื่นๆ หลายต่อหลายด้าน ทั้ง มีปริมาณใยอาหารที่สูงที่สุด คือให้พลังงานถึง 97 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม นอกจากนี้ก็ยังสูงด้วยแคลเซียมและโปแตสเซียมซึ่งเป็นแร่ธาตุหลักที่หากมีมากๆ ก็สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังบางชนิดรวมไปถึงการเกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้ แต่กระนั้นถ้าถามถึงมูลค่าราคาค่างวดหรือแม้กระทั่งความนิยมของมันต่อคนทั่วไปก็ต้องบอกว่าน้อยเต็มทน
เรียกว่าแทบจะหาค่าไม่ได้เลยดีกว่าเพราะบางคนไม่เคยคิดว่ามันคือผลไม้เสียด้วยซ้ำไป
จะว่าไปแล้วก็คงจะไม่ผิดอะไรกับชีวิตมนุษย์เราโดยทั่วๆ ไปนั่นแหละครับ
บางคนอาจจะไม่ได้มากมายซึ่งความร่ำรวยในทรัพย์สินเงินทอง แต่ก็อยู่ด้วยความรู้สึกภูมิใจในคุณค่าความดีความงามของตนเองแม้จะเป็นสิ่งที่หลายคนมองไม่เห็นก็ตาม
ขณะเดียวกันกับที่บางคนที่มีชีวิตอยู่บนกองเงินกองทอง มากมายด้วยอำนาจบารมี รายล้อมด้วยข้าทาสบริวาร แต่กลับมีชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวง หวั่นต่อเสียงติฉินนินทาและคำสาปแช่งและ กลัวคนทั่วไปจะรู้ถึงความฉ้อฉลของตนเอง
เรื่องแบบนี้สุดแต่ใจจะเลือกครับ
...
ข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.baanmaha.com/community/thread34708.html
http://hilight.kapook.com/view/54381
ยิ่งปัจจุบันมีบ้านน้าเข้ามาปลูกอีกหนึ่งหลัง ส่วนที่เป็นพื้นดินจึงแทบจะไม่มีเหลือ
ที่พอจะเรียกว่าเป็น "ต้นไม้" ได้ก็เห็นจะมี หมาก กับ สน ขนาดย่อมๆ อย่างละ 2 ต้น นอกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นพวกไม้เล็ก อาทิ โป๊ยเซียน กุหลาบ ฯ ที่ต่างยืนโตอยู่ในกระถาง รวมถึง เฟื่องฟ้า, มะยงชิด อีกอย่างละต้นในวงคอนกรีต (อ่านว่า วง - คอน - กรีด)
แต่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ฟ้าก็ประทานไม้ต้น(ขนาดเล็ก)มาให้ต้นหนึ่งครับ
ที่ต้องบอกว่าฟ้าประทานก็เพราะ หนึ่งจู่ๆ มันขึ้นของมันมาเองทั้งๆ ที่ในละแวกแถบพื้นที่ใกล้ๆ กันนั้นไม่มีต้นไม้ชนิดเดียวกันกับมันขึ้นอยู่เลย และสองต้องบอกว่าอะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น เนื่องจากพื้นที่บริเวณขนาดวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางยาวสัก 1 ช่วงแขนที่มีมันขึ้นเป็นจุดศูนย์กลางอยู่นั้น คือพื้นดินผืนเดียวที่เหลืออยู่ในบริเวณบ้านนั่นเอง
ไม้ต้นที่ว่าก็คือ "ตะขบ" ครับ
จริงๆ พื้นที่ตรงนั้นแต่เดิมเจ้าของเป็น(กิ่งตอน)มะม่วงมันพันธุ์หนองแซง แต่หลังๆ ไม่รู้เพราะอะไรมันเกิดไม่มันขึ้นมาซะอย่างนั้น ประกอบกับมีการต่อเติมบ้านนิดๆ หน่อยๆ ก็เลยต้องตัดใจตัดโค่นทิ้งไป
ช่วงพื้นที่ว่างๆ อยู่ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะเอาอะไรมาลงสักต้นดี โดยที่เล็งๆ ไว้ก็มี ลั่นทม กับ กระจง เจ้าตะขบ ก็มาชิงพื้นที่ไปเสียก่อน
เมื่อครั้งที่ต้นเล็กๆ สูงสักครึ่งคืบ มันเกือบจะถูกผมฆาตกรรมไปแล้วจากความชำนิชำนาญในพันธุ์พืชต้นไม้ใบหญ้าเป็นอย่างดีด้วยการไพล่คิดไปว่ามันคือตำแย!
รอดจากเงื้อมือของผม ผ่านไปสักสองเดือนวันหนึ่งผมก็สังเกตเห็นว่าทำไมเจ้าตะขบซึ่งมีความสูงราวๆ เมตรครึ่งแล้วถึงได้รู้สึกเตี้ยๆ พิกล ครั้นไปดูใกล้ๆ ก็พบว่ายอดของมันถูกตัดไป ส่วนมือกรรไกรก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นแม่ผมเองครับด้วยเหตุผลความปรารถนาดีที่ว่าอยากจะให้มันเป็นพุ่มๆ
"จะไม่ตายหรือแม่ มันยังดูเป็นต้นอ่อนๆ อยู่เลยนะ..." ผมถามก่อนได้รับคำตอบสั้นๆ จากมือตัดว่า...ไม่รู้
ถึงตอนนี้ตะขบที่รอดน้ำมือของผมกับแม่ผมมาอย่างหวุดหวิดมีความสูงประมาณ 2 เมตรเกือบจะ 3 เมตรแล้วครับ แถมออกดอก-ออกผลคลอดท้องแรกให้ได้ลองลิ้มลองความหวานอร่อยไปแล้ว ขณะที่กิ่งก้านที่แผ่ออกมานั้นดูแววแล้วโตขึ้นไปกว่านี้มันน่าจะสยายเป็นชั้นๆ สวยงามอยู่พอสมควรทีเดียว
ทุกครั้งที่เดินไปใกล้ๆ ต้น ได้กลิ่นหอมละมุนอันเป็นเอกลักษณ์ของตะขบแล้วทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ ครับ
จำได้ว่าที่วัดในหมู่บ้านจะมีต้นตะขบขึ้นติดๆ กันเยอะมาก นอกจากรสชาติผลสุกที่เวลาขบกัดลงไปจะสัมผัสได้ถึงความหวานอร่อยแถมยังมีกลิ่นหอมชวนชื่นใจแล้ว ทั้งลำต้นและผลดิบของมันยังเป็นเครื่องเล่นชั้นดีของพวกเราชาวเด็กบ้านนอกอีกต่างหาก
ด้วยกิ่งที่แผ่ออกมาอย่างค่อนข้างเป็นระเบียบของต้นตะขบทำให้เราสามารถนำเอาไม้กระดานขึ้นไปวางทำเป็นห้างไว้นั่งเล่น นอนรับลมชมนก ชมไม้ได้สบายๆ เลยครับ
ส่วนใครที่ขยันมีหัวหน่อยก็จะดึงก้านของมันขัดสานทำเป็นฝา ทำหลังคา (ตรงนี้ถ้าใครขยันขึ้นไปอีกก็อาจจะใช้ทางมะพร้าวแทน) กลายเป็นกระท่อมบนต้นไม้แบบไม่ยากเย็นอะไร
เมื่อต่างคนมีอาณาเขตที่อยู่ มีเสบียง(ผลสุกของมัน)เป็นของตนเองแล้ว ทีนี้ก็ต้องมีอาวุธเอาไว้ใช้สู้กันครับ ถ้าเป็นหนังกระติ๊ก(สติ๊ก) ถึงใช้ลูกตะขบเป็นกระสุนก็ค่อนข้างจะเจ็บและอันตรายเกินไป จะเล่นอีโบ๊ะหรือก็ยุ่งยาก ลงตัวที่สุดก็คือ "ปืนตะขบ"
วิธีการทำก็ง่ายๆ ครับ เอาไม้แปมาหนึ่งอัน ยาวสักศอก-แขน ปลายข้างหนึ่งติดหนังยางที่ร้อยเป็นวงกลมความยาวก็กะว่าดึงแล้วให้รู้สึกตึงนิดๆ โดยที่ยังไม่เกินความยาวของไม้ ณ ตรงจุดที่ตึงนิดๆ นั้นให้ทำเป็นตัวหนีบแบบกระดก(นึกถึงที่หนีบผ้า) ด้วยการบากไม้(แป)ลงไป แล้วนำเอาไม้เล็กๆ มารัดติดโดยให้ส่วนหนึ่งยื่นออกไปในส่วนที่บากไว้แค่นี้ก็เสร็จแล้ว
ส่วนวีธีการเล่นก็ง่ายๆ เช่นกัน เด็ดลูกตะขบดิบเอามาโดยให้ก้านมันยังติดคาขั้วผลอยู่ ง้างก้านหนีบหนีบส่วนที่เป็นก้านเอาไว้ แล้วก็ดึงหนังยางจากด้านหน้ามาคล้องกับตัวผลของมัน เวลายิงก็แค่กระดกตัวหนีบที่หนีบก้านตะขบลงไป พออีกฟากของที่หนีบคลายตัวจนก้านตะขบเป็นอิสระ แรงดึงของหนังยางก็จะดึงเอาผลของมันพุ่งออกไป
หลักการทำงานก็คล้ายๆ กับหน้าไม้นั่นละครับ ลูก(กระสุน)ตะขบจะแรงหรือไกลขนาดไหนย่อมสัมพันธ์อยู่กับความยาวของไม้กับแรงตึงของหนังยาง
บางคนพ่อเชี่ยวชาญเรื่องไม้ก็อาจจะเหลาไม้เป็นรูปทรงคล้ายปืนยาวจริงๆ ให้คนอื่นได้อิจฉา
ยิงลูกดิบ กินลูกสุก พอเสียงกลองเพลดังก็พากันปีนลงจากต้นไปจัดกับข้าวให้พระ กินข้าววัดเสร็จ ล้างบาตร ช้อน จาน ชาม ปิ่นโตเรียบร้อย บ่าย-เย็นก็กระโดดน้ำท่าวัดเล่น ช่างเป็นช่วงปิดเทอมที่แสนสุขเสียจริง
นึกๆ แล้วก็ให้น่าน้อยใจแทนเจ้าตะขบนะครับ เพราะแม้จะมีเชื้อสายฝรั่งเมกซิกัน มีประโยชน์สารพัด ทั้งให้ร่มเงา เป็นไม้พี่เลี้ยงที่ดีของพืช-ผักหลายชนิด เช่น ผักหวาน แถมผลยังมีรสชาติหวานอร่อย ที่สำคัญจากการวิจัยพบว่าตะขบนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีกว่าผลไม้อื่นๆ หลายต่อหลายด้าน ทั้ง มีปริมาณใยอาหารที่สูงที่สุด คือให้พลังงานถึง 97 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม นอกจากนี้ก็ยังสูงด้วยแคลเซียมและโปแตสเซียมซึ่งเป็นแร่ธาตุหลักที่หากมีมากๆ ก็สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังบางชนิดรวมไปถึงการเกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้ แต่กระนั้นถ้าถามถึงมูลค่าราคาค่างวดหรือแม้กระทั่งความนิยมของมันต่อคนทั่วไปก็ต้องบอกว่าน้อยเต็มทน
เรียกว่าแทบจะหาค่าไม่ได้เลยดีกว่าเพราะบางคนไม่เคยคิดว่ามันคือผลไม้เสียด้วยซ้ำไป
จะว่าไปแล้วก็คงจะไม่ผิดอะไรกับชีวิตมนุษย์เราโดยทั่วๆ ไปนั่นแหละครับ
บางคนอาจจะไม่ได้มากมายซึ่งความร่ำรวยในทรัพย์สินเงินทอง แต่ก็อยู่ด้วยความรู้สึกภูมิใจในคุณค่าความดีความงามของตนเองแม้จะเป็นสิ่งที่หลายคนมองไม่เห็นก็ตาม
ขณะเดียวกันกับที่บางคนที่มีชีวิตอยู่บนกองเงินกองทอง มากมายด้วยอำนาจบารมี รายล้อมด้วยข้าทาสบริวาร แต่กลับมีชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวง หวั่นต่อเสียงติฉินนินทาและคำสาปแช่งและ กลัวคนทั่วไปจะรู้ถึงความฉ้อฉลของตนเอง
เรื่องแบบนี้สุดแต่ใจจะเลือกครับ
...
ข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.baanmaha.com/community/thread34708.html
http://hilight.kapook.com/view/54381