หากเอ่ยถึงคำว่า "เด็กวัด" ถ้าย้อนไปในอดีตสัก 20 - 30 ปีที่แล้วคงจะไม่ใช่คำที่แปลกอะไรมากมาย เพราะคนใหญ่คนโตในแวดวงต่างๆ หลายต่อหลายคนต่างก็ล้วนแล้วแต่เคยมีสถานะนี้กันมาแล้วทั้งนั้น
สำหรับในยุคปัจจุบันแม้จะหาคนดังที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเด็กวัดได้ยาก ทว่าก็ใช่จะไม่มีเอาเสียเลย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือนักร้อง-นักแสดงหนุ่มที่มีชื่อว่า "กัน นภัทร อินทร์ใจเอื้อ" แชมป์จากการประกวดรายการเรียลิตี้ "เดอะสตาร์" ปีที่ 6 นั่นเอง
"ด้วยครอบครัวผมอยู่สุพรรณ แล้วจะส่งกันมาเรียนที่กรุงเทพฯ ท่านก็เลยฝากกันไว้ที่วัด ด้วยความสะดวกสบาย ใกล้โรงเรียน ตอนนั้นอยู่ชั้นม.1 โรงเรียนสวนกุหลาบ ก็ช่วงชิงกับเด็กหลายคนนะ เพราะพระท่านไม่ค่อยรับเลี้ยงเด็ก แต่ด้วยเพราะว่าเจ้าอาวาสวัดเป็นญาติที่สุพรรณเลยฝากเข้ามาจนได้อยู่เป็นเด็กวัด"
"ตอนนั้นชีวิตเปลี่ยนมาก ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ เพราะอยู่สุพรรณพ่อแม่ตามใจทุกอย่าง แม่ดูแลตลอดถึงขั้นป้อนข้าวป้อนน้ำ ซักผ้ารีดผ้าทำให้ทุกอย่าง พอเรามาอยู่วัดทุกอย่างต้องดูแลตัวเองหมด ทั้งซักผ้า รีดผ้า กวาดห้อง หาอาหารกินเอง แบ่งเวลาอ่านหนังสือ"
รู้สึกน้อยใจ คิดว่าพ่อ-แม่ไม่รัก?
"ชีวิตการเป็นเด็กวัดตอนนั้นเรียบร้อยมากครับ เป็นช่วงเวลาที่กลายเป็นคนขี้เหงาเพราะคิดถึงบ้านมาก ตอนที่พ่อแม่ส่งมาเรียนที่กรุงเทพฯ เรามีอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความน้อยใจ ทำไมเราต้องมาอยู่ที่กรุงเทพฯ คนเดียวเขาไม่รักเราแล้วรึเปล่า ก็ร้องไห้ทุกวัน"
"ทุกวันศุกร์จะเป็นวันที่ดีใจมากเพราะจะได้กลับบ้าน ก็จะนั่งรถกลับไปบ้านเอง เป็นสิ่งที่มีความสุขมาก เป็นภาพที่จำได้เลย คือนั่งรถตุ๊กตุ๊กไปลงสี่แยกคอกวัว แล้วนั่งรถตู้กลับสุพรรณ แล้วจะต้องกลับมาเรียนในวันจันทร์เช้า ซึ่งวันจันทร์เราต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 แม่ก็จะทำกับข้าวมาไว้ให้กิน แล้วต้องหอบกลับข้าวกลับมาจากสุพรรณด้วย เพื่อเป็นมื้อต่อไปเย็นวันจันทร์ ก็เป็นแบบนี้ยัน ม.6"
รู้สึกอายมั้ยที่ตนเองเป็นเด็กวัด?
"ตอนแรกเราก็กลัวว่าจะโดนเพื่อนๆ ดูถูกหาว่าเราเป็นเด็กวัด แต่พอเอาเข้าจริงๆ ไม่มีใครดูถูกเลย ด้วยความที่เราได้เพื่อนดี เราอยู่ในห้องที่ดี เพราะเราเรียนได้ 3.9 มาตลอดก็เลยได้อยู่ห้องคิง จะมีแต่เพื่อนๆ ชื่นชมเรา อยากจะดูแลตัวเองเหมือนเรา ช่วงชีวิตวัยรุ่นผมค่อนข้างจะอยู่ในกรอบตลอด ผมทำอะไรจะคิดถึงพ่อแม่เสมอ"
"เวลาจะไปเที่ยวกลางคืนดึกๆ กับเพื่อนๆก็จะคิดก่อนว่าพ่อแม่จะห่วงเราไหม ที่เขาส่งเรามาเรียน เรามาอยู่คนเดียวเขาคงจะเป็นห่วง ก็จะไม่ทำอะไรที่มันเสี่ยง ก็จะไม่ทำ แต่ส่วนใหญ่เพื่อนๆ กันจะชวนกันเรียนมากกว่าเที่ยว เรื่องสูบบุหรี่พอเขาชวนเรา เรารู้สึกว่ามันไม่ดี เราก็จะไม่ไปลอง คือเราไม่อยากให้พ่อแม่เราเสียใจ อยากให้เขาภูมิใจที่เราดูแลตัวเองได้"
มาอยู่กรุงเทพไม่เอาแล้วลูกทุ่ง "บอดี้สแลมป์" ดีกว่า
"(หัวเราะ) อย่างเรื่องการร้องเพลง สมัยตอนอยู่สุพรรณพ่อจะสอนร้องเพลงลูกทุ่งตลอด ตอนนั้นเรียกว่ากวาดแทบทุกรางวัลจากสุพรรณ พอมาอยู่กรุงเทพฯ นี่ก็แทบไม่ได้ประกวดอะไรเลย แต่เราได้สังคมเพื่อนใหม่ๆ ที่ไม่มีใครฟังเพลงลูกทุ่ง ตอนนั้นไอดอลของผมคือพี่ตูน บอดี้สแลม เสียงร้องของพี่ตูนก็จะปลูกฝันเรามาแทนเพลงลูกทุ่ง"
ไม่ชอบการประกวดแต่ก็มา "เดอะสตาร์" ถึง 2 ครั้ง
"ส่วนตัวจริงๆ แล้วกันไม่ชอบการประกวดร้องเพลงมาตั้งนานแล้ว เพราะเราไม่ชอบบรรยากาศในการมาคอมเม้นต์ การโดนกดดัน คนเข้าประกวดมาซ้อมร้องเพลงแล้วข่มกันไปมา แต่ว่าแม่บังคับ พอเราไม่ไปประกวดแม่ก็จะบ่นว่าไปประกวดก็ได้เงินล่ะ 4 - 5 หมื่น...ซึ่งพอเรียนจบม. 6 เรารู้สึกว่าเราอยากจะลองประกวดเดอะสตาร์เพราะเราติดตามเวทีนี้มาตลอด ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่มั่นใจในการร้องของเราก็เลยร้องเพลงลูกกรุง ลูกทุ่งในการประกวด ก็เข้ารอบ 12 คนแล้วก็ตกไป ยอมรับเลยว่าเสียใจมาก เพราะเราเป็นคนแอนตี้การที่คนมาประกวดแล้วกลับมาประกวดใหม่ ในเมื่อเขาไม่เอาคุณแล้วคุณจะมาอีกทำไม"
เปลี่ยนชื่อแล้วดวงเฮง
"คือก่อนเข้าประกวดเดอะสตาร์ชื่อ ชนินทร์ อินใจเอื้อ จริงๆ แล้วจะเปลี่ยนชื่อเล่น เพราะเขาบอกว่าว่าชื่อเล่นกันไม่ดี เหมือนกันๆ ท่า กั๊กๆ อะไรไว้ แต่เราก็เรียกชื่อนี้กันมาติดปากแล้ว ตอนนั้นอาพาไปแนะนำให้รู้จักกับพี่เอ (ศุภชัย ศรีวิจิตร) เพราะคุณอาของกันเป็นเพื่อนสนิทกับพี่เอ"
"พอหลังจากตกรอบเดอะสตาร์ 5 พี่เอก็ส่งผมไปเรียนการแสดง ก็มีโอกาสได้เรียนการแสดงพร้อมพวกหมาก ณเดชน์ คือพี่เอจะให้กันไปออดิชั่นเป็นพระเอก แกเลยเอาชื่อกันไปให้หลวงพี่อุเทนดูให้ แกเลยเปลี่ยนชื่อเป็น กัน นภัทร อินใจเอื้อ นภัทร แปลว่าผู้เจริญ ผู้ดีงาม ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ชอบเป็นพระเอก เราอยากจะร้องเพลงจริงๆ แกก็เลยส่งผมไปเรียนร้องเพลง ซึ่งเป็นการเรียนครั้งแรกของกัน"
"ตอนนั้นก็ตั้งใจว่าจะไม่ประกวดแล้ว ก็ได้ฝึกร้องเพลงทุกอย่าง เพลงบลูส์ แจ๊ส จนครูขอร้องให้กันไปประกวดเดอะสตาร์ 6 ได้ไหม ครูพูดว่ากันเป็นที่ 1 ได้ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้สึกเชื่อ เพราะเราเพิ่งตกรอบมา ก็ย้อนกลับครูไปว่าผมเพิ่งตกรอบมาจะเป็นที่ 1 ได้ยังไง ครูก็บอกว่าเชื่อครูสิ ครูเห็นอะไรบางอย่าง แกก็เตรียมงานให้ทุกอย่าง จะใช้เพลงไหนร้อง เลือกเพลงยังไง จนสุดท้ายเรารู้สึกดีใจมากที่เราตัดสินใจกลับมาเลือกโอกาสนั้นอีกครั้งนึง"
ชีวิตเปลี่ยนอีกครั้ง
"ตอนที่ได้เดอะสตาร์เป็นอีกครั้งนึงที่ชีวิตเราเปลี่ยน แต่ก่อนเราก็ใช้ชีวิตทั่วไป เช้าไปเรียนหนังสือเย็นก็กลับมาอยู่วัด ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง ซึ่งตอนเข้าประกวดเดอะสตาร์มีเรื่องที่แย่ๆ คือเราคิดถึงบ้าน เพราะตลอด 3เดือนเราไม่สามารถติดต่อครอบครัวเราได้เลย ก็คอยถามพี่ๆ เขาตลอดว่าพอประกวดเสร็จจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ พอประกวดได้ตำแหน่งก็ตารางคิวแน่นตลอด เราก็จะนอยด์ๆ ว่าทำไมงานหนักจังเลย เราไม่ได้คาดคิดว่าเราจะมาทำหน้าที่อะไรขนาดนี้"
"เราแค่คิดว่าเราได้รางวัลแล้วจะมีเพลงเป็นของตัวเองแค่นั้นเลยจริงๆ ไม่คิดว่ากระแสเราจะขนาดนี้ ไม่คิดว่าคนจะมาต้อนรับเรา ไปโชว์ตัวห้างแทบแตก มีปัญหาก็หลายที่ ก็ดีใจที่มีคนรักเรามากขึ้น แต่ทุกอย่างมันก็มีภาระหน้าที่ความรับผิดชอบตามมาด้วย ทุกวันต้องทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน ยอมรับว่าตอนแรกปรับตัวไม่ได้เลย เพราะไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน ไม่มีใครมาจับต้องติดตามเราทุกฝีก้าว เหมือนเรากระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย ทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเองในช่วงแรกๆ"
ไม่เคยคิดว่าจะกลายเป็นนักแสดง
"ตอนนั้นผู้ใหญ่ก็ยื่นโอกาสมาให้หลายอย่าง ผมก็รับไว้หมด ซึ่งผมเองไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าผมจะได้มาเล่นละคร ซึ่งมันรวดเร็วมาก เพราะเพิ่งจะมีซิงเกิ้ลไปไม่กี่เดือน ตอนนั้นยอมรับว่าดีใจมาก โทรไปบอกพ่อแม่ แต่เราก็กังวลเพราะเราไม่เคยมีทักษะด้านนี้มาก่อน ผู้ใหญ่ก็ส่งไปเรียนการแสดงกับหม่อมน้อย ตอนแรกก็ไม่ชินเลยครับ เป็นศาสตร์ที่เราไม่เข้าใจ ครั้งแรกที่เทคเป็น 10 ก็นอยด์มาก ช่วงนั้นก็ดราม่า มีน้ำตาตลอด จะตัดพ้อกับตัวเองว่าทำไมถึงทำไม่ได้ เพราะเราไม่เข้าใจ"
"แต่พอหลังๆ เราเริ่มเข้าใจมากขึ้น พยายามเอาคำสอนของหม่อมมาปรับใช้ พอเรารู้จักเอามาใช้เรามีความสุขกับการเล่นละครมาก เหมือนเราได้หลุดไปเป็นอีกคนนึงที่ไม่ใช่ตัวเราเอง หลังจากนั้นผู้ใหญ่ก็ป้อนโอกาสให้มาเล่นละครเวทีอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่หนักมากในชีวิตของผม ตอนนั้นกดดันมาก เพราะโดนบ่นโดนว่าตลอด เราก็ค่อยๆ พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ จนเราสามารถทำได้"
ยึดถือหลักในการทำงานอย่างไร?
"กันจะถือคติอย่างนึงว่าทุกครั้งที่จะทำอะไร ก็จะถือว่ามันเป็นสิ่งสุดท้ายแล้วเราจะได้ทำ เราไม่รู้เลยว่าเราจะมีโอกาสได้เล่นละครเรือนแพอีกรึเปล่า เราจะได้เล่นละครเวทีสี่แผ่นดินอีกรึเปล่า ก็เลยตั้งใจทำมันให้ดีที่สุดเพื่อจะได้ไม่เสียใจภายหลัง..."
เคยมีปัญหาเรื่องแฟนคลับบ้างมั้ย?
"แฟนคลับกันส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นมีอายุนิดนึง เลยโดนเรียกว่าแม่ยก ด้วยเพราะเราอาจจะร้องเพลงลูกทุ่งได้เลยแหละ แล้วพวกเขาจะหวงกันมาก แต่ผมก็เข้าใจเขานะครับ เขามาคอยตามอย่างผมเลิกงานเที่ยงคืน เขาก็ยังอยู่รอ ไปทำงานที่ห้างเขาก็มาเฝ้าตั้งแต่ห้างยังไม่เปิด ซึ่งเรารู้ว่าเขารักเรา แล้วพอวันนึงคนที่เขารักมีข่าวก็ย่อมเป็นธรรมดา แต่ผมก็ยอมรับนะว่าช่วงแรกไม่เข้าใจเลย ทำไมต้องมางอนานอยด์กับข่าวแค่นนี้ด้วย แต่ พอเวลาผ่านไปเราก็เข้าใจว่าเป็นเพราะเขารักเรามาก เขาเป็นหวงไม่อยากให้เรามีแฟนตอนนี้"
"อยากให้เราทำงานอยู่ในวงการนี้ไปนานๆ อยากให้รักเขาเยอะๆไปก่อน กลัวว่าเราจะแบ่งความรักไปให้คนอื่น...คือแฟนคลับเองก็มีหลายกลุ่มทั้งที่เข้าและไม่เข้าใจ คนที่รักเราที่ผลงานของเราเข้าก็จะเข้าใจ ส่วนกลุ่มใหญ่ที่รักเราทั้งผลงานและทั้งตัวเราก็จะเป็นอีกอารมณ์นึงที่ค่อนข้างหัวรุนแรง อย่างข่าวกับฉัตร (ปริยฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร) ก็ขึ้นสเตตัสต่อว่าทั้งเราและผู้หญิง เราจะไม่ค่อยชอบเลย ช่วงแรกๆ ถึงขั้นต้องสังคายนานัดกันมาเคลียร์เลย ก็ชี้แจงกับเขา..."
แล้วคนนี้ใช่ไหม?
"...อย่างฉัตรเองคนก็จะมองว่าเราเปิดตัวมากขึ้นหลังจากมีภาพคู่กันวันรับปริญญา อันนั้นผมลงเองเลยเพราะเราบริสุทธิ์ใจที่อยากจะแสดงความยินดีกับเขาจริงๆ ซึ่งเราไม่เคยมีภาพคู่กันมาก่อน แล้วก็ถ่ายรูปคู่กับครอบครัวเขา น้องชายเขา ผมยอมรับเลยนะครับว่าผมชื่นชมฉัตรมาก ก็บอกพ่อแม่เขาด้วยว่าเราชื่นชมเขาที่เขาสามารถทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย โดยที่จบตามเกณฑ์ 4 ปี เขาเก่งมาก ตอนนั้นเราถ่ายเสร็จก็ตัดสินใจลงเลย"
"ตอนนั้นก็เตรียมใจรับกระแสวิจารณ์ไว้แล้วแหละว่าต้องโดนแน่ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นภาพที่คนกดไลท์เยอะมากที่สุดตั้งแต่เปิดอินสตาแกรมมา เราได้อ่านคอมเม้นต์ต่างๆ ทุกข้อความ ก็แฮปปี้ที่เขาชื่นชมเราว่าเราวางตัวดี เราอยู่ในกรอบของผู้ใหญ่ คือต้องบอกเลยว่าที่ผ่านมาแม่ผมนี่จะคอยพูดคอยสอนตลอดว่าให้เรียนให้ทำงานไปก่อน เพราะแม่นี่จะเป็นอะไรที่หวงลูกชายมากๆ ตอนมีข่าวแม่ก็มาพูดดักไว้เลยว่าไม่ต้องเลยนะ เรียนให้จบก่อน แม่ไม่ปลื้มนะ แต่กับตัวฉัตรนี่แม่ไม่ได้ว่าอะไร เขาก็เคยเจอกัน"
บอกทุกวันนี้มาไกลเกินฝันแล้ว ส่วนอนาคตอยากจะมีธุรกิจเป็นของตนเองควบคู่กับการเป็นนักร้อง
"ก็อยากจะใช้ชีวิตในวงการนี้ให้นานที่สุด ที่ผ่านมาจะได้ยินมาตลอดว่าวงการนี้ฉาบฉวย เข้าง่ายแต่อยู่ยาวอยู่ยาก ซึ่งพอผมได้มาสัมผัสแล้วผมรู้เลยว่าเป็นคำพูดที่ถูกต้อง การมาอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเป็นคนที่มีวินัยสูง ต้องขยัน ต้องอดทน ต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลาเพื่อให้แฟนๆ ได้เห็นผลงานใหม่ๆ ของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมพยายามทำอยู่ทุกวัน อนาคตของกันคือความมั่นคง วันนึงกันอยากมีธุรกิจแล้วก็มีอาชีพร้องเพลง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เรารักและเป็นสิ่งที่เราใฝ่ฝันทั้งสองอย่าง"