คุณชอบหนังของหม่ำ จ๊กมก เรื่องไหน มากที่สุด?
สำหรับคนที่ติดตามผลงานในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ของหม่ำ จ๊กมก ย่อมทราบกันดีว่า ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ผู้กำกับเจ้าของฉายา “ตลกเงิน (หลาย) ล้าน” คนนี้ ได้สร้างผลงานออกสู่สายตาคนดูมาแล้วนับสิบเรื่อง นั่นยังไม่นับรวมการนั่งตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างให้กับหนังอีกหลายเรื่อง รวมๆ แล้ว หม่ำ จ๊กมก ปลูกผลิตผลให้กับวงการภาพยนตร์มากกว่าผลงานของผู้กำกับหลายคน มัดรวมกันด้วยซ้ำ
คงไม่ต้องบอกนะครับว่า เอกลักษณ์ในหนังของหม่ำ จ๊กมก คืออะไร แต่สิ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจมากกว่าก็คือว่า ท่ามกลางการล้มหายตายจากของ “ตลกทำหนัง” คนแล้วคนเล่า ที่อาจจะบูมในช่วงหนึ่งก่อนจะซาลงไป แต่หม่ำ จ๊กมก ยังคงกระชับพื้นที่ในการทำหนังของตัวเองไว้ได้ ถึงแม้หนังบางเรื่องของเขา จะไม่ค่อยเข้าเป้าเท่าไรนัก แต่หากคำนวณตัวเลขผลประกอบการกันจริงๆ น้อยมากที่จะเรียกได้ว่า “ขาดทุน”
ส่วนหนึ่งนั้น คงเป็นเรื่องของ “ฐานแฟนคลับ” ซึ่งตลกคนนี้ค่อยๆ เก็บแต้มสะสมมาเนิ่นนาน การมีฐานที่มั่นของตัวเองทางฟรีทีวีคือเสาหลักชั้นดีที่ช่วยค้ำยันให้เขายังอยู่ในกระแสสม่ำเสมอ และชัดเจนในตัวเองมาก อย่างคุณโน้ต เชิญยิ้ม อาจจะมีตำแหน่งในรายการตีสิบ แต่ก็ไม่ใช่ขายตัวตนความตลกเป็นหลัก แต่สำหรับ “ชิงร้อย ชิงล้าน” ที่หม่ำ จ๊กมก สังกัดอยู่ มันคือภาพจำที่ตอกย้ำความเป็นดาวตลกของหม่ำ จ๊กมก ให้แจ่มชัดอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ยุคที่เขาเป็นเพียงไม้ประดับช่อเล็กๆ ของรายการ “ชิงร้อย ชิงล้าน” เมื่อเกือบ 20 กว่าปีก่อน จนกระทั่งกลายเป็นเสาหลักให้กับรายการและเวิร์คพอยท์ ถ้าจะมองว่ามันเป็นก้าวย่างที่ยิ่งใหญ่ก็คงจะได้ เป็นก้าวย่างของคนตัวเล็กตัวน้อยที่เริ่มต้นเดินต้อยๆ บนถนนสายนี้ด้วยการเป็นเด็กคอนวอยขนของในวงนักร้องลูกทุ่ง จนปีนก้าวขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์ดาราตลกของเมืองไทย แถมยังมีสตูดิโอสร้างหนัง “บั้งไฟฟิล์ม” เป็นของตัวเองอีกด้วย รางวัลที่เขาเคยได้รับ อย่าง “บุคคลที่น่ายกย่องที่สุดแห่งปี 2553 ด้านการสู้ชีวิตจนประสบความสำเร็จ” ก็ไม่น่าจะเกินเลยนักสำหรับชีวิตที่ค่อยถักค่อยทอเรื่อยมาซึ่งต้องใช้เวลากว่าครึ่งชีวิต
ระยะเวลามากกว่า 20 ปีบนเส้นทางสายนี้ ทำให้หม่ำ จ๊กมก มีแม่ยกพ่อยก ทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเยาว์ซึ่งพร้อมจะ “รับ” ทุกอย่างที่เขาเป็น เช่นเดียวกับภาพยนตร์ของเขา ผมเชื่อว่า ต่อให้ไม่ได้ตีตั๋วไปเข้าชมในโรงหนัง แฟนคลับตัวจริง ก็ยังต้องหามาดูในรูปแบบหนังแผ่น และสิ่งที่ผมคิดว่าน่าดีใจแทนสำหรับตลกคนนี้ก็คือ ถึงแม้ช่วงหลังๆ หนังของเขาจะมีกระแสตอบรับที่ลดลงไปบ้าง แต่กับหนังเรื่องล่าสุด อย่างแหยม ยโสธร ภาคสาม ปรากฏว่า ในรอบที่ผมไปดู คนเกือบจะเต็มโรง ซึ่งตั้งแต่ต้นปีมานี้ นอกจาก “พี่มาก..พระโขนง” แล้ว หนังไทยเรื่องนี้แหละครับที่ผมไปดูแล้วไม่รู้สึกเงียบเหงา มองซ้ายขวาหน้าหลัง เห็นแต่เก้าอี้ที่ว่างเปล่า ราวป่าช้าผีสิง
ทั้งกำกับ-เขียนบท และอำนวยการสร้าง หม่ำ จ๊กมก ทำหนังมาแล้วกว่าสิบเรื่อง ความตลกเฮฮาคือ “สาระ” โดยภาพรวมในผลงานของเขา ซึ่งอันที่จริง มันก็คือตัวตนรากเหง้าของเขาเอง หม่ำเติบโตมาจากการเป็นตลก ถ้าจะไม่ให้ทำหนังตลก ก็ดูจะเป็นเรื่องตลกจนเกินไป มันอาจจะฮาไม่ฮาบ้าง แต่วิถีทางของเขาคือตลก ซึ่งไปมัดรวมกับแอ็กชั่นบ้าง อย่าง “บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม” โดยเฉพาะภาคที่หนึ่งซึ่งถือเป็นงานชิ้นโบว์แดงหนึ่งชิ้นของหม่ำ จ๊กมก แต่รวมๆ แล้ว หนังของเขาจะออกแนวตลก แล้วแต่จะหยิบยกเรื่องไหนมาทำให้มันตลก
หม่ำ จ๊กมก เคยยั่วล้อสังคมผู้ดีตีนแดง ใน “วงษ์คำเหลา” เคยหยิบเอาความทุลักทุเลของคนทำหนังมาอำ ในเรื่อง “โป๊ะแตก” หรือแม้กระทั่งสอดแทรกประเด็นความรักและครอบครัวไว้ในหนัง “หม่ำ เดียว หัวเหลี่ยมหัวแหลม” อย่างไรก็ตาม ถ้าจะสะกดรอยตามถึงที่มาที่ไปของดาราตลกคนนี้จริงๆ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า แหยม ยโสธร คืองานที่สะท้อนความเป็นหม่ำ จ๊กมก ได้ดีที่สุด ทั้งในแง่ความถนัด (การเป็นนักแสดงตลก) และพื้นเพรากเหง้า
เว้ากันแบบซื่อๆ “แหยม ยโสธร” นั้น จะว่าไป ก็คงคล้ายๆ “จดหมายรักถึงบ้านเกิด” ที่ดาราตลกสายเลือดอีสานผู้นี้ใช้ส่งถึงบ้านเคยอยู่อู่เคยนอน ซึ่งก็คือจังหวัดยโสธร ที่เขาเกิดและโตมา (เมื่อก่อน เป็นอำเภอยโสธร จ.อุบลราชธานี) วิถีวัฒนธรรมท้องถิ่นและกลิ่นอายความหลัง ถูกบอกเล่าอย่างงดงามน่าประทับใจใน “จดหมายรักฉบับที่หนึ่ง” แหยม ยโสธร ภาคแรก ซึ่งผมเชื่อว่า เป็นหนังที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของหลายคน
รูปลักษณ์เบื้องต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ นอกไปจากถ้อยคำภาษาที่ใช้ภาษาอีสานคุยกันทั้งเรื่อง ก็คือ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายไปจนถึงงานฉากโปรดักชั่นที่จงใจใช้สีสันแสนสดและฉูดฉาดบาดตา องค์ประกอบนี้นำพาให้หนังดูมีความ “เหนือจริง” (เซอร์เรียล) อยู่กลายๆ ดุจเดียวกับฉากหลายฉากที่ให้ตัวละครออกมาร้องรำทำเพลง อันเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งซึ่งหนังเซอร์เรียลทั้งหลายชอบใช้กัน ดังนั้น คำว่า “อีสานเซอร์เรียล” คงไม่ใหญ่โตจนเกินไปนัก หากจะใช้นิยามความเป็นแหยม ยโสธร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แหยม ยโสธร ภาคที่หนึ่งนั้น ถือได้ว่า หม่ำ จ๊กมก สร้างออกมาได้ดีเกินความคาดหมาย แม้งานก่อนหน้านี้ของเขา อย่าง “บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม” (ภาค 1) จะบอกกล่าวให้เราเห็นมาบ้างแล้วถึงฝีไม้ลายมือในการทำหนังของเขา แต่จุดพีคของหม่ำ น่าจะแตะเส้นกราฟสูงสุดที่งานเรื่อง “แหยม ยโสธร” ภาคหนึ่ง ความตลกแบบมีชีวิตชีวา หรือแม้กระทั่งบทเพลงประกอบ อย่าง “กลับมาทำไม” ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างถึงที่สุดกับการหยิบเพลงเก่ามาคัฟเวอร์ และเป็นอีกหนึ่งเวอร์ชั่นที่ทำให้คนร้องตาม กล่าวได้ว่าความฮิตของเพลง กินพื้นที่ตั้งแต่หลังคาบ้านของคนเมือง ไปจนถึงชายคามุงกระท่อมของลุงป้าน้าอาที่ทำไร่ไถนาอยู่กลางทุ่ง
อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับตัวเองที่พูดได้เต็มปากว่ารักและชอบ “แหยม ยโสธร” ภาคแรก ไม่น้อยไปกว่าทุกๆ คน ผมรู้สึกว่า “จดหมายรัก” ฉบับต่อมา ทั้งสองและสาม ของหม่ำ จ๊กมก มีความเปลี่ยนแปลงพอสมควรในเชิงของคุณภาพ มันเหมือนกับคนที่เขียนจดหมายด้วยลายมือ ช่วงแรกของจดหมาย ดูคนเขียนจะเคร่งครัดกับการ “คัดลายมือ” ให้ดูพลิ้วและสวยงาม อย่างมองเห็นความพยายามและตั้งอกตั้งใจ หากแต่เมื่อเขียนไปสักพัก อาจจะเป็นเพราะเลิกเกร็งหรืออะไรก็ตามที แต่มันก็ส่งผลให้ลายมือช่วงท้าย เซส่ายไปมา ไม่สม่ำเสมอ ตัวหนังสือโย้ไปข้างหน้าหน้าที โย้ไปข้างหลังที แม้จะยังมี “ลายเซ็น” เดิม ครบถ้วนกระบวนความ เรียกว่าหนังขนมาครบหมดในบรรยากาศความเป็นแหยม ยโสธร ฉากโลเกชั่นที่เป็นบ้านนอกคอกนา สีสันเสื้อผ้าฉูดฉาด ไปจนถึงมิวสิกสกอร์และเพลงประกอบที่ฟังแล้วม่วนซื่นแบบอีสานบ้านเฮา เพียงแต่รู้สึกว่าเสน่ห์บางอย่างมันหายไป เหมือนความอ่อนหวานและพลิ้วไหวในจดหมายรักมันลดลง
ในส่วนของมุกตลก รู้สึกว่าคุณหม่ำ จ๊กมก ก็ดูจะคลี่คลายไม่ซีเรียสว่าต้องละเมียดอะไรนัก และออกสไตล์ใต้สะดืออย่างจัดเต็ม ไม่เว้นแม้กระทั่งเพลงประกอบที่มีทั้งเนื้อหาสองแง่สองง่ามและว่าด้วยเรื่องเพศกันแบบโต้งๆ (เช่น เพลงที่คู่รักเพศเดียวกัน เปิดฟังบนแคร่ไม้หน้าบ้าน) อย่างไรก็ดี พูดกันอย่างให้ความเป็นธรรมกับหม่ำ จ๊กมก มุกตลกต่างๆ ในหนัง บางมุกอาจจะดู “อุกอาจ” และ “ช่างกล้าดีแท้” พอสมควร จนหลายคนอาจคิดว่ามันเป็น “ไวรัสหัวใจ” แต่พูดตามจริง นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นไม่ได้ในตัวของหม่ำ จ๊กมก มาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะแฟนคลับที่นับญาติกับรายการชิงร้อยชิงล้าน มุกตลกลักษณะนี้ก็เป็นสิ่งที่เคยเห็นเคยฮากันมาแล้วทั้งนั้น ดังนั้น ผมว่า อย่างไรเสีย แฟนๆ ของหม่ำก็คงขำตามไปด้วย
หนังตลกมันก็แบบนี้แหละครับ ทำทุกวิถีทางด้วยคิดว่ามันจะเสกสร้างอารมณ์ขันได้ และสไตล์ที่เราเห็นในงานของหม่ำ จ๊กมก ส่วนมาก ก็ไม่ได้เน้นว่าต้องเล่าเรื่องต่อเนื่องรื่นไหลอะไรนัก หากแต่เซ็ตฉากและสถานการณ์ขึ้นมาแบบบางๆ พอที่จะสร้างเป็น “จุดเกิดเหตุ” ของมุกตลกแต่ละมุก ตัวละครจะลุกจากตรงนั้นไปตรงนี้โดยที่เนื้อเรื่องอาจไม่ลุกตามไปด้วย แต่นั่นก็คงไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไร เพราะสิ่งที่หนังประกาศขาย คือความตลก
คุณชอบหนังของหม่ำ จ๊กมก เรื่องไหน มากที่สุด?
ถ้ามีใครถามคำถามนี้ คำตอบของผมก็ยังคงเหมือนเดิมครับ ผมชอบ “บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม” ภาคหนึ่ง กับ “แหยม ยโสธร 1” มากที่สุด แล้วคุณล่ะชอบเรื่องไหน?
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |