xs
xsm
sm
md
lg

ศึกชิงพรีเซ็นเตอร์ระอุ ผู้บริโภคได้อะไร?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ณ ชั่วโมงนี้ต้องยกให้เขาจริงๆ สำหรับพระเอกดาวรุ่งดวงใหม่ของวงการบันเทิงบ้านเรา "เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข" หรือคุณชายหมอ "พุฒิพัฒน์" จากละครชุดเรื่อง "สุภาพบุรุษ จุฑาเทพ"

ด้วยความแรงแบบยั้งไม่อยู่ของเขานั่นเองที่ทำให้มีข่าวว่าบรรดาสินค้าทั้งหลายต่างวิ่งรุมเข้าหาหวังจะคว้าพระเอกหนุ่มคนนี้มารับหน้าที่พรีเซ็นเตอร์ให้ โดยที่เห็นผ่านหน้าจอไปแล้วก็คือโฆษณาของ "วุฒิศักดิ์คลีนิค" ที่แว่วมาว่าเจ้าตัวรับเงินจากโฆษณาชิ้นนี้ไปเบาๆ ด้วยตัวเลข 8 หลักเลยทีเดียว

และล่าสุดก็เป็นทางด้านของค่ายมือถือยักษ์ใหญ่อย่าง AIS ที่คว้าตัวหนุ่มเจมส์มารับหน้าที่พรีเซ็นเตอร์ AIS 3G 2100 พร้อมกับมีการเปิดตัวกันไปเป็นที่เรียบร้อยด้วยสนนค่าตัวที่แม้จะไม่มีการเปิดเผยแต่ว่ากันว่าดีลครั้งนี้มีมูลค่าสูงถึง 15 ล้านบาท

โดยเกี่ยวกับเรื่องนี้ทางผู้จัดการส่วนตัวของพระเอกหนุ่ม "ปิ๊ก ชาญฉลาด" ก็ได้ออกมาชี้แจงว่าเผยว่าเหตุที่ค่าตัวของหนุ่มเจมส์สูงขนาดนั้นเพราะแคมเปญที่ว่าเป็นแคมเปญใหญ่ มีโฆษณาที่แบ่งเป็นหลายพาร์ท และรวมไปถึงกิจกรรมอีกหลายกรรม ซึ่งหากคิดออกมาเป็นงานแต่ละชิ้นแล้วก็ถือว่าเป็นเรตราคาค่าจ้างตามปกติไม่ได้แพงเวอร์แต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่าเหตุที่ค่าตัวของหนุ่มเจมส์ถีบสูงขึ้นไปขนาดนั้นก็เป็นเพราะทางเอไอเอสเองต้องแข่งกับค่ายมือถืออีกสองค่ายอย่าง "ทรู" และ "ไอโมบาย" ที่ก่อนหน้านี้ได้ยื่นข้อเสนออยากได้พระเอกหนุ่มมารับหน้าที่พรีเซ็นเตอร์ด้วยสนนราคาค่าตัวที่ 7 ล้านบาทนั่นเอง

ไม่เพียงแค่ 15 ล้านบาทที่หนุ่มเจมส์ได้จากเอไอเอสเท่านั้น ถึงตอนนี้ยังมีข่าวออกมาด้วยว่าทางบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง "Toyota" เองก็เตรียมเงินไว้แล้วกว่า 14 ล้านบาทในการที่จะคว้าเอาพระเอกสุดฮอตคนนี้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ วีออส อีโก้ คาร์ ที่กำลังจะมีการเปิดตัวในเร็วๆ นี้อีกด้วย

ที่ผ่านมาต้องบอกว่ามีคนบันเทิงในบ้านเราอยู่จำนวนที่ไม่น้อยแต่ก็ไม่มากสักเท่าไหร่ที่จะมีข่าวลือเกี่ยวกับราคาค่าตัวในการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาต่อหนึ่งชิ้นที่สูงเกิน 10 ล้านบาทเช่นนี้

หนึ่งในนั้นก็คือดาวค้างฟ้า "เบิร์ด ธงไชย" กับโฆษณาสีเบเยอร์ที่แม้จะไม่มีการยืนยันว่าเจ้าตัวได้ 30 ล้านบาทจริงตามเสียงเล่าลือหรือไม่ แต่จากการให้สัมภาษณ์ของ "ประเสิรฐ ชัยยศบูรณะ" ประธานบริหารฯ ที่บอกว่าราคาค่าจ้างพี่เบิร์ดถ้าต่ำกว่า 10 ล้านบาทคงจ้างไม่ได้หรอกเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าซูเปอร์สตาร์คนนี้รับค่าตัวไปไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแน่นอน

ในรายของตลกคนดังเจ้าของตำนานโชว์เดี่ยวไมโครโฟนของบ้านเรา "โน้ส อุดม" ซึ่งช่วงหลังรับเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าหลายชิ้น แต่ที่ฮือฮาที่สุดก็เห็นจะเป็นในส่วนของสียี่ห้อ TOA ที่ว่ากันว่าได้ค่าตัวไปถึง 20 ล้านบาท รวมถึงเครื่องดื่ม Scotch Eazy อีกกว่า 10 ล้าน ขณะที่เจ้าตัวได้ออกมาปฎิเสธโดยบอกว่า..."ค่าตัวก็มาตรฐานโฆษณาของไทย เหมือนคนอื่น ๆ ไม่ได้มากมายอะไร ไม่ถึงสิบล้าน อันนั้นก็เวอร์"

เช่นเดียวกับเจ้าพ่อพรีเซ็นเตอร์ "ณเดชน์ คูกิมิยะ" ที่ออกมาปฏิเสธถึงข่าวที่ว่าผู้จัดการส่วนตัว "เอ ศุภชัย" ได้ขึ้นราคาค่าตัวในการรับเป็นพรีเซ็นเตอร์ของตนเองต่อชิ้นที่ 10 ล้านบาทว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่การรับงานแบบเป็น "แพคเกจ" ให้กับทางเจ้าของผลิตภัณฑ์ยักษ์ใหญ่อย่าง "ยูนิลีเวอร์" นั้นเชื่อว่าจะต้องเกิน 10 ล้านบาทอย่างแน่นอน

ขณะที่ในส่วนของดาราชื่อดังคนอื่นๆ ที่รับงานโฆษณาสนนค่าตัวตัวเลข 7 หลักขึ้นไปก็มีหลายต่อหลายคนด้วยกันไม่ว่าจะเป็นในส่วนของนางเอกดัง "อั้ม พัชราภา" ที่ว่ากันว่าอยู่ที่ราวๆ 8-9 ล้านบาท นอกจากนั้นก็ไล่ๆ ลงไปก็มีทั้ง บี้ สุกฤษณ์, อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม, เคน ธีรเดช, ตูน บอดี้ สแลม, ชมพู่ อารยา, พลอย เฌอมาลย์, ญาญ่า ฯ

จากการทุ่มเงินเพื่อดึงเหล่าคนดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าตนเองของเจ้าของผลิตภัณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือแล้วในมุมของผู้บริโภคล่ะได้ประโยชน์อะไรกับเรื่องเหล่านี้? หรือนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้วยังอาจจะต้องเสียเงินจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้อสินค้าต่างๆ ในราคาที่แพงขึ้นไปอีกต่างหาก?

"ถามว่าอย่างเอไอเสที่แย่งทรูเอาเจมส์จิมาเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้วค่าบริการของเอไอเอสจะแพงขึ้นมั้ย มันคงไม่หรอกครับ คงไม่เกี่ยวกัน หรืออย่างแข่งกันเอาบัวขาวมาโฆษณามาม่า ยำยำดึงณเดชน์ไป แล้วตลาดบะหมี่สำเร็จรูปจะขึ้นราคาหรือก็ไม่ใช่หรอกครับ เป็นไปไม่ได้"..."ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย" ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด, นักพูด-พิธีกรชื่อดัง แสดงความดิดเห็นเป็นคำตอบ

"เจ้าของสินค้าแข่งกันทุ่มเงินจ้างพรีเซ็นเตอร์แพงๆ สินค้าจะแพงขึ้นมั้ย เอาง่ายๆ อย่างณเดชน์ รับโฆษณาแพงๆ ปีนึงเขามีโฆษณา 40-50 ตัวไม่เห็นมีข้าวของชิ้นไหนมันขึ้นราคาเลย คือสินค้าจะแพงไม่แพงจะขึ้นไม่ขึ้นปัจจัยหลักๆ ก็คืออยู่ที่คู่แข่งขัน แล้วสองก็เป็นเรื่องของต้นทุนทางวัตถุดิบ ตรงนี้คือปัจจัยสำคัญ เพราะฉะนั้นใครเขาจะแข่งแย่งเอาใครมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ก็ไม่ต้องไปกังวลครับ"

ใช้คนดังเป็นที่จับตามองกว่า?..."เวลาจะวางแผนการใช้งบเพื่อการโฆษณาการตลาดนั้นเขาวางกันไว้แล้ว อย่างเอไอเอสกำไรเขาเยอะ ปีนึงเขามีงบตรงนี้ 4-5 หรือว่า 5-6 ร้อยล้านบาทต่อปีอยู่แล้ว ถ้าไปใช้พรีเซ็นเตอร์แบบว่าคนธรรมดาที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรมันก็งั้นๆ แต่ถ้าใช้คนที่มีชื่อเสียงคนดูก็สะดุด จดจำยี่ห้อได้มากขึ้น"

"คือต้องยอมรับครับว่าสังคมไทยเราเป็นสังคมบ้าดารา ชอบดารา เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้เลยค่อนข้างจะมีอิทธิพล อยากจะรู้ว่าเขาใช้อะไร ก็อยากจะใช้บ้าง แล้วสังเกตนะว่าจะเป็นดารานักร้องชายซะมากกว่า นั่นก็เพราะว่าสินค้าส่วนใหญ่นั้นตลาดกลุ่มใหญ่อยู่ที่ผู้หญิงเป็นหลัก แล้วเฉลี่ยอายุกลุ่มเป้าหมายก็จะอยู่ที่ราวๆ 15-30 ปี คือจะหาเงินได้เองหรือขอเอาแต่ก็เป็นคนที่มีกำลังซื้อและอยากซื้อ"

พร้อมแนะผู้บริโภคให้รู้เท่าทันเนื่องจากสินค้าหลายต่อหลายอย่างได้มีการโฆษณาที่ทำให้ "ความอยาก" ของคนกลายเป็นความ "จำเป็น" ไปแล้ว..."แต่ก่อนหลักทางการตลาดเนี่ยเราจะสร้างสินค้าที่มันตอบสนองความว้อนท์(Want)ของคนให้ได้มากที่สุด แต่ตอนนี้ก็คือทำว้อนท์ให้กลายเป็นนี้ด(Need)ไปแล้ว ทุกอย่างเป็นความจำเป็นไปหมดเลย เช่น ทำหน้าทำตาแล้วชีวิตดีขึ้น โอกาสดีๆ จะมาหามากขึ้นอะไรทำนองนี้"

"แต่ทุกวันนี้จริงๆ แล้วผู้บริโภคเองค่อนข้างจะมีทางเลือกมากขึ้นนะ มีแหล่งในการหาข้อมูลต่างๆ ที่สะดวกรวดเร็วในการค้นคว้า เพราะฉะนั้นก็คือต้องใช้วิจารณญาณให้ถี่ถ้วน ไม่จำเป็นจะต้องเชื่อที่คนอื่นเขาโฆษณาหรือบอกแนะนำ แต่ทั้งนี้ก็อย่าเชื่อตนเองมากไป อะไรที่ไม่ควรซื้อก็อย่าไปซื้อ ยิ่งช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี ใช้สอยก็ควรประหยัด อย่าไปเห่อตามคนอื่นเขา ยกเว้นท่านมีเงินมหาศาลให้จับจ่ายใช้สอยอยู่แล้วอันนั้นก็ว่ากันไป..."
กำลังโหลดความคิดเห็น