ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวคนในแวดวงบันเทิงที่มีตัวละครผู้ที่เป็น "คุณพ่อ" เข้ามาเกี่ยวข้องจนกลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอยู่ 2 ข่าว
เริ่มต้นที่เรื่องของ "กรีน อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล" ซึ่งแจ้งเกิดมาจากการเป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวดรายการ "ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย ฤดูกาลที่ 5" กับผู้เป็นพ่อ "ลิงค์ ฉัตรฎรัฐ สิริวัฒน์ธนกุล”
คู่นี้เป็นเรื่องขึ้นมาก็เพราะแฟนหนุ่มนักแสดงของสาวกรีน "เคลลี่ ธนพัฒน์" ได้ไปยื่นเรื่องฟ้องร้องผู้เป็นบิดาของเธอโดยให้เหตุผลว่าถูกอีกฝ่ายส่งจดหมาย "ข่มขู่" ติดต่อกันมาเป็นเวลานานร่วมนับปี
อันที่จริงการที่ "ว่าที่พ่อตา" กับ "ว่าที่ลูกเขย" จะผิดใจกันนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
โดยเฉพาะคู่นี้
เนื่องจากที่ผ่านมาก็มีข่าวออกมาอยู่เป็นระยะๆ อยู่แล้วว่าครอบครัวฝ่ายหญิงนั้นดูจะไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่กับการที่ทั้งสองคบหากันด้วยความรู้สึกที่ว่าลูกสาวตนเองนั้นยังเด็ก และยังเรียนหนังสืออยู่ แถมอายุของทั้งสองก็ยังต่างกันถึง 19 ปีเลยทีเดียว
แต่ถึงขนาดมขั้นฟ้องร้องกันนั้นเชื่อว่าหลายคนคงคิดไม่ถึง
เบื้องต้นก็น่าเห็นใจคนที่เหมือนจะอยู่ตรงกลางอย่างสาวกรีนเหมือนกันนะครับ เพราะฝ่ายหนึ่งก็แฟน อีกฝ่ายหนึ่งก็ครอบครัว แถมเหตุผลทั้งสองยังเหมือนกันอีก นั่นก็คืออ้างอิงอยู่บนพื้นฐานของคำว่า "รัก" แต่ด้วยความที่เธอมีท่าทีที่ดูเหมือนว่าจะเอนเอียงไปทางแฟนหนุ่มนั่นเองก็เลยต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปตามระเบียบ
จริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกนั้น คนเป็นพ่อหรือคนเป็นแม่ต่อให้มองว่าลูกโตเป็นควายแล้วก็ตาม (คำเปรียบเปรยของคนโบราณ) แต่ในใจก็เห็นว่าลูกตนเองเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำแหละครับ
เพราะฉะนั้นเรื่องห่วงเรื่องหวงจะมากหรือน้อยนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ในขณะเดียวกันคนที่เป็นพ่อเป็นแม่เองก็ต้องพึงยอมรับด้วยครับว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของเราเองแท้ๆ บางครั้งเราเลี้ยงได้ก็แต่ตัวเท่านั้น
เมื่อเตือนแล้ว เมื่อบอกแล้ว หรืออธิบายด้วยเหตุด้วยผลแล้ว ถ้าไม่ฟัง ถ้าไม่เชื่อ สุดท้ายเราก็อาจจะต้องยินยอมปล่อยให้เขาคิด ปล่อยให้เธอทำไป
เพราะการไปบังคับขู่เข็ญมากๆ บางครั้งก็รังแต่มีแต่จะพังหรือเสียใจกันทั้งสองฝ่าย
หลายชีวิตที่เข้มแข็งนั้นบางครั้งก็ต้องเรียนรู้จากบทเรียนแห่งความเจ็บปวดและความผิดหวังที่ต้องเจอะเจอด้วยตนเองมิใช่หรือ
อาจจะไม่พอใจ แต่บางครั้งก็อาจจำต้องดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ
สำหรับคุณเคลลี่เอง ในฐานะคนนอกที่ไม่อาจจะรู้ได้ว่าเรื่องราวต่างๆ นั้นมีรายละเอียดที่ตื้นลึกหนาบางขนาดไหน แต่อย่างหนึ่งที่พอจะบอกได้ก็คือการเลือกใช้วิธีการฟ้องร้องเป็นการแก้ปัญหานั้น มองมุมไหนก็ไม่น่าจะเป็นทางออกที่สวยงามแต่อย่างใด
คำบอกกล่าวทำนองที่ว่าเห็นใจแฟนสาว ไม่อยากให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผิวเผินก็ดูดีหรอกครับ แต่ทำไมรู้สึกว่าฟังแล้วมันสวนทางกับคำสัมภาษณ์ที่ว่า..."กว่าคนเราสองคนจะมาเจอกัน รู้จักกัน รักกันไม่ใช่เรื่องง่าย อยู่ๆ ดีๆ จะมาให้เลิกคบ ผมว่ายิ่งลำบาก การที่คนสองคนจะเลิกกัน ผมว่ามันเป็นสิทธิ์ของคนสองคนนั้น ไม่อย่างนั้นอาจจะเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้” โดยสิ้นเชิง
พูดแบบนี้บอกได้คำเดียวครับว่าไม่หล่อเอาเสียเลย
แล้วหัวอกของอีกฝ่ายในฐานะพ่อตลอดจนแม่ที่ต้องอุ้มท้องฟูมฟักเลี้ยงดูจนเติบโตเป็นสาวเป็นแส้ให้คุณได้มาบอกคำว่ารักล่ะครับ ไม่คิดถึงบ้างหรือ?
ความรักเป็นสิ่งสวยงาม แต่สุดท้ายหลายรักก็มักจะไม่ลงเอยในแบบที่เราคาดหวังหรอก
เรื่องราวของพ่อกับลูกที่เป็นข่าวขึ้นมาอีกคู่ก็คือในรายของนักแสดงหนุ่ม “ภีม ภาคิน” ที่ออกมาเปิดเผยผ่านรายการทีวีถึงความ(ไม่)สัมพันธ์กับผู้เป็นพ่อ "เจค ศตวรรษ” ซึ่งได้ทิ้งตนและผู้เป็นแม่ “แอน กัญญารัตน์ บ่อสันเที๊ยะ” ซึ่งเป็นอดีตนางแบบชื่อดังไปตั้งแต่ 17 ปีที่แล้ว
ทำให้ตนต้องดูแลแม่ซึ่งป่วยเป็นวัณโรคกระดูกจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ รวมถึงน้อง, ยาย ตลอดจนน้าที่เป็นโรคประสาทอีก 2 คน จนตนต้องดรอปเรียนหนังสือเพื่อมารับภาระดังกล่าว
ทันทีที่เรื่องนี้กลายเป็นข่าวออกมาแน่นอนครับว่าคนที่โดนถล่มเละก็คือนักแสดงชื่อดังรุ่นใหญ่ พร้อมกับเสียงชื่นชมไปยังหนุ่มภีมมากมาย แม้จะมีบางส่วนที่ตั้งข้อสงสัยกันว่าเจ้าตัวเอาเรื่องนี้ออกมาบอกกล่าวทำไมทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ต้องการเรียกร้องให้อีกฝ่ายมาดูแลหรือว่ารับผิดชอบอะไร ซึ่งเจ้าตัวก็ได้มาให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า...
“ถ้าผมอยากดังผมคงออกมาตั้งแต่ตอนที่ผมลำบากแรกๆ แล้วครับ แต่นี้ผ่านมา 4-5 ปีแล้วครับที่แม่ป่วยไม่สบาย ซึ่งผมก็ไม่ได้บอกใคร ซึ่งทางทีมงานเข้าได้ประวัติของผม ทางทีมงานก็เห็นว่ามันน่าสนใจดีก็เลยได้นำไปเสนอในรายการ ผมไม่ได้เรียกกระแสให้ตัวเองดังขึ้นมา ซึ่งบางทีผมไปงาน คนก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ผมคือใคร เพราะถ้าเราบอกไป ถ้าเราทำอะไรที่ไม่ดีอาจจะเสียไปถึงพ่อแม่ได้ ซึ่งเราอยู่เงียบๆ ดีกว่า แต่ส่วนมากเขาก็จะทราบเองมากกว่า”
“คือเป็นอย่างนี้ผมก็มีความสุขดีอยู่กับแม่ แม่เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ของผมครับ ตอนนี้ก็มีงานเยอะขึ้น พอเลี้ยงทุกคนในบ้านได้ แต่ก็ไม่ได้คล่องตัวมาก ผมไม่นอยด์กับเรื่องนี้ครับ 17 ปีที่ผ่านมา ผมมีแม่คนเดียวผมก็อยู่ได้ครับ ไม่รู้สึกว่าขาดพ่อ มีแม่เป็นทั้งพ่อทั้งแม่และก็เพื่อนครับ”
เห็นคำสัมภาษณ์ของหนุ่มภีมแล้วก็นึกถึงเรื่องตัวเอง
เปล่าครับไม่ได้เท่ห์หรือว่ากตัญญูต้องหาเลี้ยงครอบครัวอะไรขนาดนั้น เพียงแต่จะบอกว่าตัวผมเองก็ถูกคนที่ได้ชื่อว่าพ่อทิ้งไปตั้งแต่เด็กครับ ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเป็นปมด้อยอะไรถ้าไม่นับรวมว่าแม่ต้องทำงานหนักมากๆ ในการหาเงินเลี้ยงดูส่งเสียเรียนหนังสือ
ส่วนไอ้เรื่องของความอบอุ่นในครอบครัวนั้น โอ๊ย อุ่นเสียจนร้อนเลยแหละครับ
แม้จะถูกทิ้งไปโดยไม่ได้มาช่วยเหลืออะไรเลย ซ้ำยังไปมีเมียอีกหลายต่อหลายคน(อันนี้มารับรู้ตอนเริ่มโต) แต่ในตอนเด็กๆ แม่ก็มักจะบอกผมตลอดเวลาครับว่าอย่าได้ไปโกรธ เกลียด หรือด่าอีกฝ่ายด้วยคำหยาบคายเพราะอย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังมีบุญคุณที่ให้ชีวิตเรามา
แต่ก็ดูเหมือนแม่ผมเองนั่นแหละครับที่ดูจะแค้นพอสมควร เพราะจำได้ว่าเวลาผู้ใหญ่เขาคุยกันถึงเรื่องนี้ แม่ก็มักจะพูดให้ได้ยินเสมอว่าทำไมจะต้องไปเรียก "มัน" ว่าพ่อ (555)
ว่ากันตรงๆ ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกที่จะไปมีอารมณ์อย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่จำความได้ก็ไม่ได้เจอะเจอ พูดกันแม้แต่สักครั้งเดียว
อ้อ ว่าไปก็มีอยู่ครั้งหนึ่งครับ แต่เป็นเรื่องที่ผมเองก็จำได้เพียงคลับคล้ายคลับคลา ประมาณว่าตอนนั้นกำลังเรียนอยู่ (ไม่แน่ใจว่า ป.1 หรือ ป.2) ก็มีคนมาบอกว่าพ่อมาหา รออยู่ที่หน้าโรงเรียน ให้ไปทักทายหน่อย
พอไปถึง(ไม่รู้ว่าใครพาไป) ก็มีผู้ชายยืนอยู่ประมาณ 2-3 หรือว่า 3-4 คนเนี่ยแหละ ผมก็ตรงไปไหว้เลย แล้วก็จำไม่ได้ว่าหลังจากนั้นได้มีการพูดคุยทักทายอะไรกันหรือไม่
รู้แต่ว่าตอนหลังป้าหรือว่าน้านี่แหละที่มาบอกว่า...ไอ้ไก่ มึงไหว้ผิดคน นั่นใช่พ่อมึงที่ไหน...
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศhttp://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เริ่มต้นที่เรื่องของ "กรีน อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล" ซึ่งแจ้งเกิดมาจากการเป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวดรายการ "ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย ฤดูกาลที่ 5" กับผู้เป็นพ่อ "ลิงค์ ฉัตรฎรัฐ สิริวัฒน์ธนกุล”
คู่นี้เป็นเรื่องขึ้นมาก็เพราะแฟนหนุ่มนักแสดงของสาวกรีน "เคลลี่ ธนพัฒน์" ได้ไปยื่นเรื่องฟ้องร้องผู้เป็นบิดาของเธอโดยให้เหตุผลว่าถูกอีกฝ่ายส่งจดหมาย "ข่มขู่" ติดต่อกันมาเป็นเวลานานร่วมนับปี
อันที่จริงการที่ "ว่าที่พ่อตา" กับ "ว่าที่ลูกเขย" จะผิดใจกันนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
โดยเฉพาะคู่นี้
เนื่องจากที่ผ่านมาก็มีข่าวออกมาอยู่เป็นระยะๆ อยู่แล้วว่าครอบครัวฝ่ายหญิงนั้นดูจะไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่กับการที่ทั้งสองคบหากันด้วยความรู้สึกที่ว่าลูกสาวตนเองนั้นยังเด็ก และยังเรียนหนังสืออยู่ แถมอายุของทั้งสองก็ยังต่างกันถึง 19 ปีเลยทีเดียว
แต่ถึงขนาดมขั้นฟ้องร้องกันนั้นเชื่อว่าหลายคนคงคิดไม่ถึง
เบื้องต้นก็น่าเห็นใจคนที่เหมือนจะอยู่ตรงกลางอย่างสาวกรีนเหมือนกันนะครับ เพราะฝ่ายหนึ่งก็แฟน อีกฝ่ายหนึ่งก็ครอบครัว แถมเหตุผลทั้งสองยังเหมือนกันอีก นั่นก็คืออ้างอิงอยู่บนพื้นฐานของคำว่า "รัก" แต่ด้วยความที่เธอมีท่าทีที่ดูเหมือนว่าจะเอนเอียงไปทางแฟนหนุ่มนั่นเองก็เลยต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปตามระเบียบ
จริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกนั้น คนเป็นพ่อหรือคนเป็นแม่ต่อให้มองว่าลูกโตเป็นควายแล้วก็ตาม (คำเปรียบเปรยของคนโบราณ) แต่ในใจก็เห็นว่าลูกตนเองเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำแหละครับ
เพราะฉะนั้นเรื่องห่วงเรื่องหวงจะมากหรือน้อยนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ในขณะเดียวกันคนที่เป็นพ่อเป็นแม่เองก็ต้องพึงยอมรับด้วยครับว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของเราเองแท้ๆ บางครั้งเราเลี้ยงได้ก็แต่ตัวเท่านั้น
เมื่อเตือนแล้ว เมื่อบอกแล้ว หรืออธิบายด้วยเหตุด้วยผลแล้ว ถ้าไม่ฟัง ถ้าไม่เชื่อ สุดท้ายเราก็อาจจะต้องยินยอมปล่อยให้เขาคิด ปล่อยให้เธอทำไป
เพราะการไปบังคับขู่เข็ญมากๆ บางครั้งก็รังแต่มีแต่จะพังหรือเสียใจกันทั้งสองฝ่าย
หลายชีวิตที่เข้มแข็งนั้นบางครั้งก็ต้องเรียนรู้จากบทเรียนแห่งความเจ็บปวดและความผิดหวังที่ต้องเจอะเจอด้วยตนเองมิใช่หรือ
อาจจะไม่พอใจ แต่บางครั้งก็อาจจำต้องดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ
สำหรับคุณเคลลี่เอง ในฐานะคนนอกที่ไม่อาจจะรู้ได้ว่าเรื่องราวต่างๆ นั้นมีรายละเอียดที่ตื้นลึกหนาบางขนาดไหน แต่อย่างหนึ่งที่พอจะบอกได้ก็คือการเลือกใช้วิธีการฟ้องร้องเป็นการแก้ปัญหานั้น มองมุมไหนก็ไม่น่าจะเป็นทางออกที่สวยงามแต่อย่างใด
คำบอกกล่าวทำนองที่ว่าเห็นใจแฟนสาว ไม่อยากให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผิวเผินก็ดูดีหรอกครับ แต่ทำไมรู้สึกว่าฟังแล้วมันสวนทางกับคำสัมภาษณ์ที่ว่า..."กว่าคนเราสองคนจะมาเจอกัน รู้จักกัน รักกันไม่ใช่เรื่องง่าย อยู่ๆ ดีๆ จะมาให้เลิกคบ ผมว่ายิ่งลำบาก การที่คนสองคนจะเลิกกัน ผมว่ามันเป็นสิทธิ์ของคนสองคนนั้น ไม่อย่างนั้นอาจจะเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้” โดยสิ้นเชิง
พูดแบบนี้บอกได้คำเดียวครับว่าไม่หล่อเอาเสียเลย
แล้วหัวอกของอีกฝ่ายในฐานะพ่อตลอดจนแม่ที่ต้องอุ้มท้องฟูมฟักเลี้ยงดูจนเติบโตเป็นสาวเป็นแส้ให้คุณได้มาบอกคำว่ารักล่ะครับ ไม่คิดถึงบ้างหรือ?
ความรักเป็นสิ่งสวยงาม แต่สุดท้ายหลายรักก็มักจะไม่ลงเอยในแบบที่เราคาดหวังหรอก
เรื่องราวของพ่อกับลูกที่เป็นข่าวขึ้นมาอีกคู่ก็คือในรายของนักแสดงหนุ่ม “ภีม ภาคิน” ที่ออกมาเปิดเผยผ่านรายการทีวีถึงความ(ไม่)สัมพันธ์กับผู้เป็นพ่อ "เจค ศตวรรษ” ซึ่งได้ทิ้งตนและผู้เป็นแม่ “แอน กัญญารัตน์ บ่อสันเที๊ยะ” ซึ่งเป็นอดีตนางแบบชื่อดังไปตั้งแต่ 17 ปีที่แล้ว
ทำให้ตนต้องดูแลแม่ซึ่งป่วยเป็นวัณโรคกระดูกจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ รวมถึงน้อง, ยาย ตลอดจนน้าที่เป็นโรคประสาทอีก 2 คน จนตนต้องดรอปเรียนหนังสือเพื่อมารับภาระดังกล่าว
ทันทีที่เรื่องนี้กลายเป็นข่าวออกมาแน่นอนครับว่าคนที่โดนถล่มเละก็คือนักแสดงชื่อดังรุ่นใหญ่ พร้อมกับเสียงชื่นชมไปยังหนุ่มภีมมากมาย แม้จะมีบางส่วนที่ตั้งข้อสงสัยกันว่าเจ้าตัวเอาเรื่องนี้ออกมาบอกกล่าวทำไมทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ต้องการเรียกร้องให้อีกฝ่ายมาดูแลหรือว่ารับผิดชอบอะไร ซึ่งเจ้าตัวก็ได้มาให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า...
“ถ้าผมอยากดังผมคงออกมาตั้งแต่ตอนที่ผมลำบากแรกๆ แล้วครับ แต่นี้ผ่านมา 4-5 ปีแล้วครับที่แม่ป่วยไม่สบาย ซึ่งผมก็ไม่ได้บอกใคร ซึ่งทางทีมงานเข้าได้ประวัติของผม ทางทีมงานก็เห็นว่ามันน่าสนใจดีก็เลยได้นำไปเสนอในรายการ ผมไม่ได้เรียกกระแสให้ตัวเองดังขึ้นมา ซึ่งบางทีผมไปงาน คนก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ผมคือใคร เพราะถ้าเราบอกไป ถ้าเราทำอะไรที่ไม่ดีอาจจะเสียไปถึงพ่อแม่ได้ ซึ่งเราอยู่เงียบๆ ดีกว่า แต่ส่วนมากเขาก็จะทราบเองมากกว่า”
“คือเป็นอย่างนี้ผมก็มีความสุขดีอยู่กับแม่ แม่เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ของผมครับ ตอนนี้ก็มีงานเยอะขึ้น พอเลี้ยงทุกคนในบ้านได้ แต่ก็ไม่ได้คล่องตัวมาก ผมไม่นอยด์กับเรื่องนี้ครับ 17 ปีที่ผ่านมา ผมมีแม่คนเดียวผมก็อยู่ได้ครับ ไม่รู้สึกว่าขาดพ่อ มีแม่เป็นทั้งพ่อทั้งแม่และก็เพื่อนครับ”
เห็นคำสัมภาษณ์ของหนุ่มภีมแล้วก็นึกถึงเรื่องตัวเอง
เปล่าครับไม่ได้เท่ห์หรือว่ากตัญญูต้องหาเลี้ยงครอบครัวอะไรขนาดนั้น เพียงแต่จะบอกว่าตัวผมเองก็ถูกคนที่ได้ชื่อว่าพ่อทิ้งไปตั้งแต่เด็กครับ ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเป็นปมด้อยอะไรถ้าไม่นับรวมว่าแม่ต้องทำงานหนักมากๆ ในการหาเงินเลี้ยงดูส่งเสียเรียนหนังสือ
ส่วนไอ้เรื่องของความอบอุ่นในครอบครัวนั้น โอ๊ย อุ่นเสียจนร้อนเลยแหละครับ
แม้จะถูกทิ้งไปโดยไม่ได้มาช่วยเหลืออะไรเลย ซ้ำยังไปมีเมียอีกหลายต่อหลายคน(อันนี้มารับรู้ตอนเริ่มโต) แต่ในตอนเด็กๆ แม่ก็มักจะบอกผมตลอดเวลาครับว่าอย่าได้ไปโกรธ เกลียด หรือด่าอีกฝ่ายด้วยคำหยาบคายเพราะอย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังมีบุญคุณที่ให้ชีวิตเรามา
แต่ก็ดูเหมือนแม่ผมเองนั่นแหละครับที่ดูจะแค้นพอสมควร เพราะจำได้ว่าเวลาผู้ใหญ่เขาคุยกันถึงเรื่องนี้ แม่ก็มักจะพูดให้ได้ยินเสมอว่าทำไมจะต้องไปเรียก "มัน" ว่าพ่อ (555)
ว่ากันตรงๆ ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกที่จะไปมีอารมณ์อย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่จำความได้ก็ไม่ได้เจอะเจอ พูดกันแม้แต่สักครั้งเดียว
อ้อ ว่าไปก็มีอยู่ครั้งหนึ่งครับ แต่เป็นเรื่องที่ผมเองก็จำได้เพียงคลับคล้ายคลับคลา ประมาณว่าตอนนั้นกำลังเรียนอยู่ (ไม่แน่ใจว่า ป.1 หรือ ป.2) ก็มีคนมาบอกว่าพ่อมาหา รออยู่ที่หน้าโรงเรียน ให้ไปทักทายหน่อย
พอไปถึง(ไม่รู้ว่าใครพาไป) ก็มีผู้ชายยืนอยู่ประมาณ 2-3 หรือว่า 3-4 คนเนี่ยแหละ ผมก็ตรงไปไหว้เลย แล้วก็จำไม่ได้ว่าหลังจากนั้นได้มีการพูดคุยทักทายอะไรกันหรือไม่
รู้แต่ว่าตอนหลังป้าหรือว่าน้านี่แหละที่มาบอกว่า...ไอ้ไก่ มึงไหว้ผิดคน นั่นใช่พ่อมึงที่ไหน...
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศhttp://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |