ศิลปิน One-Hit Wonder คือนักร้องหรือวงดนตรีประเภทที่มีเพลงฮิตในตลอดอายุการทำงานเพียงเพลงเดียว ต้องร้องเพลงเดียวเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ รอบในชีวิตการทำงาน ไม่ว่าจะออกผลงานใหม่ ๆ มาเมื่อใด คนก็อยากจะฟังแต่เพลงเดิม ๆ
ตอนนี้ ไซ คงจะรอดพ้นจากโอกาสเป็นได้แค่ศิลปิน "ฮิตเพลงเดียวจอด" หรือ One-Hit Wonder (สำหรับตลาดเพลงระดับโลก เพราะในเกาหลีใต้เขาถือว่าเป็นซูเปอร์สตาร์มานานแล้ว) ได้สำเร็จแล้ว เมื่อศิลปินจากแดนกิมจิสามารถพาเพลงใหม่ล่าสุด Gentleman ฮิตตามรอย Gangnam Style ได้เป็นที่เรียบร้อย
ที่ผ่านมามีศิลปินจำนวนไม่น้อยที่ต้องเจอกับบททดสอบเดียวกับ ไซ เมื่อผ่านการเปิดตัวด้วยความยิ่งใหญ่ มีผลงานฮิตจนดังพลุแตกในเวลาอันรวดเร็วด้วยเพลงเพียงเพลงเดียว ในบางกรณีนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความยิ่งใหญ่ และอาชีพที่ยาวนาน แต่บางครั้งเพลงฮิตเพลงแรกก็มีสิทธิ์จะเป็นเพลงฮิตเพลงสุดท้ายได้เหมือนกัน สุดท้ายศิลปินบางรายจึงต้องลงเอยเล่นเพลงเดิมซ้ำ ๆ บนทุกเวทีคอนเสิร์ต ติดต่อกันเป็นหลายสิบปี
Butterfly เพลงร็อคจังหวะหนุบหนับ ของวงดนตรีแนวอเมริกัน "แร็พร็อค" เป็นซิงเกิลที่ 3 จากอัลบั้ม The Gift of Game งานชุดแรกของ Crazy Town ที่ปล่อยออกมาในปี 2000 และประสบความสำเร็จอย่างสวยงามขึ้นอันดับ 1 ใน 15 ประเทศ ส่วนในสหรัฐฯ ก็ไปไกลถึงอันดับ 3 ในชาร์ต Billboard Hot 100
แต่แล้วนี่กลับเป็นจุดสูงสุดของวงดนตรีวงนี้ ที่เกิดขึ้นและจบลงในเวลาอันรวดเร็ว เพราะแม้เพลงจะถูกใจแฟนจำนวนไม่น้อย แต่ Crazy Town กลับโดนปรามาสจากเหล่านักวิจารณ์หลายสำนักที่ดูถูกดูแคลนเพลงนี้กันอย่างโจ่งแจ้ง รวมถึง แม็ตธิว วิลเกนนิง ที่ถึงกับเลือกให้เพลง Butterfly ติดอันดับ 77 ของ 100 เพลงห่วยตลอดกาล ส่วน VH1 ก็เลือกให้เป็นอันดันที่ 34 ในการจัดอันดับแปลกๆ อย่าง "เพลงโคตรห่วยสุดเจ๋ง" สุดท้าย Crazy Town จึงมีช่วงการทำงานเพียงสั้น ๆ ในปี 2005 สมาชิกแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปคนละทางหลังออกอัลบั้มมาได้ 2 ชุด ก่อนจะกลับมารวมตัวกันในปี 2007 จนถึงปัจจุบันแต่ก็แทบไม่มีผลงานใหม่ ๆ อะไรอีกแล้ว
Calling วงอัลเทอร์เนทีฟร็อคจากปลายยุค 90s เป็นอีกหนึ่งวงดนตรีที่มีเพลงดังเสียยิ่งกว่าตัววงของพวกเขาอีก สำหรับเพลงร็อคช้า ๆ ติดหูที่ชื่อ Wherever You Will Go ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มชุดแรก Camino Palmero
Wherever You Will Go ไปไกลถึงอันดับ 5 บน Billboard Hot 100 และติดอันดับ 1 ของชาร์ตเพลงผู้ใหญ่ Adult Top 40 ถึง 23 สัปดาห์ติดต่อกัน เรียกว่ายาวนานที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์เลย แต่เพลงฮิตเพลงนี้กลับไม่ได้ทำให้ Calling มีอายุวงที่ยาวนานไปกว่านี้ หลังเริ่มฟอร์มวงกันใน2000 อีก5 ปีต่อมาสมาชิกได้ประกาศพักวงชั่วคราว และไม่ได้กลับมารวมตัวกันอีกเลย
แม้จะเคยโดนโหวตให้เป็นเพลงที่ "น่ารำคาญที่สุด" แต่ในยุคหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเพลง You're Beautiful นั้นฮิตทั่วบ้านทั่วเมืองจริง ๆ ผลงานของศิลปินหนุ่มชาวอังกฤษ เจมส์ บลันต์ เป็นซิงเกิลที่ 3 ของอัลบั้มชุดที่ 2 ในปี 2005 ของเขา ที่ฮิตไปทั่วโลก ได้รับการเปิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ติดชาร์ตต่าง ๆ มากมาย จนหลายคนเริ่มจะเอียนมากกว่าจะรู้สึกดีฟังแล้วเพราะเหมือนตอนแรก แม้หลังจากนั้นผลงานของ บลันต์ จะได้รับความสนใจจากแฟน ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจเทียบเคียงความสำเร็จของ You're Beautiful โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ได้อีกเลย
Mambo No. 5 ผลงานเก่าในยุค 40s ของ เปเรซ ปราโด ถูกศิลปินหนุ่มชาวเยอรมัน ลู เบกา หยิบมาร้องใหม่ และฮิตระเบิดอย่างไม่น่าเชื่อ ขึ้นอันดับต้น ๆ ในชาร์ตทั้งที่อังกฤษ, แคนาดา, สหรัฐฯ, และออสเตรเลีย รวมถึงประเทศบ้านเกิดของเขาด้วย แต่ที่ถือว่าโดดเด่นเป็นพิเศษก็คือในฝรั่งเศสที่เพลงติดอันดับ 1 ถึง 20 สัปดาห์ติดต่อกัน แต่ก็เหมือนกับอีกหลายศิลปิน เบกา ไม่เคยมีเพลงฮิตเท่านี้อีก สำหรับในอเมริกาเขาไม่เคยมีเพลงติด Top 40 ขึ้นไปของ Billboard Hot 100 ได้อีกเลย
คาร์ล ดั๊กลาส คงจะไม่ใช่ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ได้รับการจดจำอะไรมากมาย แต่ต้องยอมรับว่าเพลง Kung Fu Fighting ของเขาคือตำนาน ผลงานที่เจ้าตัวร่วมกับ บิ๊บดู แต่งและโปรดิวเซอร์ออกเผยแพร่ในปี 1974 เป็นงานแนวฟังค์ดิสโก้สมัยนิยม ที่หยิบเอาวัฒนธรรมจีนโดยเฉพาะจากหนังกังฟูฮ่องกงมาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเพลง และถูกเปิดซ้ำ รวมถึงมีการนำไปใช้ประกอบหนังต่าง ๆ มากมาย จนกระทั่งชื่อของเพลงดังแซงหน้าชื่อ คาร์ล ดั๊กลาส ไปไกล ตัวผู้ร้องเองก็ไม่ได้มีผลงานโดดเด่นขึ้นชาร์ตอะไรอีก กระทั่งได้หยิบ Kung Fu Fighting มาบันทึกเสียงใหม่ในปี 1998 นั่นเองเขาจึงได้โอกาสสัมผัสกับการเป็นเจ้าของเพลงฮิตติดชาร์ตอีกครั้ง
หลายคนอาจจะไม่รู้จักชื่อเพลง Tubthumping หรือชื่อศิลปิน Chumbawamba กันด้วยซ้ำ แต่เชื่อว่าน่าจะเคยผ่านหูท่อนฮิต "I Get Knocked Down" กันมาบ้างแน่นอน เพลงแนวที่เรียกกันว่า anarcho-punk ของวงดนตรีชื่อแปลก Chumbawamba สร้างความฮือฮาอยู่ในปี 1997 กับการขึ้นถึงอันดับ 2 ในอังกฤษ, อันดับ 6 ที่ Billboard Hot 100 และอันดับ 1 ในอีกหลายประเทศ และยังคงถูกเปิดในสถานที่เที่ยวกลางคืนไปอีกหลายปี แม้หลายคนจะไม่ได้รู้จักชื่อศิลปิน หรือชื่อเพลงเลยก็ตาม
อาจจะพูดได้ว่า Macarena คือ Gangnam Style ของยุค 1990s สำหรับการเป็นเพลงเต้นรำ ที่มีเนื้อร้องแปลก ๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่คงจะไม่เข้าใจความหมาย มาพร้อมกับท่าเต้นที่ขยับตามได้ง่าย ๆ โดยผลงานเพลงของนักร้องรุ่นใหญ่คู่หู่ชาวสเปน Los del Río ออกขายในปี 1994 และฮิตพอสมควรในหมู่คนฟังลาตินป๊อป แต่จู่ ๆ 2 ปีต่อมา เพลงกลับไปฮิตในหมู่คนฟังกระแสหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ขึ้นถึงอันดับ 1 ของ Billboard Hot 100 เป็นเพลงฮิตอันดับที่ 82 ประจำปี 2007 และทำยอดขายทั่วโลกไปถึง 6.35 ล้านแผ่น หลังจากนั้นแม้ทั้งสองจะมีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องในปี 2012 ก็เพิ่งจะมีอัลบั้มใหม่ แต่แน่นอนว่าไม่เคยทำได้เทียบเท่ากับ Macarena
เพลงที่เริ่มต้นด้วยเสียงกลอง และเบสอันติดหูชวนเต้น เพลงร็อค My Sharona อาจนับว่าเป็นหนึ่งใน One Hit Wonder ที่ดังที่สุดตลอดกาล ผลงานของ The Knack วงร็อคจากลอสแอนเจลิส เริ่มถูกเปิดตั้งแต่ปี 1979 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ด้วยสไตล์พาวเวอร์ป๊อปอันติดหู จนขึ้นอันดับ 1 ของ Billboard Hot 100 ได้และยึดอันดับดังกล่าวไปอีก 6 สัปดาห์ติด กลายเป็นเพลงเปิดตัวของศิลปินใหม่ที่ฮิตเร็วที่สุดนับตั้งแต่ครั้งที่ The Beatles เคยเปิดตัวสู่วงการเพลงในสหรัฐฯ ด้วย I Want to Hold Your Hand แต่สุดท้าย The Knack ก็ไม่ได้ตามรอยสี่เต่าทอง พวกเขาไม่ได้มีเพลงดังแบบนี้อีก จนต้องเลิกวงกันไปในปี 1982 เท่านั้น แต่ก็กลับมารวมตัวออกอัลบั้มใหม่อยู่เป็นระยะ แน่นอนว่าเมื่อขึ้นคอนเสิร์ตแฟน ๆ ก็คงอยากจะฟัง My Sharona มากกว่าจะเป็นเพลงอื่น
งานประเภทฮิตกว่าคนร้องอีกเพลง ที่หลาย ๆ คนคงจะรู้จัก Who Let the Dogs Out? กันอยู่บ้าง โดยไม่จำเป็นต้องเคยได้ยินชื่อของ Baha Men เลยด้วยซ้ำ
Who Let the Dogs Out? เป็นงานของ อันสเลม ดั๊กลาส ที่เขียนสำหรับใช้ประกอบงานคานิวัลของ ทรินิแดด แอนด์ โทบาโก ในปี 1998 แต่เพลงกลับไปเข้าหูของโปรดิวเซอร์ชื่อดัง สตีฟ กรีนเบิร์ก จนส่งให้กับ Baha Men วงดนตรีที่เล่นเพลงในแบบบาฮามัส ที่กำลังอยากจะลองทำเพลงขายในตลาดเพลงกระแสหลักเอาไปถ่ายทอด สุดท้าย Who Let the Dogs Out? จึงดังระเบิด ติดชาร์ตต่าง ๆ ทั่วโลกมากมาย แม้ในอเมริกาจะไปถึงแค่อันดับ 40 ของ Billboard Hot 100 แต่เพลงก็ยังไปคว้ารางวัลแกรมมีในสาขาเพลงเต้นรำ ถูกนำไปประกอบหนัง หรือโฆษณามากมาย และอย่างที่คาดเดากันได้ Baha Men มีผลงานออกมาอีกซักระยะ และค่อย ๆ ได้รับความสนใจน้อยลงไปเรื่อย จนยุติการทำงานร่วมกันในปี 2010
Video Killed the Radio Star ของดูโอแนวซินธ์ป๊อปชื่อดัง The Buggles ซึ่งประกอบไปด้วย เทรเวอร์ ฮอร์น และ จอฟ ดาวเนส ไม่ใช่แค่เพลงฮิตในปี 1979 ที่ขึ้นอันดับ 1 ของ Billboard Hot 100 รวมถึงชาร์ตของประเทศต่าง ๆ มากมาย แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ Video Killed the Radio Star นับว่าเป็นมิวสิควิดีโอเพลงแรกที่ถูกเปิดขึ้นในสถานี MTV ในเวลา 12.01 น. ของวันที่ 1 ส.ค. 1981 ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่งยุคสมัยใหม่ของวงการเพลงอย่างแท้จริง ชื่อของ Video Killed the Radio Star และ The Buggles จึงมักจะถูกอ้างอิงเสมอ เมื่อกล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเปลี่ยนแปลงของวงการเพลงร่วมสมัย แต่เส้นทางของ The Buggles กลับไม่ได้มีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่แบบนั้น ในซิงเกิลลำดับต่อ ๆ ไปของวงอันดับก็เริ่มต่ำลงเรื่อย ๆ กระทั่งซิงเกิลจากอัลบั้มชุดที่ 2 ก็แทบไม่ได้ติดชาร์ตใด ๆ เลย สุดท้ายวงจึงต้องยุติการทำงานร่วมกันไปในปี 1981 หลังโลดแล่นในวงการได้แค่ 4 ปี แม้หลังจากนั้นสมาชิกทั้งสองคนของวงจะมีบทบาทในวงดนตรีดัง ๆ อีกพอสมควร แต่ชื่อของ The Buggles กลับถูกแช่แข็งไว้ในยุค 80s เคียงคู่กับ Video Killed the Radio Star
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |