จะด้วยความรู้สึกแบบใดก็ตาม แต่หนึ่งในคำถามที่ถูกส่งมาทางเอสเอ็มในรายการ “ชวนคิดชวนคุย” ทางคลื่น 97.75 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งผมได้ร่วมจัดรายการด้วย ก็คือคำถามที่ว่ามีหนังเรื่องอะไรบ้างที่ ผบ.ทบ. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรดู จำได้ว่า ทันทีที่รายการจบ กองทัพทหารในชุดลายพราง 50 นายก็ตบเท้าบุกมาถึงหน้าบ้านพระอาทิตย์ เรียกร้องความเป็นธรรม(?)ให้กับนายเหนือหัวของตัวเอง
สำหรับคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง คงรู้ว่าอะไรเป็นอะไรโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องมาอรรถาธิบายในที่นี้ แต่เมื่อแฟนรายการไต่ถามมาถึงหนังที่ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดต้องดู ผมก็ไม่มีอะไรแนะนำมากไปกว่าหนังที่เพิ่งเข้าฉายปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่าง The Gangster Squad (แก๊งกุดหัวเจ้าพ่อ)
The Gangster Squad ไม่น่าจะใช่หนังที่โดนใจนักวิจารณ์เท่าใดนัก สังเกตได้จากคะแนนโดยรวมในเว็บไซต์มะเขือเน่าอย่าง Rotten Tomatoes คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์เยอะมาก (30 กว่าเปอร์เซ็นต์ เต็มร้อย) เข้าใจว่า ที่เป็นเช่นนั้น คงเพราะองค์รวมของหนัง ซึ่งดูไม่ค่อยมีอะไร มันเหมือนกับหนังมันๆ อย่าง The Expendables ซึ่งขยับเกรดขึ้นมานิดหน่อย โดยปล่อยปละละเลยในเรื่องความลึกของตัวละครอย่างที่ควรจะมี ตัวร้าย-ตัวดี ถูกแบ่งแยกอย่างเด่นชัด ในลักษณะขาวจัด-ดำจัด ไม่ใช่หนังที่จะมาแล่เนื้อเถือหนังของความเป็นมนุษย์ออกมาเป็นชั้นๆ กระนั้นก็ตาม ผมก็ยังมีความเห็นว่า นี่คือหนังที่ไม่ใช่เฉพาะแค่ ผบ.ทบ.เท่านั้น ที่ต้องดู ตำรวจยิ่งต้องดู (เพราะมันเกี่ยวกับตำรวจโดยตรง) และที่สำคัญ มันเป็นหนังเพื่อคนไทยทั้งประเทศ ในสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่นี้
“ถ้าคนดีนิ่งเฉย แล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร” คือถ้อยคำที่อยู่ในไดอะล็อกของหนังเรื่อง The Gangster Squad ซึ่งเราจะได้ยินตั้งแต่ต้นๆ เรื่อง และมันเป็นเหมือนหมุดหมายปลายทางที่หนังกำลังจะนำเสนอ
เรื่องราวหลักๆ นั้นสร้างมาจากเรื่องจริง หนังพาคนดูย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ.1949 ของเมืองลอส แองเจลิส สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ถูกเงามืดของทมิฬแผ่เข้าปกคลุม “มิคกี้ โคเฮน” คือมาเฟียตัวเอ้ที่แผ่สยายปีกยึดครองเมืองทั้งเมืองไว้ได้อย่างแทบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เขาคือยิวที่สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจากธุรกิจผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาเสพติด ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ด้วยอำนาจอิทธิพลจนล้นฟ้า เขาสามารถครอบงำบุคคลสำคัญๆ ของเมืองไว้ได้แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือแม้แต่นักกฎหมาย ผู้พิพากษาอัยการ
บ้านเมืองที่เป็นไปเช่นนี้ อยู่ในสายตาของนายตำรวจชั้นผู้น้อยอย่าง “จอห์น โอมาร่า” (จอช โบรลิน) ตลอดเวลา และเขาก็พยายามที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้เพื่อหยุดยั้งความเลวทรามที่กำลังคุกคามบ้านเมืองอยู่ แต่ทว่าด้วยกำลังอันกระจิริด การจะพิชิตผู้มีอิทธิพลระดับบิ๊กถึงเพียงนั้น คงเป็นจริงได้แค่ในความฝัน อย่างไรก็ตาม ต่อมาไม่นานนัก หลังจากจอห์น โอมาร่า ก่อวีรกรรมบางประการจนเป็นที่เลื่องลือปรากฏตามหน้าสื่อหนังสือพิมพ์ ผู้หลักผู้ใหญ่ในกรมที่ยังมีสำนึกดีอย่าง ผบ.พาร์คเกอร์ (แสดงโดยนักแสดงรุ่นใหญ่ “นิค โนลเต้”) แต่ไม่สามารถทำอะไรในบทบาทเจ้าหน้าที่ และได้แต่เฝ้ามองหายนะของเมืองด้วยความอดสูใจ จึงหันมาเล่นเกมใต้ดิน เป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้างขุมกำลังลับๆ เพื่อปฏิบัติการกำจัดมิคกี้ โคเฮน โดยมีจ่าจอห์น โอมาร่า เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในปฏิบัติการดังกล่าว
ก็อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนต้นว่า หนังเรื่องนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้ซับซ้อนต้องตีความ มันดำเนินเรื่องไปอย่างง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ มีตัวร้ายตัวหนึ่งตั้งไว้เป็นตุ๊กตา แล้วก็ตั้งโจทย์ว่า คนอื่นๆ จะจัดการ “ล้มตุ๊กตา” ตัวนี้ได้อย่างไร และยิ่งมันเป็นตุ๊กตาซึ่งมีอำนาจคับฟ้าอย่างมิคกี้ โคเฮน ด้วยแล้ว สิ่งที่ท้าทายก็คือ สุดท้ายแล้ว พวกเขาเหล่านั้นในกลุ่มปฏิบัติการลับจะทำสำเร็จหรือไม่อย่างไร
ในความเป็นหนัง The Gangster Squad มีความบันเทิงในระดับหนึ่ง ความสนุกของเรื่อง มาจากทั้งฉากแอ็กชั่นการต่อสู้และอารมณ์ขัน นักแสดงหลักๆ ก็ถือว่าใช้ความสามารถที่ตัวเองมีอยู่ พาหนังเดินทางไปตลอดรอดฝั่งได้ ทั้งไรอัน กอสลิ่ง หรือแม้แต่จอช โบรลิน ที่เป็นดั่งเสาหลักของหนัง แต่คนที่ถือว่า “จัดเต็ม” (แบบ...แสดงได้ดีกว่าคุณภาพความดีของหนังไปหลายขั้น) ก็คือ ฌอน เพนน์ เขาไม่เคย “ให้น้อย” กับการแสดงหนังเรื่องไหนเลย จัดเต็มตลอด
อย่าถามหาความลึก อย่าถามหาความเจ๋งในแบบที่มักจะนิยามกันด้วยความซับซ้อนของตัวละครและเนื้อหา ความดีงามของหนังเรื่องนี้อยู่ตรงการที่มันได้ทำหน้าที่ปลุกเร้าจิตสำนึกสาธารณะของคนดูให้ฟูฟ่องพองโตและอยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อปัดกวาดบ้านเมืองที่มันสกปรกโสโครกให้สะอาด The Gangster Squad มันเป็นเรื่องของคนไม่กี่คนที่มีความคิดและจิตสำนึกว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้โลกใบนี้มันน่าอยู่กว่าเดิม
เพราะในขณะที่ผู้หลักผู้ใหญ่ระดับบัญชาการทั้งหลาย ถูกซื้อไปหมดแล้วโดยอำนาจเงินของมิคกี้ โคเฮน แต่ความเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง กลับเกิดขึ้นมาจากคนตัวเล็กๆ อย่างตำรวจชั้นผู้น้อยปลายแถวซึ่งเขาจะเด็ดหัวคุณตอนไหนก็ได้ อย่างไรก็ตาม ในสภาวะอันน่าสิ้นหวังของคนใหญ่คนโตซึ่งถูกซื้อไปหมดแล้วด้วยเงินบาปของมิคกี้ กลับปรากฏว่า ยังคงมีเจ้าหน้าที่บ้างนายที่กล้าเอาชีวิตและความมั่นคงของตนเองลงมาเสี่ยง เพียงเพราะเห็นว่า ถ้าปล่อยให้บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ต่อไป ความฉิบหายบรรลัยจะมาเยือนอย่างแน่นอน
นอกจากจอห์น โอมาร่า อีกหลากหลายตัวละครซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับปลายแถว ต่างก็มีสิ่งที่เรียกว่า “จิตสำนึกสาธารณะ” ก่อนจะเข้าร่วมขบวนการ คนเหล่านี้ ยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่ออนาคตที่ดีขึ้นของบ้านเมือง หนังมีบทพูดคมๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ตอนหนึ่งซึ่งผมคิดว่า มันน่าจะกระตุ้นเตือนสามัญสำนึกของผู้คนได้เป็นอย่างดีก็คือ ตอนที่จอห์น โอมาร่า ไปชักชวนเพื่อนร่วมอุดมการณ์คนหนึ่งซึ่งเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เพื่อนคนนั้นกล่าวถ้อยคำที่จี๊ดโดนใจมากๆ ประโยคหนึ่ง ประมาณว่า ถ้าหากเขาไม่เข้าร่วมในปฏิบัติการล้างบางคนเลวนี้ เขาคงไม่มีหน้าไปพูดกับลูกของตัวเองในวันที่ลูกเติบโตแล้วได้ว่า เขาเฝ้ามองให้พวกคนเลวๆ ครอบงำบ้านเมือง โดยที่ไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรเลย
ผมคิดว่า แนวทางในการดำเนินการของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า Gangster Squad (แก๊งปราบเจ้าพ่อ) นี้ มีความน่าสนใจมากนะครับ เพราะการก่อเกิดขึ้นมาของมัน ต้นทางก็คือความรู้สึกที่ว่า “ระบบ” ที่มีอยู่ของบ้านเมืองมันพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย กรมตำรวจมีไว้แต่พอให้รู้ว่ามี นักกฎหมายนั่งจิบไวน์กับมาเฟีย หารือเรื่องว่าจะหลีกรอดกฎหมายได้อย่างไร สภาพการณ์เช่นนี้ มันบีบให้ผู้คนซึ่งยังมีสำนึกต้องเดินเกมแบบใต้ดิน สิ่งที่น่าเย้ยหยันมากที่สุดก็คือ การที่บรรดาตำรวจชั้นผู้น้อยอย่างพวกจ่าจอห์น โอมาร่า พากันปลดทิ้งเครื่องแบบตำรวจ เพื่อก้าวเข้าสู่ปฏิบัติการลับนั้น มันเหมือนกับภาพสะท้อนอันน่าเจ็บปวด ถึงการไร้ประสิทธิภาพและทำอะไรไม่ได้ ตราบเท่าที่ยังอยู่ใน “ระบบ”
ยุค 40 ของลอส แองเจลิส เหมือนอยู่ในม่านหมอกอันมืดมิด คนที่อยู่เหนือเมฆอันมืดมน คือกลุ่มอิทธิพลมาเฟีย การที่ใครจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อล้มล้างความมืดมัวเหล่านั้น คงต้องมีพละกำลังทางใจในระดับที่มากกว่าปกติ เพราะถ้าทำผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว ชีวิตทั้งชีวิตที่เพียรสร้างมา ก็อาจสลายหายไปได้ในพริบตา นั่นจึงไม่น่าแปลกใจว่าเพราะอะไร ทั้งๆ ที่เห็นว่าบ้านเมืองกำลังตกอยู่ในมือคนชั่ว แต่คนทั่วไปยังยอมทนอยู่อย่างนิ่งเฉย ผมเปรียบเปรยเล่นๆ ในรายการ “ชวนคิดชวนคุย” ว่า มันก็คงไม่ต่างอะไรกับยุคนี้สมัยนี้ของบ้านเราที่ถ้าใครสักคน “แหลม” ขึ้นมา อย่างเช่น วงการดารา ถ้ามีใครสักคนออกมาพูดในสิ่งที่คนทั่วไปเห็นว่าควรจะนิ่งเงียบ ดาราหรือนักแสดงคนนั้น ก็จะกลายเป็น “แกะดำ” ท่ามกลางเพื่อนพ้องในวงการไปทันที
ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจของเราเต้นแรงได้เสมอๆ หากมีใครสักคนแหวกม่านความกลัวนั้นออกมาแล้วกล้าพูดกล้าทำในสิ่งที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อสังคม บ้านเมืองเรานี้ก็แปลก “คนเลวแสดงออก” นั้นเกลื่อนกลาด แต่ “คนดีแสดงออก” กลับมีให้เห็นน้อยเต็มที มันก็คงไม่ต่างกับความเป็นจริงในหนังเรื่องนี้เท่าไหร่หรอกครับ เพราะถ้าจะนับ “คนดีกล้าแสดงออก” กันจริงๆ แล้ว จำนวนนิ้วของมือทั้งสองข้าง ยังมากกว่าด้วยซ้ำไป
คงคล้ายๆ กับที่หลายคนเอ่ยถึงความตื้นเขินของหนัง ผมคิดว่า ในสังคมเรา บางครั้ง ความชั่วร้ายต่างๆ ก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยความคิดแบบไม่ต้องลึกซึ้งซับซ้อนอะไรมาก หากเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็ลุกขึ้นมาจัดการ เหมือนกับที่จ่าจอห์น โอมาร่า ไม่ต้องอาศัยตรรกะยิ่งใหญ่อะไรต่อการที่จะลุกขึ้นมากุดหัวมิคกี้ โคเฮน เพราะถ้าเห็นว่ามันถูกต้องดีงามแล้วก็ทำเลย นั่นจึงหมายถึงเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของคนที่รับใช้ชาติกินเงินภาษีอากรของประชาชนโดยแท้จริง
ตำรวจเก่ง ทหารเก่ง ต้องเก่งกับคนโกง
และเกียรติภูมิศักดิ์ศรีที่แท้จริง ย่อมมิใช่การออกมาทะเลาะกับสื่อหรือข่มขู่ชาวบ้าน หากแต่คือการลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ควรทำ เพื่อประเทศชาติบ้านเมือง สิ่งนี้เรียบง่ายซะจนไม่ต้องคิดอะไรเลย หากแต่หลายๆ คน ก็ทำได้ยากเหลือเกิน