xs
xsm
sm
md
lg

นักแสดง ผู้กำกับ ธรรมะ และวันโลกแตก กับ “เต้ย จรินทร์พร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ก่อนหน้าที่จะนั่งสนทนากับเราเพียงไม่กี่วัน “เต้ย จรินทร์พร จุนเกียรติ” ได้รับการโหวตให้เป็นผู้หญิงที่น่ากอดที่สุดในอันดับที่ 11 จากผู้อ่านนิตยสารสุดสัปดาห์ ด้วยคะแนนโหวตที่แซงหน้า “พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์” “ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต” และ “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” และหากดูที่แต้มต่อทั้งในเรื่องความสมบูรณ์แบบของรูปร่างหน้าตา ปริมาณงาน และปริมาณข่าวคราวของบรรดาสาวๆ ที่มีคะแนนแซงเธอเข้าไปติดอยู่ในท็อปเทน ก็ต้องบอกว่าเต้ยขึ้นมาอยู่ในอันดับที่สูงไม่ใช่เล่น

เพราะเต้ยเป็นสาวที่มีผลงานออกมาไม่ถี่มาก แถมยังไม่ค่อยตกเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์บันเทิงสักเท่าไหร่ เรื่องราวความรักระหว่างเธอกับนักแสดงชายที่ตัวสูงกว่าเธอไม่มากนักก็เป็นเรื่องที่เต้ยไม่ค่อยจะพูดถึง จากเด็กผู้หญิงแอ๊บแบ๊วที่เข้าวงการจากการประกวดยูทิป ภาพของเต้ยที่ปรากฏต่อสาธารณะในวันนี้ คือ อาร์ติสสาวที่มุ่งมั่นทุ่มเทให้กับงานแสดงและศิลปะ และด้วยฝีมือการแสดงอันเข้มข้นในภาพยนตร์เรื่อง Countdown ที่เข้าฉายอยู่ในขณะนี้ก็ทำให้เราแทบจะลืมภาพสาวน้อยหน้าใสจอมแอ๊บแบ๊วคนนั้นไปจากความทรงจำเลยทีเดียว

เต้ย เล่าว่า ครั้งแรกที่อ่านบทภาพยนตร์เรื่อง Countdown เธอรู้สึกเหมือนถูกตรึงให้นิ่งอยู่กับที่ แม้จะยังบอกไม่ได้ว่าเธอได้อะไรจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะหากพูดไปจะกลายเป็นการเฉลยเรื่องราวของหนังจนเสียอรรถรส แต่เต้ยยืนยันว่านี่เป็นหนังที่เธอไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเรื่องราวต่อไปรวมถึงบทสรุปจะเป็นอย่างไร

“รู้สึกว่าเป็นบทที่แปลกมาก ไม่เคยเจอบทแบบนี้มาก่อนน่ะค่ะ พี่บาส (นัฐวุฒิ พูนพิริยะ) ที่เป็นผู้กำกับและเป็นคนเขียนบทด้วย เขาคิดมาได้ยังไง เราเดาทางไม่ได้น่ะค่ะ ตอนที่เต้ยอ่านในฐานะนักแสดง อ่านแล้ววางไม่ได้น่ะ เต้ยอยากรู้ว่าเราจะเจออะไร จะเจออะไรเพิ่มขึ้นน่ะค่ะ แล้วที่เคยไปอ่านเจอในเว็บไซต์ที่เขาเดาๆ กันมาว่าจะเป็นยังไง (ส่ายหน้า) ยังไม่มีใครเดาถูกค่ะ คือ มันมีอะไรมากกว่านั้นจริงๆ”

ถ้าคุณเคยชมภาพยนตร์เรื่องหนีตามกาลิเลโอ ภาพยนตร์สั้นเรื่องมั่นใจว่าคนไทยเกิน 1 ล้านคนเกลียดเมธาวี มาจนถึงภาพยนตร์เรื่องเคาท์ดาวน์ คุณคงสังเกตเห็นพัฒนาการทางด้านการแสดงของเต้ยที่นับวันจะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ เต้ยพูดถึงเรื่องนี้อย่างถ่อมตัวว่าเธอยังคงต้องพัฒนาฝีมือการแสดงอีกเยอะ แต่ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ฝีมือการแสดงของเธอไม่ย่ำอยู่กับที่มาจากการที่เธอได้รับบทบาทที่แตกต่างไปในแต่ละเรื่อง และอีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันนั้นเธอยกให้เป็นความดีความชอบของสถาบันการศึกษาที่เธอเรียนจบมาเมื่อเดือนมีนาคม

“ที่ มศว ประสานมิตร คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการแสดงและกำกับการแสดงค่ะ ตอนแรกพอเข้ามาเรียนอันนี้แล้วเต้ยรู้สึกว่าเบื่อ เพราะว่ามันตรงกับที่เต้ยทำงานอยู่มากเกินไป เราหนีอะไรไม่ได้เลยน่ะค่ะ แต่พอเรียนไปเรื่อยๆ จนถึงปีสาม ปีสี่ เต้ยรู้สึกว่าเต้ยโชคดีมากที่ได้เรียนคณะนี้ ที่คณะคุณครูเป็นคุณครูจริงๆ ที่ทำอาชีพครูได้ดีมากจริงๆ น่ะค่ะ ได้อะไรจากการเรียนจริงๆ เกี่ยวกับการกำกับ แอกติ้ง ก็ได้มาจากที่มหาวิทยาลัยด้วย จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเต้ยก็ว่าเต้ยยังต้องพัฒนาไปอีกเยอะมาก แล้วการที่เห็นว่ามันก้าวกระโดดอาจจะเป็นเพราะว่าคาแรกเตอร์มันต่างจากที่คนเคยเห็นมามากกว่า เพราะก่อนหน้านี้ เราก็เด็กๆ ใช่ไหม ไปตามวัยแหล่ะนะ เต้ยว่า”

“ถ้าคิดในแง่ดีมันก็ทำให้เราแฮปปี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนก็ตาม” 

หากย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีก่อน เต้ย ยอมรับว่า ตัวเองก็เหมือนเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วไปที่เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง เพราะว่าอยากได้เงิน แต่หลังจากที่อุทิศชีวิตส่วนหนึ่งให้กับวงการมาตลอด 6 ปีเต็ม เต้ย ค้นพบว่า ตัวเองหลงรักสัมมาอาชีพนี้ตลอดจนการทำงานทุกๆ ภาค ทุกๆ ส่วนของวงการนี้ไปแล้ว

“เหมือนเป็นโชคชะตาที่เราเดินมาเรื่อยๆ เราก็ได้โชคที่ดีมาเรื่อยๆ น่ะค่ะ แล้วก็มองมันในแง่ที่ดีน่ะ ว่า เฮ้ย อาชีพนี้ให้อะไรเรามาเยอะนะ การที่เราทำงานอยู่ในวงการนี้ โอเค มันอาจจะเสียอะไรบางอย่างไป แต่ให้คิดถึงข้อดีของมัน เต้ยสามารถที่จะหาเงินได้ เลี้ยงครอบครัวได้ ทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้ ถ้าคิดในแง่ดีมันก็ทำให้เราแฮปปี้กับการที่เราอยู่ไม่ว่าจะตรงไหนก็ตาม แต่ถ้าเกิดวันนึงข้างหน้าไม่ได้ทำตรงนี้แล้ว ก็ต้องแล้วแต่โชคชะตาด้วยน่ะค่ะ”

แม้จะพูดถึงโชคและชะตา แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสาวร่างเล็กคนนี้สนใจใฝ่ธรรมมาระยะหนึ่งแล้ว เต้ยค้นพบว่าธรรมะสามารถตอบคำถามทุกๆ เรื่องในชีวิตของเธอได้ อีกทั้งยังช่วยให้เธอใช้ชีวิตอยู่ในวงการบันเทิงที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีกันได้อย่างไม่ทุกข์หนักจนเกินไปด้วย

“ตอนที่เข้าวัดครั้งแรก (วัดเขาอิติสุคโต เป็นวัดที่เต้ยเข้าไปศึกษาธรรมะอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในชีวิต) ไปโดยที่ไม่ได้มีความทุกข์หรือไม่ได้มีความเศร้าเลย ไปเพราะว่าอยากไป ก็เลยไป แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ากำลังจะไปวัดไหน คือ เต้ยไว้ใจพี่ที่เต้ยสนิทด้วย เหมือนเต้ยอยากไป เต้ยเลยชวนเขา แล้วเขามีรุ่นพี่ที่สนิทอีกทีนึง รู้แค่วัดอยู่ที่หัวหิน ไม่รู้เลยว่าวัดอะไร ไปแล้วจะเป็นยังไง พอเข้าไปแล้วก็รู้สึกดีมาก สบายใจน่ะค่ะ แล้วหลวงพ่อก็สอน ท่านทำให้เต้ยคิดอะไรได้เยอะมากขึ้นมากๆ เลยค่ะ อย่างเช่น สอนเรื่องพื้นฐานทั่วไป แต่มันอิมแพคพอดีเลย เรื่องเกี่ยวกับความกตัญญู สิ่งแรกที่ท่านสอนคือกตัญญูต่อพ่อแม่เป็นหลัก พ่อแม่คือสิ่งที่ดีที่สุด แล้วหลังจากนั้น ก็กตัญญูต่อคนที่มีพระคุณ อย่าง เต้ยทำอาชีพของเต้ยแบบนี้ก็ต้องกตัญญูต่ออาชีพตัวเอง แล้วก็ทุกๆ อย่าง ประมาณนี้ค่ะ ท่านก็สอนทุกๆ อย่าง แต่ไม่ได้สอนเป็นการนั่งบรรยาย เหมือนท่านจะคุยแล้วมันเข้ามาเอง โดยที่ท่านไม่ได้มาบอกว่าต้องทำอย่างนั้นทำอย่างนี้นะ”

ตรงข้ามกับหลายคนที่หันหน้าเข้าหาวัดและพระเมื่อเกิดความทุกข์ เพราะเต้ยบอกว่าเธอรู้สึกอยากศึกษาธรรมะในช่วงที่ชีวิตกำลังไปได้สวยและไม่มีความทุกข์อะไร

“ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชิล แล้วก็แฮปปี้กับชีวิตมากๆ เพราะไม่มีเรื่องอะไร ไม่ได้คุยกับใครเลยค่ะ อยู่คนเดียว หมายถึงเต้ยไม่ได้มีแฟนอะไรเลย แล้วรู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรเครียดเลยไปเข้าวัดอะไรแบบนั้น เหมือนเราพร้อมแล้วก็ไปเอง”

เรื่องที่เต้ยสนใจอาจจะต่างไปจากสิ่งที่ผู้หญิงในวัยยี่สิบต้นๆ ส่วนใหญ่สนใจ ปัจจุบันเต้ยได้อะไรจากการอ่านหนังสือธรรมะและการฟังพระบรรยายธรรมไม่น้อย ซึ่งเธอก็พยายามจะเอาชนะกิเลศภายในใจของตัวเองอยู่เสมอ

“อย่างคำว่ามีสติใช่ไหมคะ คนเราไม่ได้จะมีสติได้ตลอดเวลาจริงๆ น่ะ เราต้องเจอคนเยอะ ต้องทำอะไร พยายามทำให้ได้เท่าที่เราจะทำได้ ไม่ลืม หนูอยากทำสมาธิทุกเวลาให้ได้แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างมันก็ทำไม่ได้ เอาเป็นว่าทำเท่าที่เราโอเค มีใจที่จะทำแล้วทำมันจะได้ ถ้าเกิดเราเหนื่อย หนูคิดว่าอย่าฝืนตัวเองดีกว่า”

เมื่อถามถึงอนาคตในวงการบันเทิง ผู้หญิงที่ก้าวมาจากเวทีประกวดของเด็กวัยรุ่นสู่จุดที่ต้องใช้ความสามารถที่เพิ่มมากขึ้นคนนี้บอกว่าเธอต้องการจะหย่อนก้นนั่งในตำแหน่งผู้กำกับดูสักครั้ง

“ยังไม่รู้ว่าจะทำเมื่อไหร่ค่ะ แต่ว่าอยากทำ ก็มีหลายคนเชียร์นะว่าถ้าอยากทำก็ลองเลย จะรออะไร หรือกลัวอะไร แต่ว่าเต้ยรู้สึกว่าถ้าวันนึงประสบการณ์มันพอเหมาะหรืออะไรอำนวยเดี๋ยวก็คงได้ทำ”

ตลอดเวลาที่นั่งสนทนากับเต้ย เรายอมรับกับเธอว่าเธอเติบโตขึ้นจากวันแรกๆ ที่เดินเข้ามาในวงการ โดยเฉพาะทัศนคติและมุมมองในการใช้ชีวิตที่เธอสื่อแสดงมาในผลงานบางส่วนของเธอ เต้ยบอกว่าเธอเติบโตขึ้นตามวัยและประสบการณ์เพราะสรรพสิ่งในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว

“เต้ยว่าไปตามประสบการณ์ชีวิตและไปตามเวลามากกว่าค่ะ เต้ยเชื่อว่าคนที่โตมาพร้อมๆ กัน เขาก็มีความคิดที่โตขึ้นเหมือนกันน่ะ แล้วแต่ว่าจะเจออะไร เราเจอไม่เหมือนกัน แต่ถ้าให้เทียบระหว่างหกปีที่แล้วกับตอนนี้มันต่างกันมากอยู่แล้วค่ะ ขนาดปีที่แล้วกับปีนี้ยังต่างกันมากเลย หมายถึงความคิดอะไรบางอย่าง สมมติว่า เต้ยเคยโหลดเพลงจากอินเทอร์เน็ตเมื่อปีที่แล้ว ปีที่แล้วทำแต่ปีนี้ไม่ได้ทำแล้ว พอมองกลับไป อ่อ ตอนนั้นเราเคยทำแบบนั้นด้วยเหรอ มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ น่ะค่ะ คนเราน่ะ”

“เรื่องที่เต้ยคิดอยู่ตลอดก็คือคนเรายิ่งสูงขึ้นหรือยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้น ถ้าสมมติขึ้นสูงมากๆ เวลาลงมันก็คงเจ็บ แต่เต้ยก็พยายามรู้ตัวอยู่ตลอดว่า โอเค เราอย่าไปยึดติดกับเรื่องนี้ ก็ไม่เป็นไร ถ้าวันนึงคนจะลืมเราก็ได้ หรือว่าจะยังไงก็ได้ค่ะ เต้ยเข้าใจ”

ถ่ายภาพโดย อภิวัฒน์ วิริยะสกุลชัยพร

..........................................

นับถอยหลังกับ 'เต้ย จรินพร'

+พูดถึงเคาท์ดาวน์เต้ยนึกถึงอะไร
“เป็นการนับเพื่อเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ค่ะ”

+วันสุดท้ายของปี วางแผนจะไปเคาท์ดาวน์ที่ไหน กับใคร
“ที่วัด กับครอบครัวค่ะ”

+สถานที่จัดปาร์ตี้เคาท์ดาวน์ในฝัน
“ที่บ้าน แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้วในปีที่แล้ว เป็นช่วงคริสต์มาสค่ะ ตอนนั้นมีเพื่อนมา ครอบครัวของเพื่อนที่เต้ยสนิทด้วย มาอยู่รวมกันก็สนุกสนานมากเลย”

+นอกจากการนับถอยหลังในวันเคาท์ดาวน์เต้ยอยากทำอะไรอีก
“อยู่กับคนที่เราแฮปปี้ อยู่กับครอบครัว อยู่กับเพื่อน หรือใครก็ได้ที่เป็นคนที่เราแฮปปี้”

+ถ้าโลกจะแตกจริงๆ เต้ยจะทำอะไร
“หนูว่าถ้ามันแตกมันคงไม่แตกตูมแล้วทุกๆ คนตายไปพร้อมกันหรอก ถ้ามันจะแตกจริงๆ มันคงค่อยๆ แต่โดยส่วนตัวเต้ยคิดว่าโลกไม่แตกนะ โลกแตกมันคงไม่ใช่การระเบิดออก แต่คงเป็นการที่มีอุทกภัย มีปัญหานู่นนี่เรื่อยๆ มากกว่า ก็คงต้องช่วยครอบครัวตัวเองก่อน ถ้าครอบครัวตัวเองปลอดภัยแล้วก็อาจจะไปช่วยคนอื่น แต่ถ้าอีกสองชั่วโมงจะตายแล้วก็คงอยู่เฉยๆ ค่ะ”
กำลังโหลดความคิดเห็น