xs
xsm
sm
md
lg

สื่อสุดโต่ง: เมื่อนักข่าว "ล้ำเส้น"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โศกนาฏกรรมการเสียชีวิตของนางพยาบาลผู้เคราะห์ร้าย จากผลกระทบการทำข่าวแบบถูกลูกถึงคนชนิดเกินเหตุของสื่อมวลชนออสเตรเลีย เป็นเพียงหนึ่งในกรณีของการหาข่าว แบบสุดโต่ง ไม่เลือกวิธีการ ที่สุดท้ายเข้าข่ายเป็นความเกินเหตุ และเส้นแบ่งระหว่างความถูกกับผิด ก็ไม่บางอีกต่อไป

การเสียชีวิตของ เจซินธา ซัลดันฮา พยาบาลวัย 46 ปี ถือเป็นเรื่องช็อกสังคมอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่าเธอตัดสินใจปลิดชีพตนเองเพราะรู้สึกผิดที่ถูกหลอกให้เผยข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งพระครรภ์ของเจ้าหญิงเคต เพื่อหลอกถามพระอาการประชวรของเจ้าหญิงแคทเธอรีน ดัชเชสส์แห่งเคมบริดจ์ จนเป็นเหตุให้พยาบาลผู้รับโทรศัพท์ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นการเล่นแผลง ๆ ที่บานปลายไปไกลกว่าที่ใคร ๆ จะคาดคิด

เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่ครั้งแรก และแน่นอนว่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย กับการทำงานของสื่อมวลชลที่ล้ำเส้นเกินขอบเขต เพียงเพื่อให้ได้ ข้อมูล หรือภาพถ่าย "ลับเฉพาะ" ที่พิเศษ และไม่เหมือนใคร



ไล่ล่าเสี่ยงตาย

ท้องถนนกลายเป็นที่ไล่ล่าของบรรดาช่างภาพ และสื่อมวลชน กับคนดังแหล่งข่าว จนกลายเป็นความเสี่ยงที่จะอุบัติเหตุขึ้น เมื่อกลางปีที่ผ่านมากลายเป็นเรื่องใหญ่ในท้องถนนลอสแอนเจลิส เมื่อมีเหตุไล่ล่าบนถนนระหว่างกลุ่มนักข่าว และช่างภาพอิสระ กับศิลปินหนุ่มน้อยคนดัง "จัสติน บีเบอร์"

พยานที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่ารถของศิลปินหนุ่มกับรถของสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่งที่ขับตามมา ไล่ล่ากันไปบนถนนสาธารณะแบบไม่สนใจว่าใครจะอยู่บนพื้นผิวถนนอีกบ้าง ทั้งขับโฉบเฉี่ยวแซงรถคันอื่นไปเรื่อย ๆ แม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยอมรับว่าเขาคิดไปว่าต้องเกิดอุบัติเหตุขึ้นแน่ ๆ แต่สุดท้ายก็โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอันตราย

งานนี้ตำรวจได้ให้คำแนะนำว่า คนดังจำนวนมากมักจะตัดสินใจเร่งรถหนีแบบไร้สติเมื่อโดนตามล่า ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เป็นวิธีที่ถูกต้องเท่าไหร่ ทางเลือกที่ดีกว่าก็คือการแจ้งเรื่องให้กับเจ้าหน้าที่ทราบนั่นเอง

ตำรวจที่ดูแลคดีของบีเบอร์ยังให้ความเห็นถึงการไล่ล่าคนดังบนท้องถนนแบบนี้ว่า "เป็นเหตุการณ์ที่มีแต่จะลงเอยด้วยความเศร้า" เช่นเดียวกับการเสียชีวิตของ เจ้าหญิงไดอาน่าเมื่อ 15 ปีก่อนที่หลายคนก็เชื่อว่ามาจากการขับรถหนีสื่อมวลชนเช่นเดียวกัน แม้เหตุผลหลักจะเกี่ยวข้องกับการขับรถอย่างประมาทของอีกฝ่ายก็ตาม



บุกรุกบ้านช่อง-ขโมยข้อมูลส่วนตัว

ฮิวจ์ แกรนต์ เผยถึงความเลวร้ายของสื่อมวลชนเมืองผู้ดีเมื่อกลางปีทีผ่านมา เพื่อเปิดเผยถึงด้านมืดของชีวิตแห่งการเป็นคนดัง ที่ต้องถูกรุกล้ำล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัว ทั้งถูกบุกรุกบ้าน, ลักลอบเปิดเผยข้อมูลทางการแพทย์ และแฮคข้อความทางโทรศัพท์

นักแสดงวัย 51 ปี แสดงความเห็นว่า ในตอนนั้นตนคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะมีทางใดที่หนังสือพิมพ์จะได้เรื่องราวที่ว่าความสัมพันธ์ของเขากับ เจไมมา คาห์น แฟนสาวในขณะนั้นกำลังสั่นคลอน นอกจากข้อความที่เพื่อนสนิทที่เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างคนหนึ่งส่งมาให้กับเขา ยังมีเหตุการณ์ที่มีบุคคลลึกลับบุกรุกเข้าไปในอพาร์ทเมนต์ของเขา แม้จะไม่ได้มีอะไรสูญหายไป แต่ไม่นานหลังจากนั้นหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ฉบับหนึ่ง กลับบรรยายรายละเอียดถึงอพาร์ทเมนต์ของเขาได้อย่างละเอียดและถูกต้อง

แกรนต์ ยังเคยแสดงความเหนื่อยใจ เรื่องลูกของเขาที่เกิดจาก หงถิงหลัน แฟนสาวเชื้อสายจีน ซึ่งเป็นที่สนอกสนใจของบรรดาสื่อมวลชนทุกสำนัก จนเขาต้องขออำนาจของศาลเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวเอาไว้ ซึ่งสุดท้ายแล้วเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวเอาไว้ เขาถึงขั้นไม่สามารถเดินทางไปโรงพยาบาลในวันที่ลูกลืมตาดูโลกเมื่อปลายเดือน ก.ย. ได้ทันที แต่ต้องรอไปอีก 1 วันแทน



สะกดรอยตาม-แค่มีกล้องถ่ายรูปก็กลายเป็นเรื่องถูกกฏหมาย

เซียนน่า มิลเลอร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักจากหนังอย่าง G.I. Joe ยอมรับว่าเธอต้องอยู่อย่างวิตกจริตหลายปีจากการมีปาปารัซซี่ติดตามมาถึงบริเวณบ้าน และต้องถูกดักฟังโทรศัพท์ด้วย

ดาราสาวสวย เปิดเผยว่าตลอดหลายปีของการเป็นคนดัง เธอต้องถูกชายประมาณ 10 ถึง 15 คนคอยตามล่าแบบไม่บันยะบันยัง ... บางครั้งก็ข่มเหงกันด้วยคำพูด ในบางครั้งที่ในตอนกลางค่ำกลางคืน เธอต้องวิ่งอยู่ในถนนมืดคนเดียว โดยมีผู้ชาย 10 คน คอยไล่ตาม ซึ่งก็เพราะแค่มีกล้องอยู่ในมือ มันจึงกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายไปได้

ความสัมพันธ์ของเธอกับ จู๊ด ลอว์ คือประเด็นส่วนตัวที่สื่อมวลชนให้ความสนใจมาตลอด ซึ่งดาราสาวชาวอังกฤษก็ยอมรับว่า เธอรู้สึกผิดขึ้นไปอีกเพราะที่ผ่านมาเคยโทษคนใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือคนในครอบครัวว่าอาจจะเป็นคนปล่อยข้อมูลส่วนตัวให้กับสื่อทราบ ต่อมาถึงได้รู้ว่าเธอถูกแฮคข้อมูลทางโทรศัพท์มือถือ จนเข้าถึงส่วนข้อความเสียง ซึ่งมิลเลอร์เผยความรู้สึกว่า เรื่องแบบนี้เป็นการละเมิดขั้นร้ายแรง และทำให้ชีวิตของเธอต้องตกอยู่ในความหวาดระแวง และวิตกกังวลตลอดเวลา



คุ้ยถังขยะคนดัง

สำหรับกรณีของ สตีฟ คูแกน ได้เปิดเผยว่าเขาเคยถูกนักข่าวและปาปารัสซี่รังควานหนัก ถึงขั้นตามมาที่บ้าน และคุ้ยถังขยะ เพื่อหา "หลักฐาน" สำหรับข่าวลือว่าเขา ชวนเพื่อนนักแสดงมาเสพยากันที่บ้านนั่นเอง

โดยนักแสดงซึ่งเป็นที่รู้จักจากหนังอเมริกันหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Night at the Museum หรือ Tropic Thunder เคยตกเป็นข่าวในหน้าสื่อดัง Daily Mail เมื่อ 3 ปีก่อน ว่าร่วมใช้ยาเสพติดผิดกฎหมายกับเพื่อนนักแสดงชาวสหรัฐฯ โอเวน วิลสัน ซึ่งในตอนนั้น คูแกน ยืนกรานว่าเขาไม่ได้พบกับอดีตเพื่อนร่วมงานคนนี้เลยในระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา ยิ่งเรื่องใช้ยาเสพติดด้วยกันยิ่งเป็นไปไม่ได้

เช่นเดียวกับการดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งดาวตลกคนดังมองว่าไม่ได้ช่วยอะไรมากเหมือนกัน เพราะการพยายามใช้มาตรการทางกฎหมายก็เหมือนยิ่งจะทำให้ข่าวเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาอีก บางกรณีที่ได้ผลที่สุดก็คือไม่ต้องทำอะไร แล้วเรื่องราวแบบนี้มันก็จะผ่านไปเอง เขายังบอกด้วยว่า "ถ้าคุณบ่นมันก็จะเป็นการดันเรื่องให้ไปข้างหน้าอีก เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์อีกเรื่อย ๆ"



เข้าถึงแม่ไม่ได้-ลูกก็ยังดี

เจ.เค. โรวลิ่ง นักเขียนดังเจ้าของนิยายเยาวชนชุด Harry Potter ก็เป็นอีกคนที่ต้องปวดหัวกับการทำหน้าที่ของสื่อ กัน โดยเฉพาะที่มีผลต่อลูก ๆ

และสิ่งที่ทำให้ เจเค. โรวลิ่ง ไม่พอใจที่สุดก็คือการที่สื่อละเมิดไปถึงสิทธิส่วนตัวของลูก ๆ ทั้ง 3 คน โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่สร้างความไม่พอใจให้กับเธอมากที่สุด เมื่อลูกสาวคนโตกลับมาบ้าน โดยมีจดหมายของสื่อใส่มาในกระเป๋าด้วย "ฉันรู้สึกเหมือนถูกละเมิด ... มันยากมากที่จะพูดว่าฉันโกรธมากแค่ไหน เมื่อรู้สึกว่าโรงเรียนของลูกสาวอายุ 5 ขวบ ไม่ได้เป็นสถานที่ปลอดภัยจากสื่อมวลชนอีกต่อไป" เธอยังกล่าวต่อไปอีกว่าเมื่อคลอดลูกคนเล็ก ตนเองก็เริ่มรู้สึกว่าเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ "ถูกปิดล้อม และจับเป็นตัวประกัน"

ที่ผ่านมา โรวลิ่ง เคยฟ้องร้องสื่อมวลชนไปหลายสำนัก ซึ่งตีพิมพ์ภาพของเธอและลูกโดยไม่ได้รับอนุญาต "ยากที่จะอธิบายค่ะ สำหรับบางคนที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้เคยเจอประสบการณ์แบบนี้มาก่อน มันคือภัยคุกคามอันร้ายแรง เราไม่ต้องการการปฏิบัติที่พิเศษอะไร แต่ขอให้ปฏิบัติกับพวกเราอย่างปกติธรรมดาก็พอแล้ว"



กวนโมโหดาราให้เป็นข่าว

วิล สมิธ ถึงขั้นระเบิดอารมณ์แบบไม่ไว้หน้าใคร หลังโดนพิธีกรจอมอำชาวรัสเซียแนบแก้ม แต่นักแสดงดังผลักออกอย่างแรงหลังรู้ตัวว่าพิธีกรจอมอำพยายามจูบปากก่อนที่เขาจะฟาดหลังมือเข้าให้ฉาดใหญ่

โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นขณะที่ วิล สมิธ กำลังเดินพรมแดงในมอสโก เพื่อโปรโมตภาพยนตร์เรื่อง Men In Black 3 ซึ่งเขาเดินทักทายสื่อที่มารอสัมภาษณ์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึง วิทัลลี ซีเดียก พิธีกรจอมอำซึ่งเขาทักทายวิล ด้วยการเข้าไปกอดพร้อมพยายามจูบเขา ซึ่งตอนแรกวิล ทักทายเขาเป็นอย่างดี ยอมให้กอดและแนบแก้มอย่างกันเอง ก่อนที่เขาจะเริ่มรู้ตัวผลักอกพิธีกรคนดังกล่าวออกไปพร้อมกับฟาดหลังมือบันดาลโทสะใส่หน้าพิธีกรรายนี้ไปอีกฉาดใหญ่

สำหรับพิธีกรจอมอำรายนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ชอบขโมยจูบคนดังตอนที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว นอกจากนั้นเขายังเคยสร้างชื่อด้านลบมาแล้วมากมาย กับการหาเรื่องคนดัง รวมถึงที่เคยนำช่อดอกไฮเดรนเยียไปมอบให้ มาดอนนา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นดอกไม้ที่เธอมาดอนนาเกลียด เห็นได้ชัดจากที่ มาดอนน่า ได้รับช่อดอกไม้ดังกล่าวจากพิธีกรจอมอำรายนี้ เธอรับมาด้วยสีหน้าที่กระอักกระอ่วนบอกไม่ถูก ก่อนจะโยนช่อดอกไม้ดังกล่าวทิ้งไว้ใต้โต๊ะ ซึ่งต่อมาเธอได้โพสต์คลิปขอโทษโดยใช้น้ำเสียงเสียดสี พร้อมระบุว่าเธอเกลียดดอกไม้ชนิดนี้เป็นที่สุด



สวมรอยต้มตุ๋น

สเวน โกรัน อิริคส์สัน ผู้จัดการทีมฟุตบอลที่มีข่าวด้านชีวิตส่วนตัวมากที่สุดเองก็เคยต้องเผชิญกับการเล่นแรงของสื่ออังกฤษ เมื่อครั้งตำแหน่งรับหน้าที่กุนซือทีมชาติ ที่นักข่าวของหนังสือพิมพ์ "นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์" ปลอมตัวเป็น ชีคอาหรับ เข้าไปหลอกล่อล้วงตับให้เผยความลับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการวิจารณ์นักเตะ "สิงโตคำราม" เรียงตัว รวมถึงบอกว่าต้องการคุมทีม แอสตัน วิลล่าและให้เศรษฐีแทบตะวันออกกลางไปเทกโอเวอร์ เพราะเขาจะไปทำทีมให้หลังจากจบศึกฟุตบอล 2006 ที่ประเทศ เยอรมัน ในช่วงกลางปีนี้

ในเหตุการณ์ครั้งนั้น กุนซือชาวสวีดิชหลุดปากแนะนำให้ชีคอาหรับตัวปลอมไปเทกโอเวอร์สิงห์ผงาด พร้อมเสนอตัวยินดีที่ไปคุมทัพให้หากได้ค่าเหนื่อยงดงาม และการันตีว่าเขาจะสามารถดึงนักเตะอย่าง เดวิด เบ็คแฮมและไมเคิล โอเว่น มาร่วมทัพได้ โดยเฉพาะรายหลังที่ตอนนั้นเริ่มไม่มีความสุขกับนิวคาสเซิลแล้ว แถมระบุว่าที่กองหน้าทีมชาติอังกฤษย้ายซบถิ่นเซนต์ เจมส์ ปาร์ค มาจากเหตุผลในเรื่องเงินเพียงอย่างเดียว

นอกจากนั้น สเวน ยังถูกหลอกให้นินทา ริโอ เฟอร์ดินานด์ ว่าเป็นนักเตะจอมขี้เกียจ ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ ค่าตัวแพงเกินฝีเท้า และ เวย์น รูนี่ย์ นั้นเติบโตมาจากครอบครัวระดับล่าง



ตีพิมพ์ภาพต้องห้าม-รวมหัวแก๊งมาเฟีย

หนึ่งในเหตุการณ์ที่อื้อฉาวที่สุดในวงการบันเทิงฮ่องกง ซึ่งเกิดขึ้นในเดือน เม.ย. ปี 1990 ขณะที่ หลิวเจียหลิง ในวัย 25 ปีกำลังมีชื่อเสียงในวงการอย่างเต็มที่ ได้ถูกลักพาตัว ก่อนที่เธอจะถูกปิดตาแล้วจับแก้ผ้าถ่ายรูปเอาไว้โดยคนของแก๊งมาเฟีย ซึ่งตัวของ หลิวเจียหลิง เองกล่าวว่าเธอรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องครั้งนั้น พร้อมเล่าว่าเหตุที่เกิดขึ้นมาจากการที่เธอปฏิเสธจะรับเล่นหนังของ "ผู้ทรงอิทธิพล" รายหนึ่ง แต่เธอก็ยังไม่ยอมเปิดเผยว่าเป็นใครกันแน่

อย่างไรก็ตามขณะที่เรื่องราวดังกล่าวถูกเก็บเป็นความลับกว่า 12 ปี แต่ในปี 2002 มันได้กลายเป็นข่าวช็อกวงการของเกาะฮ่องกง เมื่อ East Week นิตยสาร ที่อยู่ในสังกัดของ อัลเบิร์ต เหยียง เจ้าพ่อวงการสื่อแห่งอาณาจักร Emperor Entertainment Group ได้นำภาพดังกล่าวมาตีพิมพ์ลงหน้าปกจนเรื่องกลับมาแดงอีกครั้ง

แม้นิตยสารเล่มที่มีปัญหาจะขายดิบขายดี และราคาหนังสือมือสองก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ แต่การตีพิมพ์ภาพต้องห้าม ก็ทำให้เกิดกระแสความเคลื่อนไหวของคนบันเทิงกว่า 500 ชีวิต ที่ถือป้ายเพื่อประท้วงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณสำนักงานเขตปกครองพิเศษ และในที่สุด Eastweek ที่ถูกกระแสสังคมต่อต้านอย่างหนัก ก็ลงเอยด้วยการหยุดพิมพ์ไประยะเวลาหนึ่ง ส่วนบรรณาธิการและทีมงานหลาย ๆ คน ก็ขอลาออกจากหน้าที่ไป



พ่อ,แม่หัวใจสลายความหวังลูกยังมีชีวิตอยู่ดับวูบ ที่แท้เป็นสื่อแอบแฮกค์มือถือหาข้อมูล

อย่างไรก็ตามไม่ใช่เพียงคนดังเท่านั้น แต่ผู้ปกครองของเด็กสาววัย 13 ปี "มิลลี่ โดว์เลอร์" ที่หายตัวไป ก็กลายเป็นเหยื่อของการทำงานแบบล้ำเส้นของสื่อเช่นเดียวกัน

พ่อแม่ของ มิลลี่ ดาวเลอร์ ต้องทนทุกข์อยู่กับการหายตัวไปของลูกสาวอย่างไร้ร่องรอยตั้งแต่เมื่อปี 2002 แต่แล้วในวันหนึ่งพวกเขากลับมีความหวังขึ้นอีกครั้ง ว่าลูกสาวอาจจะยังมีชีวิตอยู่ เมื่อจู่ ๆ ก็สามารถส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือของลูกได้ ทั้ง ๆ ที่ Mailbox ในโทรศัพท์ควรจะเต็มไปแล้ว

แต่สุดท้ายพ่อและแม่ของ ดาวเลอร์ จึงต้องหัวใจแตกสลายอีกครั้ง เมื่อความหวังพังทลายลงหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า มิลลี่ โดว์เลอร์ ได้เสียชีวิตไปแล้ว และกลายเป็นว่าคนที่คอยลบข้อความในโทรศัพท์ก็คือคนในหนังสือพิมพ์ News of the World ที่ได้แฮคเข้าไปในกล่องข้อความเสียงของโทรศัพท์ที่สาวน้อยซึ่งหายตัวไปเป็นเจ้าของนั่นเอง

ต่อมา บ๊อบ และเซลลี่ โดว์เลอร์ คือพยานรายแรกที่ขึ้นให้ปากคำกับคณะกรรมมาธิการของรัฐสภาอังกฤษ ในความพยายามเพื่อแก้ไขปัญหาการทำงานอันล้ำเส้นของสื่อมวลชนเมืองผู้ดี ซึ่งทั้งสองกล่าวว่าไม่ได้มีแค่เพียงเรื่องการถูกแฮคข้อความเสียงทางโทรศัพท์เท่านั้น แต่ตนเองยังถูกช่างภาพแอบถ่ายรูปขณะกำลังพยายามตามหาลูกสาวด้วย "มันเหมือนกับว่าเราถูกรุกล้ำ เข้าไปในความเศร้าโศกที่เป็นส่วนตัวมาก ๆ"

เรื่องอื้อฉาวครั้งนั้นทำให้มีการตั้งข้อหานักข่าว และกองบรรณาธิการของ News of the World มากกว่า 10 คน นอกจากนั้นผู้บริหารที่ระดับสูงหลายคนยังต้องลาออก ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงของตำรวจลอนดอนอีก 2 รายที่ตกงาน เช่นเดียวกับที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีแคเมอรอน และหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี 1843 ก็ต้องปิดตัวลงในที่สุด

เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย
ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540
ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก
ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000
*ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก




ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
กำลังโหลดความคิดเห็น