xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ "อุ๋ย" นนทรีย์ นิมิบุตร กับ “ยังบาว”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มีเสียงเล่าลือมากมายเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์เรื่อง "ยังบาว" หนึ่งในนั้นคือกระบวนการสร้างพล็อต เขียนบท และขั้นตอนการถ่ายทำที่ไร้ซึ่งระบบระเบียบ ก่อนหน้าที่นักร้องชื่อดัง "ตูน บอดี้สแลม" จะถอนตัวออกจากโปรเจกต์นี้ ผู้กำกับมากฝีมือ "อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร" ซึ่งเคยกระโดดเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ดังกล่าวในฐานะผู้อำนวยการสร้างก็ได้ถอยออกไปจากโปรเจกต์นี้หลังจากที่จัดงานแถลงข่าวไปได้เพียงหนึ่งเดือน เสียงเล่าลือเกี่ยวกับการทำงานของทีมผู้สร้างยังบาวมีส่วนในการถอนตัวของผู้กำกับชื่อดังหรือไม่ หรืออะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของการตัดสินใจแยกทางกับโปรเจกต์ที่นนทรีย์ก็ยอมรับเองว่า "มันเป็นหนังที่หนึ่งชาติมีได้ครั้งเดียว" เช่นนี้ มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่จะตอบได้

เพราะอะไรถึงถอนตัวออกจากโปรเจกต์ "ยังบาว"
“ไม่มีอะไรมากครับ แค่เรามองหนังไม่เหมือนกัน เรามองความเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างกันไปกับผู้กำกับน่ะครับ เพราะว่าตัวเขาก็มีแนวทางในการทำงานของเขาแล้ว มีบทของเขาแล้ว ผมก็พยายามเข้าไปแล้วก็บอกว่า เออ! ผมว่าบทยังไม่ได้นะ เราก็เลยพยายามเข้าไปปรับเปลี่ยนบทใหม่ขึ้นมา แล้วพอทำไปแล้วก็รู้สึกได้เลยว่าเรามองหนังคนละแบบ เพราะฉะนั้นก็เลยบอกว่าถ้ายังทำงานด้วยกันเดี๋ยวก็จะไม่สบายใจกันเปล่าๆ ก็แค่นั้นแหละครับ คือเรามองหนังไม่เหมือนกันมันก็คงทำด้วยกันไม่ได้"

จุดไหนของหนังที่คุณกับผู้กำกับมองไม่เหมือนกัน
“บทนะครับ บทเป็นเรื่องสำคัญมาก บทภาพยนตร์ต้องมีโครงสร้างบทที่ดีเพื่อที่จะนำพาไปสู่อะไรบางอย่าง เช่น เราต้องตั้งขึ้นมาว่าเราจะทำหนังเรื่องนี้เพื่ออะไร เพื่อจะให้คนดูได้รับอะไร รู้สึกอย่างไร แล้วมันมีประโยชน์อะไรกับหนังเรื่องนี้ ทำไมหนังเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ทีนี้ในจุดของคอนเซ็ปต์หรือวัตถุประสงค์หลักเรามองต่างกัน คือแน่นอนว่าหนังต้องมีความบันเทิงนะครับ แต่ในความบันเทิงมันจะต้องมีอะไรบางอย่างซึ่งสามารถจะบอกกับคนดูได้ว่าเราจะพูดกับเขาว่าอะไร ตรงจุดนี้คือสิ่งที่เรามองไม่เหมือนกันน่ะครับ ผมก็มองว่ามันควรจะมีโครงสร้าง โครงสร้างที่ถูกต้องมันจะนำพาหนังไปสู่จุดที่ถูกต้อง"

หมายความว่าโครงสร้างที่คุณให้ความสำคัญ ผู้กำกับไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องสำคัญเลย
“ผมเชื่อว่าเขาคงมีวัตถุประสงค์ของเขาอยู่ตั้งแต่ต้นนะครับว่าเขาอยากได้อะไรซึ่งในที่สุดแล้วผมก็ไม่ทราบนะครับว่าเขาอยากได้อะไร นั่นคือจุดที่ผมไม่สามารถทำได้ ผมเลยคิดว่า เอ๊ะ! อย่างนั้นผมถอยออกมาดีกว่า เพราะว่าตั้งแต่ต้นเขาก็มาตามทางของเขาแบบนี้แล้วผมเองก็บอกว่ามันควรจะทำอย่างไร แต่สองสามครั้งที่เอาบทมาไล่ดูโครงสร้างดูอะไรกัน สุดท้ายก็ทราบว่ามันก็กลับไปที่เดิมนะครับ เขายังยืนยันในสิ่งที่เขาคิดอยู่ ผมคิดว่าถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ถ้าเกิดเขามีจุดประสงค์ที่แน่นอนอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้ผมหรอกเพราะว่าให้ใครทำก็ได้ เหมือนเมดทูออเดอร์เท่านั้นเอง อยากให้ทำอย่างนี้อยู่แล้ว มีแบบอยู่แล้ว ใครที่ไหนก็ทำได้ ถ้าผมทำผมก็จะมีมุมมอง มีวิธีการทำหนังแบบที่เราคิดว่ามันควรจะเป็นน่ะครับ"

จำได้ไหมว่าตอนแรกที่มาติดต่อให้คุณเป็นโปรดิวเซอร์ เขาพูดถึงโปรเจกต์ยังบาวเอาไว้อย่างไร
“เขาก็ส่งบทมาให้อ่านนะครับ แล้วก็คุยกันว่าใช้งบประมาณเท่าไหร่ จะทำได้ไหม จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วผมก็มีหน้าที่จัดหาทีมทั้งหมดเข้าไปนะครับ ผมก็เอาทีมงานของผมที่เคยทำงานด้วยกันเข้าไปทำงานนี้ แล้วเวลาทำงานผมก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะโอเพนให้กับทุกๆ ความคิดของทีมงานนะครับ เราก็จะรับฟังความคิดของทุกคนโดยที่เราเป็นคนสรุป หน้าที่ตามปกติของเราคือเราจะฟังทีมงานแล้วเราจะมองโปรเจกต์นี้ว่ามันถูกต้องหรือเปล่า ก็ไม่มีอะไรครับ เขาก็เอาบทมาให้อ่าน อันดับแรกที่ผมได้อ่านผมก็บอกเขาไปว่าบทมันไม่ได้ บทมันอ่อนมาก มันไม่มีโครงสร้างของหนัง ผมก็พูดไปตรงๆ นะครับ แรกๆ เขาก็เหมือนจะรับฟังนะครับ แต่ผมเชื่อว่าในที่สุดเขาก็คงมีภาพของเขาอยู่แล้ว ในเมื่อผมไม่สามารถที่จะเข้าไปทำอะไรก็เลยถอนตัวออกมา"

ในช่วงแรกที่คุยกันว่าจะต้องมีการปรับบทเขาก็ยินดี
“ใช่ครับ แรกๆ เขาก็เห็นด้วยว่าบทมันไม่ได้ บทมันไม่โอเค ซึ่งเราอธิบายก่อนนะ แล้วก็ถามด้วยว่าเขายินดีที่จะปรับ ยินดีที่จะแก้ไข ยินดีที่จะให้เขียนใหม่ไหม เขาก็บอกว่ายินดี แต่ว่าในที่สุดพอเราเขียนไป เขียนไปเสร็จเรียบร้อยด้วยนะครับ พอขณะที่เราจะเอาบทนี้ไปเสนอให้เขาอ่าน ปรากฏว่าพอไปถึงเขาก็นั่งเล่าเรื่องให้ผมฟัง ซึ่งมันเหมือนกับว่า ผมไม่ชอบทะเลาะกับใครนะครับ มันไม่เชิงทะเลาะหรอกครับแต่เป็นลักษณะที่ผมไปทำงาน ถามว่าทำได้ไหมก็ทำได้นะ ทำตามออเดอร์น่ะ ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรหรอก ก็ไปถ่ายมา เขาอยากได้อะไรก็ทำไป เพียงแต่เรารู้สึกว่าถ้ามันมีชื่อของเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เราน่าจะทำหนังที่มีทิศทางที่มันถูกต้องนะครับ"

คุณเสียดายโปรเจกต์ยังบาวไหม
“ตอบตรงๆ เลยนะว่าเสียดาย เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นโปรเจกต์ที่ชาตินี้มีได้ครั้งเดียวน่ะ มันเป็นหนังที่ใครก็ต้องดูนะผมว่า ใครๆ ก็อยากดูน่ะ หนึ่งก็คือคาราบาว วิถีชีวิตของคาราบาวเป็นอย่างไร ผมว่ามันเป็นหนทางของการต่อสู้นะ ทั้งทางด้านชีวิตแล้วก็ทางด้านของดนตรีนะ ผมว่าตรงนั้นเป็นจุดสำคัญที่จะชี้ให้เห็นว่าคาราบาวมีความเป็นมาอย่างไร ในทางความคิด การดำเนินชีวิต ผมว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ขณะเดียวกัน เราก็ได้ทั้งตูน ในขณะนั้นนะครับ ได้ทั้งเป้ ได้ทั้งฮิวโก้ ซึ่งเราก็ได้พูดคุยกัน ได้ทำการเวิร์กชอปกันในระดับหนึ่ง ซึ่งผมก็แฮปปี้กับทุกคน แล้วก็คิดตลอดว่าดีจังเลยที่มีโปรเจกต์แบบนี้เกิดขึ้น มันไม่ได้มีบ่อยๆ นะครับ ถามว่าเสียดายไหม ก็เสียดายในโปรเจกต์ที่น่าจะเกิดขึ้น มันน่าจะสนุกนะครับ คือตอนไอเดียผมมันจะเป็นหนังสไตล์น่ะครับ ผมว่าหนังแบบนี้ต้องเป็นหนังสไตล์ใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยมีในหนังไทย แล้วมันก็จะมีเพลง มีอะไรต่างๆ มันน่าสนุกครับ แต่ก็ไม่เป็นไร เข้าใจ ผมก็รอดู ตอนนี้ผมก็อยากดูนะครับ"

ตอนนี้คุณถอนตัวออกจากโปรเจกต์นี้ 100% แล้วใช่ไหม
“ครับผม ถอนมานานแล้วนะครับ สักพักหนึ่งแล้วครับ ถอนมาก่อนหน้าที่ตูนจะถอนตัวออกไปสักพักแล้วด้วยครับ"
........................................................

ที่มานิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 165 วันที่ 1 พฤศจิกายน - 7 ธันวาคม 2555
กำลังโหลดความคิดเห็น