คราวที่แล้วผมทิ้งเรื่องของการจับทหารที่ยอมจำนนของฝ่ายฉินจำนวน 200,000 แสนคนฝังทั้งเป็น ทำให้ชื่อเสียงของเซี่ยงหวี่นั้นยกขึ้นไปอีกระดับขั้น จากยอดขุนศึกที่เก่งที่สุดในช่วงเวลานั้น กลายเป็นฉายาอสูรสงครามชนิดที่คำร่ำลือเกี่ยวกับยอดทหารผู้นี้ว่ากันเกินจริงไปมากมาย
แต่อย่างที่บอกไปแล้วว่า สุดท้ายผู้ที่บันทึกประวัติศาสตร์เอาไว้ก็มักจะเป็นผู้ชนะเสมอ ถามว่าใครละที่จะเป็นผู้ทำประวัติศาสตร์ถ้าเผื่อไม่ใช่ฝ่ายหลิวปังซึ่งเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงของรัฐฉินหรือเมืองเสียนหยางได้ก่อนเซี่ยงหวี่
บทความชิ้นนี้มองจากสายตาของคนนอก ซึ่งอาจจะแปร่งไปบ้างจากที่หลายคนได้อ่านพงศาวดารมา ซึ่งส่วนใหญ่พงศาวดารนั้นมักจะนำเสนอภาพแต่เพียงด้านเดียว ไม่ได้เสนอให้เกิดความเข้าใจทั้งฝ่ายผู้แพ้และผู้ชนะ ยกตัวอย่างในเรื่องของการฝังทั้งเป็นนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐฉินมีโอกาสโงหัวขึ้นอีกเลย ขณะที่อีกส่วนก็เพราะไม่ต้องการเลี้ยงดูเชลยศึกเหล่านี้ให้เป็นภาระในกองทัพ
ขณะเดียวกันการที่กองทัพของเซี่ยงหวี่ต้องถล่มและเข้าปลนทุกเมืองที่ขวางหน้าก็ด้วยเหตุผลเดียวคือการใช้สงครามหล่อเลี้ยงสงครามทั้งตัดกำลังฝ่ายฉินและเพิ่มเสบียงให้กับตัวเอง
เมื่อการข่าวของทางเซี่ยงหวี่ทราบว่าการเดินทัพเข้าเสียนหยางของตัวเองช้ากว่าฝ่ายหลิวปัง ด้วยเหตุที่ต้องทำศึกและเดินทัพอ้อมมาตลอดทางนัน ส่งผลให้ตัวละครอย่างหลิวปังนั้นเกิดชัดเจนขึ้นมาว่า พร้อมที่จะเข้ามาเบียดแย่งในตำแหน่งผู้นำสูงสุดของฝ่ายฉู่หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะก้าวไปถึงผู้นำสูงสุดของประเทศแบบทีจิ๋นซีฮ่องเต้เคยทำมาได้ งานนี้เซี่ยงหวี่ไม่มีทางเลือกนอกจากนำกองทัพทั้งหมดของเขาเข้าโจมตีเสียนหยางและจัดการกับหลิวปังเสีย
แต่ฟ่านเจิง (Fan Zheng) กุนซือฝ่ายเซี่ยงหวี่นั้นเสนอแผนการให้เรื่องง่ายกว่านั้น นั่นคือ จัดงานเลี้ยงฉลองให้แก่หลิวปังเสียเลย โดยหลิวปังจะได้เป็นอ๋องคนใหม่ในพื้นที่เดิมของแคว้นฉินตามคำสัญญาของอ๋องฉู่ผู้เป็นนายเหนือหัวของหลิวปังและเซี่ยงหวี่ เหตุเพราะเขาเข้ามาสู่เสียนหยางได้ก่อน การจัดเลี้ยงฉลองนี้จะเปิดโอกาสให้เซี่ยงหวี่ได้ใช้ฝีมือของเขาสังหารหลิวปังสัยเลย งานเลี้ยงมรณะที่ว่าเรียกว่า “งานเลี้ยงหงเหมิน( Feast at Hong Gate)”
งานเลี้ยงมรณะแบบนี้ ทางฝ่ายหลิวปังก็ทราบว่าเป็นไฟท์บังคับ เพราะถ้าไม่ไปร่วงานเซี่ยงหวี่ก็จะถือโอกาสยกกองทัพเข้ามาสังหารฝ่ายหลิวปัง แต่ถ้าเผื่อไปโอกาศที่จะโดนฟันคอขาดก็มีสูงอีกเช่นกัน แต่กระนั้นจางเหลียงกุนซือของฝ่ายหลิวปังก็มั่นใจว่าพวกเขาจะแก้ปัญหาให้แก่นายของเขาได้สำเร็จแน่ เหตุเพราะเซี่ยงหวี่มีจุดอ่อนที่หลิวปังไม่มี
จุดอ่อนที่ว่าก็คือคำว่า “น้ำใจ น้ำมิตร เมตตา และการเชื่อในคำมั่นสัญญา”
คนที่มองจุดอ่อนของเซี่ยงหวี่ได้เด็ดขาด กลับเป็นหันซิ่น แม่ทัพที่อยู่ปีกเดียวกับหลิวปัง และเคยสู้รบปรบมือกับกองกำลังของเซี่ยงหวี่มาก่อน ทำบันทึกไว้อย่างเป็นทางการและซือหม่าเชี่ยนนำมาถ่ายทอดอีกทีว่า เซี่ยงหวี่นั้นเป็นเพอสูรสงครามตัวจริงที่เพียงคนเดียวก็สามารถข่มขวัญทหารฝ่ายตรงข้ามนับหมื่นได้ ทว่าเมื่อพบกับคนที่เขาเห็นว่าอ่อนแอกว่า เขาก็จะกลายเป็นคนอ่อนแอ จิตใจโลเล มีเมตตายิ่งกว่าทุกคนที่หันซิ่นเคยพบมา
กำหนดการสังหารนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อมีการแสดงการร่ายรำดาบหลังจากกินดื่มกันไปแล้วพักใหญ่ แต่เพียงแค่ชนสุราผ่านไปสามรอบจางเหลียงและหลิวปังก็เริ่มจู่โจมจุดอ่อนแรกของเซี่ยงหวี่ทันที นั่นคือ การประกาศยกความดีความชอบให้เซี่ยงหวี่ที่รับศึกกับจางฮั่นจนฝ่ายฉินไม่มีทหารเหลือ การเดินทางของเขาได้มาจากโชคที่ทางเซี่ยงหวี่หยิบยื่นให้ เมื่อดื่มสุราผ่านไปอีกสามรอบหลิวปังก็ยกเหตุผลถึงการเข้ามาควบคุมจุดยุทธศาสตร์ต่างๆก็เพื่อให้เซี่ยงหวี่เข้ามาสู่เสียนหยางอย่างสะดวกและปลอดภัย หลัวปังย้ำว่าเขาไม่เคยลืม “น้ำมิตร”และ “น้ำใจ”ของเซี่ยงหวี่ รวมถึงการสาบานเป็นพี่เป็นน้องในกองทัพเลยแม้แต่น้อย การเข้ามารักษาความปลอดภัยให้กับเซี่ยงหวี่เป็นเรื่องที่เขาควรจะกระทำ
เซี่ยงหวี่นั้นแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยคิดทำร้ายลูกน้องตนเอง ไม่ขายเพื่อน ไม่ทรยศพวกพ้องอยู่แล้ว เมื่อหลิวปังย้ำแล้วย้ำอีกในเรื่องของความเป็นเพื่อน น้ำใจ และมิตรสหายก็ทำให้ความคิดที่จะลงดาบสังหารหลิวปังต้องคลายลง ฟ่านเจิงกุนซือของเซี่ยงหวี่นั้นขยิบตาแล้วขยิบตาอีกให้เซี่ยงหวี่ลงมือ สุดท้ายเมื่อนายไม่ทำฟ่านเจิงก็เลยกระซิบให้เซี่ยงจวงซึ่งเป็นญาติของเซี่ยงหวี่แถมเป็นมือสังหารที่เตรียมไว้ออกมารำดาบทันที
ถึงตรงนี้ตำนานนั้นมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน บางตำราบอกว่า เซี่ยงป๋อ ญาติข้างพ่อของเซี่ยงหวี่เป็นคนเอาตัวเข้ากันกระบวนดาบสังหารนั้นเหตุเพราะแอบรับสินบนของฝ่ายหลิวปังลับหลัง ขณะที่อีกตำราซึ่งรายละเอียดเยอะกว่าบอกว่าฝานไขว้ (Fan Kuai) ซึ่งพรวดพราดเข้ามาในกระโจมจัดงานเป็นคนชักดาบออกมารับดาบสังหารของเซี่ยงจวง พร้อมตะโกนด่าเซี่ยงหวี่ว่า หลงเชื่อคำของคนโฉดที่ต้องการยุแหย่ให้ทั้งคู่แตกแยก เรื่องเมื่อมาถึงขั้นนี้เซี่ยงหวี่ถึงกับสั่งให้หยุดการแสดงระบำดาบพร้อมรินสุราคารวะฝานไขว้และหลิวปังทันที
นักประวัติศาสตร์รุ่นหลังหลายคนให้ความเห็นว่าเหตุการณ์งานเลี้ยงที่หงเหมินนี้เองที่แสดงให้เห็นว่าเซี่ยงหวี่ขาดคุณสมบัติของการเป็นนักการเมือง เพราะถ้ากลับกันคนที่ได้เปรียบเป็นหลิวปังเขาจะไม่สนเรื่องศักดิ์ศรี น้ำมิตร ลูกผู้ชาย อะไรเลยในสายตาของหลิวปังมีแต่ปากปราศัยและมือที่พร้อมจะฟาดกระบี่ลงไปที่ศัตรูเท่านั้น
แต่นี่เซี่ยงหวี่คิดอยู่เสมอว่า เขาไม่ได้ถูกทรยศ เขาอายมากถ้าจะให้ใครๆ ชี้หน้าว่าเขาฆ่าเพื่อน หักหลังพี่น้อง เซี่ยงหวี่ไม่โง่หรอกครับ เพียงแต่เขายึดมั่นถือมั่นกับคุณธรรมต่อมิตรสหายมากเกินไปนั่นทำให้เขาพลาดโอกาสอันดีที่จะได้ครองแผ่นดิน
หลังเหตุการณ์นี้หลิวปังได้ทีก็หนีกลับไปที่ค่ายของตัวเอง ก่อนจากไปหลิวปังมอบทั้งหยกประดับชิ้นงามและถ้วยหยกให้กับจางเหลียงนำมามอบให้ฟ่านเจิง ๆ รับถ้วยปุ๊ปถึงกับชักดาบฟันขาดเป็นสองท่อนพร้อมกล่าวไว้ว่า ชะรอยอนาคตแผ่นดินจะตกเป็นของหลิวปังเป็นแม่นมั่น
เรื่องราวที่โดนโจมตีอย่างหนักอีกอย่างหลังจากที่เซี่ยงหวี่เข้ามาที่เมืองเสียนหยางอีกอย่างก็คือการเผาวังและสุสานที่จิ๋นซีสร้างไว้หวังว่าจะเป็นที่เก็บความอมตะของเขาตลอดไป ปรากฏว่าเซี่ยงหวี่แกเผาเสียเหี้ยนชนิดว่ากว่าจะให้ควันหมดไปจากเมืองเสียนหยางก็ปาเข้าไป 3 เดือน จากนั้นก็ลงมือประหารอ๋องของฉินและคนในครอบครัวจบราชวงศ์อันยิ่งใหญ่นี้อย่างโหดร้าย ตรงนี้เองที่ทำให้คนในแถบกวนจงไม่สามารถจะยอมรับกับเซี่ยงหวี่ได้เลย ถึงขนาดมีคนร่ำลือว่าเซี่ยงหวี่นั้นเป็นแค่ลิงที่สวมใส่เสื้อคนเท่านั้น คนนินทาเหล่านี้เมื่อไปเข้าหูข้าราชการสอพลอก็กลายเป็นว่า คนๆนั้นต้องถูกนำตัวมาต้มทั้งเป็น ชื่อของเซี่ยงหวี่ก็ยิ่งแย่ไปใหญ่ ทั้งๆที่ตามประวัติแล้วเซี่ยงหวี่ไม่เคยรังแกคนที่ต่ำและอ่อนด้อยกว่าเขา
เรื่องเผาวังนี้อาจจะระบายแค้นและดูจะเป็นการกระทำกันเกินไปจริง แต่ทว่าเรื่องฆ่าอ๋องฉินคนสุดท้ายนั้น ไม่ว่าใครที่ได้มีโอกาศครองเมืองนั้ก็จะทำนโยบายเดียวกันนั่นคือ ตัดรากต้องถอนโคนเพื่อไม่ให้เมล็ดพันธ์ของ่ายตรงกันข้ามยังเหลืออยู่ ประวัติศาสตร์ของการก้าวขึ้นสู่อำนาจของทุกประเทศนั้นคล้ายกันครับ ไม่ช่แค่เซี่ยงหวี่โหดร้ายคนเดียว
กรณีนี้เราสามารถเปรียบเทียบกับหลิวปังได้ว่าใครโหดกว่าใคร เพราะ ขณะขึ้นครองราชย์เป็นฮั่นโจโกหลิวปังนั้น เขาไม่ได้ล้างบางอย่างทันทีทันควัน ภายใต้รอยยิ้มและภาพลักษณ์ที่ดีเยี่ยมที่สร้างมานาน หลิวปังเองก็ฆ่าผู้ที่ร่วมก่อการ หรือ ผู้ที่เขาคิดว่าอาจจะทำให้บัลลังของตระกูลหลิวมีปัญหาอย่างมากมาย เพียงแต่จังหวะแห่งการฆ่านั้นไม่โฉ่งฉ่าง แต่ค่อยๆริดรอนไป และคนที่ทำหน้าที่สังหารก็คือเมียของหลิวปังนั่นเอง งานนี้ในประวัติศาสตร์ต่างก็โทษว่า เมียของฮั่นอ๋องนั้นโหดร้าย แต่ถ้านึกในแง่หนึ่งว่า ความโหดนั้นถ้าไม่ใช่ตัวสามีขยิบตาให้สัญญาน การสังหารคนใกล้ชิดและการไล่ล่าผู้ร่วมก่อการจะมีขึ้นได้อย่างไร
ปัญหาจึงกลับอยู่อยู่ที่ความโฉ่งฉ่างในการใช้ดาบฆ่าคนของเซี่ยงหวี่ต่างหากที่ไม่สมราคาที่จะเป็นนักการเมือง