สุดสัปดาห์ที่แล้ว มีหนังเอเชียมาให้ดูกันถึง 2 เรื่องครับ เป็นหนังฟอร์มใหญ่จากประเทศบ้านเค้า แต่เข้าฉายแบบเงียบ ๆ โรงไม่มากนักทั้งคู่ ฝั่งหนังเกาหลีเป็นงานล่าสุดของพระเอกซูเปอร์สตาร์คนดัง ส่วนหนังจีนเป็นหนังแฟนตาซีภาคต่อที่มีจุดขายอยู่ตรงนักแสดงนำหญิง
มาว่าที่หนังเกาหลีกันก่อน ... ที่ผ่านมามีหนังที่เล่าเรื่องความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลีออกมาเรื่อย ๆ รวมถึงล่าสุดกับหนังแอ็กชั่นสงครามฟอร์มใหญ่ Return To Base (R2B) ที่นอกจากความบันเทิงแล้ว ยังนำเสนอมุมมองอันน่าสนใจ ที่ว่าด้วยความอึดอัด และกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของกองทัพเกาหลีใต้ด้วย
Return To Base เล่าเรื่องสงครามในภาคเวหา กับตัวเอกนักบินหนุ่ม แดฮุน (เรน) แห่งหน่วยโชว์การบินผาดแผลง ที่ก่อเรื่องระหว่างโชว์การบิน ด้วยการเล่นท่ายาก ทำหวาดเสียว เสี่ยงจะเกิดอันตรายขึ้นมา จนถูกส่งตัวไปอยู่หน่วยรบ ที่ทำให้เขาได้มีโอกาสลิ้มลองประสบการณ์ "รบจริง" เป็นครั้งแรก
ผลงานฟอร์มยักษ์จากเกาหลีใต้เรื่องนี้ ถูกตั้งชื่อเล่นไว้ว่าเป็น Top Gun แห่งเกาหลีไปแบบช่วยไม่ได้ ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ หนังเรื่องล่าสุดของ เรน ก็มีส่วนคล้ายกับหนังสุดคลาสสิกของ ทอม ครูซ อยู่เหมือนกัน กับการเล่าเรื่องที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นักบินหนุ่มหัวแข็ง, อารมณ์ร้อน, ไม่สนใจกฎระเบียบ ที่ได้เรียนถึงบทบาทและหน้าที่ก่อนจะเติบโตเป็นเสืออากาศที่สมบูรณ์
แม้ Return To Base จะเดินตามสูตรไปซักหน่อย แต่ผู้กำกับก็ยังแม่นยำกับการสร้างความบันเทิงให้กับคนดู ที่สำคัญหนังยังมีเนื้อหา และประเด็นที่น่าสนใจน่าขบคิดอยู่พอสมควร กับเรื่องราวบทบาทของ ทหารและกองทัพเกาหลีใต้ โดยเฉพาะความอึดอัดต่อบรรยากาศอันคุกรุ่นแห่งคาบสมุทรเกาหลี
โดยตามท้องเรื่องพระเอกและเพื่อนพ้องต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์รบจริง เมื่อเกิดการยึดอำนาจขึ้นในเกาหลีเหนือ นายทหารชาวโสมแดงต้องการใช้ระเบิดนิวเคลียร์เพื่อจุดปะทุสงครามขึ้นมา แต่สุดท้ายกองทัพเกาหลีใต้ก็ดูจะไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เลย
มีฉากที่แสดงถึงเนื้อหาทำนองนี้อย่างชัดเจนตอนหนึ่งของเรื่อง เมื่อมีเครื่องบินรบของเกาหลีเหนือบินข้ามแดนเข้ามา และก่อความวุ่นวายปั่นป่วนในตัวเมือง จนเกิดความสูญเสียมากมาย แต่สุดท้าย แทฮุน และเพื่อนร่วมฝูงบินกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกจากคอยบินประกบเพื่อกดดันให้ข้าศึกออกนอกดินแดนของเกาหลีใต้ไปเท่านั้น พวกเขาไม่ได้รับอนุมัติให้ใช้อาวุธใด ๆ ตอบโต้ เพียงเพราะยังอยู่ในเขตพลเรือนห้ามยิง แม้อีกฝ่ายจะเปิดฉากยิงถล่ม ก่อความวุ่นวายมากเพียงใดก็ตาม
และสุดท้ายโอกาสที่เหล่านักบินในเรื่องจะได้ปฏิบัติหน้าที่ก็มาถึง กับภารกิจช่วยชีวิตเพื่อนทหาร ที่ติดค้างอยู่ในชายแดน กองทัพอากาศจึงต้องฝืนคำสั่งของ "ลูกพี่" อย่างสหรัฐฯ ที่เข้ามาบัญชาการควบคุมสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
กองทัพเกาหลีตัดสินใจส่งเครื่องบินรบสองลำ เข้าไปทำลายหน่วยต่อต้านอากาศยานของเกาหลีเหนือ เพื่อส่งทีมช่วยเหลือผ่านชายแดนเข้าไปรับเพื่อนทหารที่ตกค้างอยู่
Return To Base เป็นหนังพูดที่ถึงความหมายและหน้าที่ของทหาร ความสำคัญระหว่างการเอาชีวิตของตัวเองและพวกพ้องให้รอด ภายใต้การปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งระหว่างจิตสำนึกส่วนตัว และหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นเนื้อหาประเภทที่ไม่ได้ใหม่สำหรับหนังสงครามโดยทั่วไป แต่ Return To Base ก็ยังน่าสนใจ เพราะเล่าเรื่องในประเด็นดังกล่าว ภายใต้บริบทของชาวเกาหลีใต้เอง ที่มีชีวิตอันขัดแย้ง ทางหนึ่งเจริญก้าวหน้าอย่างฉุดไม่อยู่ อีกทางก็สุ่มเสี่ยงต่อภาวะสงครามอยู่ทุกวินาที
แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับ Return To Base เป็นหนังประเภทที่เต็มไปด้วย "สูตร" ทั้งการเล่าเรื่อง จนไปถึงพัฒนาการของตัวละคร เนื้อหาให้ความสำคัญไปที่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม ก่อนจะผสานรอยร้าว รวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อชาติ และเต็มไปด้วยตัวละครประเภท "สำเร็จรูป" ทั้งเด็กหนุ่มหน้าใส ไร้ประสบการณ์ในสนามรบ, ลูกพี่ที่พึ่งพาได้, คู่ปรับชิงดีชิงเด่น และตัวละครประเภทกวนโอ๊ยหาเรื่องพระเอกตลอดเวลา แน่นอนว่าต้องมีสาวสวยกับฉากกุ๊กกิ๊กมาสลับฉากด้วย
สูตรแบบนี้ทำให้หนังออกมาลื่นไหลดูง่าย แต่ในเวลาเดียวกัน Return To Base ก็ธรรมดาเกินไป ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ดำเนินเรื่องไปตามการคาดเดา ชนิดที่เห็นตัวละครกับเหตุการณ์บางอย่าง ก็พอจะเดาได้แล้วว่า อีกไม่นานคงจะมีใครตายแน่ ๆ ใครเป็นนักดูหนังประเภทดูไปเดาไป คาดคะเนสถานการณ์ตลอดเวลา ก็อาจจะรู้สึกว่าหนังเดาง่ายจัง
มาว่าต่อกันที่หนังจีนบ้าง "Painted Skin II: The Resurrection" หนังภาคต่อของงานแฟนตาซีดังเมื่อไม่กี่ปีก่อน ที่คราวนี้กลับมาโดยไม่มีพระเอกยอดนักบู๊ดาวเด่นของหนังภาคแรกกลับมาด้วย แต่กลับสนุกขึ้นซะอย่างงั้น
Painted Skin เป็นงานแนวผีสางอีกเรื่องที่สร้างจากบทประพันธ์ของ "ผูสงหลิง" นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน
สำหรับหนังภาคแรกเล่าเรื่องของปีศาจจิ้งจอก (โจวซวิน) ที่อาศัยเนื้อหนังของมนุษย์ในการแฝงกาย เข้ามาปั่นป่วนชีวิตของผู้คน กับการเข้าไปแทรกกลางในความสัมพันธ์ของชายหญิงคู่หนึ่ง (เฉินคุน, จ้าวเวย) เป็นหนังที่ให้ความรู้สึกเหมือนหนังฮ่องกงยุค 90s แต่ไม่เชย ผสมเรื่องเหนือจริง กับคิวบู๊ได้ลงตัวดี และมี ดอนนี่ เยน ดาราแอ็กชั่นสุดดังแห่งยุคเป็นจุดขายของหนัง
ซึ่งหนังภาคสองไม่ได้มี ดอนนี่ กลับมาร่วมแสดงแล้ว จนอาจทำให้ขาดจุดขายสำหรับต่างประเทศไปบ้าง แต่สำหรับเมืองจีนไม่น่าจะมีผลอะไรครับ เพราะ จ้าวเวย, โจวซวิน กับ เฉินคุน ก็ถือว่าเป็นดาราแม่เหล็กระดับเกรดเอของแฟนหนังชาวจีนแผ่นดินใหญ่อยู่แล้ว จนเข้าใจว่า Painted Skin II ทำรายได้ในจีนชนิดถล่มทลายกันเลยทีเดียว
ในหนังภาค 2 เรื่องราวยังคงต่อเนื่องจากหนังภาคแรก กับเหตุการณ์ในอีก 400 ปีต่อมา เมื่อปีศาจจิ้งจอก (โจวซวิ่น กลับมารับบทเดิม) ที่ทำผิดกฎของโลกปิศาจจนถูกจองจำในน้ำแข็ง ได้อิสระอีกครั้งจากความช่วยเหลือโดยบังเอิญของปีศาจนกน้อยนางหนึ่ง (หยางมี่) จนทั้งคู่ออกเดินทางไปในดินแดนของโลกมนุษย์ด้วยกัน เพื่อพิสูจน์ตำนานที่ว่า ปีศาจจะสามารถกลายเป็นคนได้ หากมีมนุษย์ยินยอมมอบหัวใจของตนให้กับปีศาจด้วยความเต็มใจ และเป้าหมายของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางก็คือชายหญิงคู่หนึ่ง
ฮั่วซิน (เฉินคุน) นายทหารแห่งวังหลวง อดีตองค์รักษ์ผู้เก่งกาจ ที่เลือกมารับหน้าที่ในเมืองห่างไกลความเจริญ นั่นก็เพราะเขาต้องการหนีจากอดีต จากความสัมพันธ์อันวุ่นวายกับ องค์หญิงจิ้ง (จ้าวเวย) และหนีจากความผิดพลาดของเขา ที่ถึงกับทำให้องค์หญิงคนสวยเสียโฉม และต้องสวมหน้ากากทองคำปิดบังใบหน้าอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งระหว่างการเดินทางไกลเพื่อมาหา ฮั่วซิน โดยเฉพาะ องค์หญิง ได้มีโอกาสช่วยเหลือหญิงสาวนางรำคนหนึ่งจากพวกโจรป่า โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่านางรำที่ชื่อ "เสี่ยวเว่ย" คนนี้ก็คือ ปีศาจจิ้งจอกจำแลงนั่นเอง
Painted Skin II: The Resurrection ยังคงเล่าเรื่องราวของบททดสอบ และการพิสูจน์ความรักเช่นเดียวกับหนังภาคแรก เมื่อเรื่องดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง องค์หญิงตัดสินใจตอบรับข้อเสนอของนางปีศาจ กับการแลกเปลี่ยนผิวหนังที่จะทำให้นางได้กลับมามีรูปโฉมอันงดงาม ที่เชื่อว่ามันคงจะสร้างความพึงพอใจให้กับชายคนรักได้อีกครั้ง เพียงแต่ยกหัวใจให้กับนางจิ้งจอกเท่านั้น
ก่อนอื่นผมอยากจะบอกว่าโดยส่วนตัวแล้วรู้สึกสนุกกับ Painted Skin II มากกว่าหนังภาคแรกครับ หนังมีบรรยากาศที่ค่อนข้างแปลกประหลาด กับส่วนผสมของหนังกำลังภายใน, เรื่องเล่าพื้นบ้าน และนิทานคติสอนใจ ที่การผูกเรื่องทำได้อย่างน่าสนใจ แม้สุดท้ายแล้วจะไม่ได้มีประเด็นให้ได้ขบคิดอะไรมากมายนัก
จุดแข็งของหนังดูจะอยู่ที่นักแสดง โดยเฉพาะผู้รับบทนำทั้ง 4 คน ที่ต้องบอกว่ามอบการแสดงอันลึกซึ้ง เกินความคาดหมายไปมาก เป็นตัวละครประเภทพิมพ์นิยมที่มีรายละเอียดน่าสนใจทุกตัว อย่าง เฉินคุน เป็นนักรบหนุ่มที่อยู่อย่างซังกะตาย และใช้ชีวิตหมดไปกับความเจ็บปวด ส่วน หยางมี่ ที่แสดงเป็นปีศาจนก ก็ถือเป็นด้านที่น่ารักสดใส กับตัวละครที่เพิ่งได้ทำความรู้จักกับโลกมนุษย์ และเคมีระหว่างเธอกับนักแสดงหนุ่มผู้สวมบทบาทนักปราบผีฝีมือไม่ได้เรื่อง ก็ดูเข้ากันดีทีเดียว
แน่นอนว่าดารานำหญิงทั้งสองคนคือไฮไลท์สำคัญ ซึ่งถ้าต้องฟันธงตัดสินว่าใคร "เด่นกว่า" ในการประชันบทบาท ก็คงต้องขอเลือก จ้าวเวย ให้เป็นผู้ชนะเช่นเดียวกับในหนังภาคแรก ที่เธอเคยเจิดจรัสมาก ๆ มาแล้วครับ แม้จะต้องสวมบทบาทเป็นตัวละครประเภทอมทุกข์หน้าเซ็ง ขณะที่ โจวซวิ่น เป็นนางจิ้งจอก ที่ถือว่าเซ็กซีสุด ๆ ก็ตาม
จากดาราที่ใคร ๆ ก็เรียกกันติดปากว่า "องค์หญิงกำมะลอ" ผู้มีภาพจำในบทประเภทขายความน่ารักสดใส จ้าวเว่ยพิสูจน์ตัวเองได้อย่างสวยหรูใน Painted Skin ทั้งสองภาค ที่เธอไปได้ดีอย่างเหลือเชื่อกับบทผู้หญิงที่มีชีวิตจมอยู่กับความเศร้า และต้องเก็บงำความรู้สึกในจิตใจอยู่ตลอดเวลา
ในหนังภาคนี้ตัวละครของเธอยิ่งซับซ้อนไปอีก เป็นหญิงสูงศักดิ์ที่มีชีวิตเหมือนแบกโลกเอาไว้ เปลือกนอกแข็งกร้าว แต่ไม่สามารถอำพรางความอ่อนแอ, อ่อนไว เปราะบางในตัวได้เลย แม้ในช่วงหนึ่งของเรื่อง จ้าวเวย ต้องเปลี่ยนบทบาทไปเป็นนางปีศาจเธอก็ยังไปได้ดี และฉายเสน่ห์อันรุนแรงออกมาได้อย่างกับเป็นคนละคน
ฝ่าย โจวซวิ่น ก็ต้องชมเหมือนกัน ที่สามารถสร้างความคลุมเครือให้กับตัวละครของตัวเอง มีความลึกลับ และยากจะตัดสินว่าดีหรือเลวกันแน่
Painted Skin II: The Resurrection ยังน่าสนใจจากงานสร้างอันพิสดาร เป็นหนังย้อนยุค ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความสมจริง ทั้งเสื้อผ้าที่บ่งบอกยุคสมัยได้ยาก และประเทศคนเถื่อนตัวแปรสำคัญของเรื่องราว ก็มีภาพลักษณ์ที่เหมือนหลุดออกมาจากหนังประเภท Conan: The Barbarian
ส่วนคิวบู๊ก็มีให้ดูกันนิดหน่อย แม้จะเทียบกับภาคแรกที่มี ดอนนี่ เยน เป็นตัวชูโรงไม่ได้ แต่ก็ถือว่ามีไว้สลับฉาก เปลี่ยนบรรยากาศให้กับเรื่องราวเกี่ยวกับความรักที่เป็นประเด็นสำคัญของหนังได้อยู่เหมือนกัน
ดู Painted Skin II ก็ชวนให้นึกถึงงานของ ฉีเคอะ อยู่เหมือนกัน ซึ่งนอกจากข้อดีจะคล้ายแล้ว ก็ยังมีจุดบอดคล้าย ๆ กันด้วย ที่เล่าเรื่องได้ไม่ลื่นไหล การกระทำหรือการตัดสินใจของตัวละครไม่สมเหตุสมผลในบางจุด, ครึ่งแรกและครึ่งหลังเหมือนหนังคนละเรื่อง และองค์ประกอบบ้างอย่างก็ดูน่าตลก เรียกเสียงหัวเราะได้แบบไม่ตั้งใจ ชัดเจนว่าเป็นงานที่แสดงออกว่าต้องการขายความน่าตื่นตาตื่นใจทางสายตา มากกว่าการเล่าเรื่องทางภาพยนตร์ บางคนอาจจะชอบ แต่ก็ไม่ใช่หนังประเภทที่เหมาะสำหรับทุกคน
แม้งานจากทั้งเกาหลีและจีนจะยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ โดยรวมแล้วผมสนุกกับหนังทั้งสองเรื่องครับ แต่ถ้าต้องเลือกก็คงจะเลือก Painted Skin II เป็นคะแนนก็คงประมาณ 7 (R2B) กับ 7.5 (Painted Skin II) เต็ม 10 ได้ เพราะหนังมีอะไรให้ดูเยอะกว่า, มีสิ่งไม่คาดฝันมากกว่า เป็นหนังประเภทที่คงไม่มีให้ดูจากฝั่งฮอลลีวูดแน่ ๆ
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |