xs
xsm
sm
md
lg

สามไต้ซือบ่วงวชิรธรรมและสองมารขาวดำผู้ทำให้เตียซำฮงร้องไห้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ขอต่อในเรื่องของยอดยุทธแห่งจักรวาลดาบมังกรหยกกันหน่อย หลายคนอาจจะงงนิดหนึ่งตรงที่ผมไม่ได้จัดอันดับเรียงคิวกันลงมา แต่ใช้วิธีการรีวิวในทำนองประสิทธิภาพและความสามารถของแต่ละคนแต่ละกลุ่มมากกว่า เพราะ เหตุผลเดียวคือ ยอดยุทธพวกนี้แทบไม่เคยสู้กันเองเลย จะมีคนที่ทดสอบฝีมือกับพวกนี้ก็คือตัวเตียบ่อกี้เท่านั้น

เมื่อคราวที่แล้วทิ้งเรื่องของสามไต้ซือแห่งเพลงวิชาบ่วงวชิรธรรมปราบมารแห่งเส้าหลินซึ่งทำเอาเตียบ่อกี้หัวซุกหัวซุนกันทีเดียว คราวนี้ขอต่อกันเลยนะครับ

ไต้ซือทั้งสามมีชื่อว่า “โต่วแอะ" (ผ่านคราเคราะห์) เป็นหลวงจีนหน้าเหลือง หลวงจีนหน้าขาวมีชื่อว่า "โต่วเกียบ" (ผ่านกัลป์) ไต้ซือหน้าดำชื่อว่า "โต่วลั้ง" (ผ่านทุกข์) หนึ่งในนี้ตาบอดด้วยฝีมือของประมุขพรรคเม้งก่าคนเก่า จากการนั่งบำเพ็ญภาวนาสามสิบกว่าปีทำให้เกิดความสามารถที่เรียกกันว่า “ซิมอี่เซียงทง” หรือ กระแสจิตร่วมสัมพันธ์ คนหนึ่งเกิดความคิด คนอีกสองคนจะรับรู้ทันที ปฏิกิริยาทางใจที่เร้นลับพิสดารนี้ทำให้ทั้งสามสามารถรวมจิตสำนึกเป็นร่างเดียว จนกระบวนท่าบ่วงวชิรธรรมปราบมารนั้นเกือบจะไม่มีช่องในการทำลายได้ ถึงขนาดเตียบ่อกี้ยังตระหนกว่าตัวเองจะเอาชีวิตรอดจากไต้ซือทั้งสามได้อย่างไร

แม้ว่าในบทเดียวกันบ่วงวชิรธรรมปราบมารจะถูกทำลายจากการกลุ้มรุมอย่างมีประสิทธิภาพของฝ่ายเซ่งคุนที่ลอบนำนักบู๊ฝั่งมองโกลเข้ามาโดยอาศัยจำนวนเยอะ แนววิชาที่ปกปิดซ่อนเร้น และจุดอ่อนที่สำคัญของการลงมือนั่นคือ ระยะสั้นอำนาจการทำลายล้างของเชือกที่ไต้ซือทั้งสามถือไว้จะน้อยกว่า แต่คำถามมีว่าโอกาสที่จะลอบทำร้ายลงมือกลุ้มรุมจัดการนั้นจะเกิดขึ้นมากหรือไม่

ถ้าสู้กันเดี่ยวๆ ตรงไปตรงมา เห็นจะมีแค่เตียบ่อกี้เท่านั้นที่สามารถรับมือได้

พยานแห่งคำพูดนี้ได้แก่พญาเหยี่ยวคิ้วขาว “ฮึงเทียนเจี่ย” หนึ่งในสี่ผู้คุ้มกฏของพรรคเม้งก่า รวมถึงเอี้ยวเซียวฑูตซ้ายโชติช่วงที่ประมือกับหนึ่งในหลวงจีนในเวลา 300 กระบวนท่าก็เพลี่ยงพล้ำต้องอาศัยเขาสองคนรับมือหลวงจีนหนึ่งคน ขณะที่เตียบ่อกี้รับหน้าหลวงจีนสองคนที่เหลือ สุดท้ายการต่อสู้ก็ยังเสมอกัน เพียงแต่ฝ่ายที่ดูจะสูญเสียมากกว่าก็คือฝ่ายพรรคเม้งก่าเพราะพญาเหยี่ยวคิ้วขาวเสียชีวิตไปจากการนี้ แต่ไต้ซือทั้งสามยังรอดชีวิตไปเทศนาสอนราชสีห์ขนทองเจี่ยซุ่นที่ออกบวชในที่สุดด้วย

แค่นี้พอจะการันตีฝีมือของสามไต้ซือได้หรือยังละครับ

จอมมารขาวดำ อาคันตุกะไม้เท้ากวาง เฒ่าพู่กันกระเรียน
อีกกลุ่มหนึ่งที่มีฝีมือเหลอร้าย แต่มักจะถูกประเมินไว้ต่ำกว่าความเป็นจริงเสมอก็คือ บทบาทของมารขาวดำเจ้าของ “ฝ่ามือภูติเร้นลับ” ที่อาจจะผลุบๆ โผล่ๆ ในฐานะของนักบู๊สังกัดเจ้าลื้อเอี้ยงหรือลั่วหยางอ๋องพ่อของเตียเมี่ยง แต่วิชาฝีมือของเขานั้นควรอยู่ในระดับที่ต้องบอกว่ามีไม่ถึง 5 คนในยุทธจักรจะสามารถจัดการกับทั้งคู่ได้

ที่น่าสนใจก็คือ ไม่กี่คนที่ว่านั้นมีเพียงสุดยอดฝีมือแห่งยุคอย่าง เตียบ่อกี้ เตียซำฮง และอาจจะมีหลวงจีนกั๊กเอี๊ยงอีกหนึ่งรูป ขณะที่นักรบเหลือในพรรคเม้งก่าล้วนแล้วแต่เคยพลาดท่าต่อสองมารที่ว่าทั้งสิ้น ความน่ากลัวของทั้งคู่อยู่ที่ฝ่ามือที่เน้นทำร้ายภายในและสามารถฝังความเย็นเยือกให้แก่จุดอ่อนแอที่สุดที่ “หัวใจ” ของผู้ที่ถูกทำร้ายเอาไว้ได้ถึงขนาดว่าไม่สามารถรักษาได้จากลมปราณภายนอกนะครับ

ตัวอย่างหนึ่งของความร้ายกาจของสองมารขาวดำก็คือ ทำให้เจ้าสำนักบู๊ตึ๊งซึ่งได้ชื่อว่ามีพลังภายในลึกล้ำที่สุดในเรื่องนี้คนหนึ่งถึงกับร้องไห้ออกมาทีเดียว ในบทที่บรรดายอดยุทธฝ่ายธรรมมะทั้งแผ่นดินมาทวงถามเตียชุ่ยซัวในเรื่องที่ซ่อนของเจี่ยซุ่นและดาบฆ่ามังกร แต่ต่อมาเจี่ยซุ่นและฮึงซู่ซู่สองสามีภรรยาฆ่าตัวตายเพื่อรักษาความลับไว้ เตียบ่อกี้ในวัยสิบกว่าขวบเองก็ถูกลอบทำร้ายอีกด้วย ก่อนจะถูกโยนเข้ามาที่สำนักบู๊ตึ๊ง

“…เตียซำฮงทาบฝ่ามือกับหน้าผากเตียบ่อกี้ ก็สัมผัสถูกความเย็นเฉียบคล้ายลูบถูกน้ำแข็งก้อนหนึ่ง ยามตื่นตระหนกสอดมือขวาเข้าไปกลางหลังเตียบ่อกี้ รู้สึกกลางหลังบ่อกี้มีตำแหน่งหนึ่งร้อนลวกราวถ่านไฟ แต่รอบข้างกลับเย็นเยียบเสียดกระดูก เตียซำฮงฉีกกระชากเสื้อผากลางหลังบ่อกี้ เห็นผิวกายละเอียดอ่อนถูกประทับด้วยรอยฝ่ามือสีเขียวรอยหนึ่ง

เตียซำฮงทอดถอนใจ น้ำตาของผู้ชราหลั่งไหล สองมืออุ้มร่างเตียบ่อกี้มองดูทรากศพเตียชุ่ยซัวสองสามีภรรยากล่าวว่า

“ชุ่ยซัว ชุ่ยซัว เจ้ากราบเราเป็นอาจารย์ ก่อนลาโลกฝากฝังต่อเรา ให้ช่วยดูแลบุตรของเจ้าอย่างดี แต่เรากระทั่งบุตรโทนของเจ้ายังไม่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ เรามีอายุร้อยปีมีประโยชน์อันใด เรามิสู้ตายยังประเสริฐกว่า”

ครับฉากนี้อยู่ในเล่มสองของดาบมังกรหยก ซึ่งทำให้คนอ่านได้รับทราบว่า “ฝ่ามือภูตเร้นลับ” นั้นร้ายกาจขนาดไหน สำหรับรายละเอียดของฝ่ามือนี้ เตียซำฮงกล่าวกับซ่งเอี้ยงเกี้ยศิษย์คนโตว่า ฝ่ามือนี้ควรจะหายไปจากโลกพร้อมกับการตายของ “นักพรตร้อยประทุษ” เมื่อสามสิบปีก่อน แต่เมื่อปรากฏขึ้นในผู้คนเหล่านี้ เตียซำฮงถึงกับบอกศิษย์ทั้งหลายให้ระมัดระวังให้ดีถ้าจะเจอกับทั้งคู่

ควรเข้าใจว่ายอดยุทธทั้งเจ็ดของบู๊ตึ๊งนั้นมีชื่อเสียงกระเดื่องเพียงใด แต่ท่านอาจารย์ใหญ่กลับบอกให้เลี่ยงถ้าจะต้องเจอกับนักบู๊สองคนนี้ เท่ากับระดับฝีมือของมารขาวดำที่ว่าอยู่ในขั้นที่น่าตื่นตระหนกแล้ว!!

ตามประวัติฝีมือในเรื่องนี้เราไม่มีหลักฐานแน่นอนว่า ฝ่ามือภูตเร้นลับดังกล่าวตกทอดมายังสองมารดำขาว “อาคันตุกะไม้เท้ากวาง เฒ่าพู่กันกระเรียน” ได้อย่างไร และนักพรตร้อยประทุษเป็นอาจารย์ของคนทั้งคู่หรือเปล่า แต่การที่สองคนนี้ใช้งานฝ่ามือนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมใช้ได้ทั้งคู่ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นผู้ช่วยมือดีที่สุดของเตียเมี่ยงและเป็นหนึ่งในยอดยุทธที่ดีที่สุดของฝ่ายมองโกลกันทีเดียว

มีอีกฉากที่แสดงให้เห็นความยอดเยี่ยมของทั้งคู่ก็คือ การที่เตียเมี่ยงนำจอมยุทธมองโกลบุกขึ้นเพื่อเตรียมจะล้างสำนักบู๊ตึ๊ง แม้ว่าจะคลี่คลายได้ด้วยฝีมือยอดเยี่ยมของเตียบ่อกี้ แต่เมื่อเอี้ยเซียวทูตซ้ายโชติช่วง กับค้างคาวปีกเขียว บุกเข้าปะทะกับอาคันตุกะไม้เท้ากวาง และเฒ่าพู่กันกระเรียน…ผลปรากฏว่ายอดยุทธฝ่ายเม้งก่าถึงกับบาดเจ็บภายใน จนต้องให้เตียบ่อกี้ต้องถ่ายทอดพลังรักษากัน

แกหล่นคำพูดไว้ให้สองจอมยุทธเม้งกว่าว่า “คนของพรรคเม้งก่าก็มีเท่านี้เอง”

บทสรุปของสองมารเฒ่านี้กลับไม่ได้ตกต่ำเพราะวิชาฝีมือสู้ไม่ได้ แต่เป็นเพราะคนหนึ่งหมกมุ่นในกามาอีกคนหมกมุ่นในเรื่องของสุรากับทานเนื้อหมา แถมยังไม่มีเจตนารมย์อันยิ่งใหญ่ที่จะก่อการให้ดูมีความสำเร็จมากกว่านี้ในยุทธภพ เรื่องราวของเฒ่าทั้งคู่จึงหายไปอย่างเงียบๆ และจบไปอย่างเงียบๆ จนผู้อ่านจำนวนมากจำไม่ได้ถึงเรื่องราวของพวกเขาเท่าที่ควรครับ

ยังเหลืออีก 2 กลุ่มที่จะต้องรีวิวก็จบแล้วครับ หนึ่งกลุ่มในนั้นเตียบ่อกี้แพ้อย่างยับเยินเสียด้วย ส่วนจะเป็นใครและท่านผู้อ่านจะจำได้ไหมเดี๋ยวคราวหน้ามาต่อกันครับ

กำลังโหลดความคิดเห็น