บริษัท บีฮิบ ของแฟน “ตาล กัญญา” ทุ่มเงินซื้อโฆษณาลงเว็บดังเผยแพร่คลิปตำรวจการันตีว่าไม่ได้โกง ด้านตำรวจมึนโดนอ้างชื่อ บอกแค่ให้สัมภาษณ์กับสื่อขายตรงไป ไม่คิดว่าจะเอาไปลงเป็นโฆษณาการันตีบริษัท บีฮิบ ยันไม่ได้การันตีเรียกร้องให้ถอดคลิปดังกล่าวด่วน
ทำท่าจะบานปลายซะแล้ว สำหรับกรณีที่มีข่าวในโลกไซเบอร์ว่า “ไมเคิล ซาเฟล” นักธุรกิจขายตรงบริษัท บีฮิบ จำกัด แฟนของดาราสาว “ตาล กัญญา รัตนเพชร์” อาจเข้าข่ายการฉ้อโกงแบบแชร์ลูกโซ่ จนตาลต้องออกมาแถลงข่าวไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับการทำธุรกิจของแฟน ส่วนรถเฟอร์รารีที่ตกแต่งสีชมพูหวานแหววนั้น ก็เป็นของแฟนตนแค่ยืมมาขับ
ล่าสุด ปรากฏว่า ข่าวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อบริษัท บีฮิบ เป็นอย่างมาก ทางบริษัทจึงได้ทำคลิปโฆษณาออกมาเพื่อแก้ข่าวดังกล่าว และมีการซื้อพื้นที่โฆษณาตามเว็บไซต์ดังๆ หลายแห่ง เช่น Sanook, Mthai เพื่อนำคลิปดังกล่าวไปลงเผยแพร่ สำหรับคลิปดังกล่าวมีความยาวประมาณ 50 วินาที มีเนื้อหาเป็นการให้สัมภาษณ์ของ “พ.ต.ท.ดร.นิติพัฒน์ วุฒิบุณยสิทธิ์” พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ยืนยันว่า บริษัท บีฮิบ ได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แต่คนที่ทำธุรกิจนี้สำเร็จก็บอกว่าไม่โดนหลอก ส่วนคนที่ทำไม่สำเร็จก็บอกว่าโดนหลอก
ทั้งนี้ คลิปวิดีโอดังกล่าว มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นความพยายามในการหาตำรวจมารับประกันวิธีการทำธุรกิจของบีฮิบ ว่า ถูกกฎหมายใช่หรือไม่ โดยวานนี้ (7 ก.ย.) ทีมข่าวซูเปอร์บันเทิง Exclusive ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ดร.นิติพัฒน์ ต่อกรณีดังกล่าว ทว่า พ.ต.ท.ดร.นิติพัฒน์ กลับยืนยันว่า คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวของตน มิใช่การการันตีให้กับบริษัท บีฮิบ อย่างแน่นอน แต่เป็นการให้สัมภาษณ์เพื่อให้ความรู้ด้านธุรกิจขายตรงกับประชาชนเพื่อไม่ให้โดนหลอก ซึ่งตนไม่คิดว่าจะถูกนำคลิปดังกล่าวไปใช้เพื่อการโฆษณา
“เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีนักข่าวสื่อขายตรงติดต่อมาขอสัมภาษณ์เรื่องขายตรง ผมในฐานะที่ผมทำวิจัยเรื่องขายตรงและผมก็เป็นดอกเตอร์ด้านขายตรง และเขาก็มาถามว่าการประกอบธุรกิจขายตรงเป็นยังไง มีขั้นตอนอะไรบ้าง การทำธุรกิจด้านขายตรงมีข้อพิจารณาแยกแยะระหว่างแชร์ลูกโซ่กับขายตรงยังไง และเขาก็ถามคำถามหนึ่งว่าเรื่องบีฮิบ ว่า บีฮิบได้รับอนุญาตไหม เราก็บอกว่าจากการตรวจสอบก็คือได้รับอนุญาต แต่หลังจากได้รับอนุญาตแล้วเขาจะไปดำเนินการในสิ่งที่ได้รับอนุญาตยังไงเราไม่รู้ มันเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่เข้าไปทำกันกฎหมายหรือเป็นไปตามสิ่งที่มายื่นไว้ไหมเราไม่รู้ เพราะเราไม่ได้ไปดูในเรื่องรายละเอียด”
“ตรงนั้นเป็นการสัมภาษณ์ในเชิงวิชาการที่เราทำวิจัยไม่ใช่การสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน ซึ่งผมมองว่า มันเป็นเรื่องการให้ความรู้กับประชาชนมันเป็นเรื่องที่ดีเราก็ให้สัมภาษณ์ไป ผมไม่ได้การันตีให้เขานะ และเขาก็ไม่ได้ขออนุญาตผมว่าจะเอาบทสัมภาษณ์นี้ไปลงโฆษณา ถ้าคลิปนั้นมันทำให้ทุกคนคิดว่าผมไปการันตีเขาจะต้องดำเนินการเอาออก”
“จริงๆ ผมให้สัมภาษณ์เขาไป 10 นาทีแต่เขาเอามาตัดออกแค่ 50 วินาที มันจะไปรู้เรื่องอะไรผมไม่ได้การันตีให้เขาแน่นอน ขนาดครอบครัวเดียวกันเห็นหน้ากันทุกวัน พอเขาออกจากบ้านไปทำอะไรบ้างผมยังไม่รู้เลยเขาไปทำกิจกรรมยังไงบ้างผมยังการันตีไม่ได้เลย แล้วนี่มันธุรกิจขายตรงเขาทำอะไรยังไงเราจะไปรู้ได้ยังไงจะไปการันตีให้เขาได้ยังไง ผมไม่ได้ไปนั่งฟังกับเขาด้วย ใครจะกล้าไปการันตีว่าบีฮิบทำถูกต้องตามกฎหมาย”
“แต่ถ้าเขาตัดคลิปไปแบบนั้นมันเกิดความเสียหายขึ้นแน่นอน เพราะเขาเอาไปออกแค่ 50 กว่าวินาที มันจะไปได้ข้อมูลได้ความรู้อะไร ผมให้สัมภาษณ์เพราะอยากให้ความรู้ประชาชน ถ้ามันไม่ถูกต้องแบบนี้ก็คงต้องแจ้งไปให้ทางเว็บที่เอาไปลงถอดออก เพราะการที่เขาเอามาออกแบบมันไม่ได้ให้ความรู้กับประชาชนมันไม่ใช่วัตถุประสงค์ของผม การเอาตรงนี้ไปลงคลิปโฆษณามันไม่ใช่วัตถุประสงค์ของเรา”
“ผมไม่รู้เจตนารมณ์ของคนที่เอาคลิปนี้ไปลง ผมรู้แต่ว่าสิ่งที่เขาถามมันเกี่ยวกับงานวิจัยของผมและเป็นเรื่องที่ดีที่ประชาชนจะรู้เท่าทันการขายตรง ผมก็เลยยินดีให้สัมภาษณ์ เพราะคิดว่าเป็นประโยชน์กับประชาชน ผมไม่คิดว่าเขาจะมาหลอกถามผมหรอกนะ แต่มันเป็นการเอาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์กันมากกว่า” นอกจากนั้นแล้ว พ.ต.ท.ดร.นิติพัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับใครที่มีข้อปัญหา หรืออยากจะร้องเรียนการกระทำผิดกับผู้บริโภคสามารถโทรศัพท์ติดต่อได้ที่เบอร์ 1166
อย่างไรก็ตาม ภายหลังคลิปดังกล่าวที่มีความยาว 50 กว่าวินาที ได้ถูกถอดไป และมีการเปลี่ยนคลิปใหม่ใส่เข้ามาแทน ซึ่งคราวนี้เป็นคลิปที่มีความยาว 5.37 นาที และเมื่อผู้สื่อข่าวเข้าไปตรวจสอบในเว็บไซต์ยูทิวบ์ในช่วงเช้าวันเสาร์ (8 ก.ย.) พบว่า คลิปวิดีโอดังกล่าวมีผู้เข้าชมแล้วประมาณ 2,500 คน และมีความเห็นจากผู้ชมที่แสดงความไม่เห็นด้วยบางส่วน โดยความเห็นที่ถูกโหวตเป็นลำดับแรกเป็นความเห็นจากผู้ใช้ที่ชื่อ Adule Kruawan ระบุข้อความว่า
“ขอแสดงความคิดเห็นหน่อยครับ แล้วคดีในอดีตผมยังจำได้ “ไคโตซาน หรือ ปูแดง” ทำการตลาดคล้ายกัน มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน (เกษตรกร) มีสินค้าไม่หลากหลาย (ขายปุ๋ย) แต่มากกว่าบีฮิบแน่นอน ยังถูกจับ แล้วทำไมบีฮิบ เป้าหมายก็ไม่ชัดเจน สินค้าก็ไม่มีอะไรเลย นอกจากน้ำอะไรนั่นน่ะ มองยังไงก็เข้าข่ายมากกว่าเหมือนปูแดงซะอีก แบบนี้เรียกว่าสองมาตรฐานหรือเปล่า?”