“ตี๋ แม็ทชิ่ง” ตัดสินใจทิ้งแม็ทชิ่งธุรกิจที่สร้างมากับมือ 20 ปี เพื่อไปทำธุรกิจใหม่ บอกที่ผ่านมาสุดอัดอั้นเพราะต้องทำงานภายใต้ความระมัดระวัง ลั่นตอนนี้ตั้งบริษัทใหม่ตัดสินใจเองสุดสบายใจต่อไปจะไม่เอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์อีก พร้อมปั้นธุรกิจใหม่ 4 ไลน์เน้นขายไอเดีย ตั้งเป้า 3 ปีฟัน 300 ล้าน
ขึ้นชื่อว่า “ตี๋ แม็ทชิ่ง” สมชาย ชีวสุทธานนท์ หลายๆ คนก็คงจะนึกถึงความบ้าบิ่น เมื่อครั้งที่ตี๋ได้เปิดตัวบริษัทแม็ทชิ่ง สตูดิโอ เข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็สร้างความฮือฮาโดยการห้อยโหนสลิงต่องแต่งเพื่อสื่อข่าวหมายว่าหุ้นของแมทชิ่งจะทยานไม่มีล่วง ซึ่งเวลาผ่านมาไม่นานก็เหมือนว่าจะเป็นจริง เมื่อบีบีทีวี โปรดัคชัน ซึ่งเป็นกิจการในเครือบริษัท กรุงเทพวิทยุและโทรทัศน์ หรือช่อง 7 เข้าถือหุ้นในแม็ทชิ่งเพื่อต่อยอดธุรกิจ และให้เอื้อกันด้านธุรกิจบันเทิงครบวงจรมากขึ้น
เผลอแป๊บเดียวเวลาผ่านมา 20 ปีแล้ว วันนี้ตี๋ แม็ทชิ่ง เลือกที่จะเดินออกมาจากแม็ทชิ่งหันหลังให้กับช่อง 7 ไม่รับหน้าที่บริหารแม้ว่าเขาจะยังมีหุ้นส่วนอยู่ ด้วยเหตุผลที่ว่า อยากจะทำอะไรใหม่ๆ เพราะอัดอั้นมานาน และออกมาได้เพียงแค่ 2 เดือน ก็เตรียมเปิดตัวธุรกิจ 4 ไลน์เลยทีเดียวภายใต้ชื่อ “บริษัท ตี๋ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์”
“จริงๆ ครบเดือนตุลาคมนี้บริษัทแม็ทชิ่งก็ครบรอบ 20 ปีพอดี แต่ที่ผมจะต้องออกมาทำอะไรใหม่ๆ เพราะมันเหมือนอั้นๆ กับงานเดิม คือเวลาที่เราคิดอะไรออกไปหุ้นส่วนของเราจะไม่เห็นวิธีการทำงานของเราที่ชัดเจน การทำงานของผมจะกล้าได้กล้าเสียแต่เป็นการกล้าได้กล้าเสียที่รู้การบริหารความเสี่ยง แต่ช่อง 7 ไม่ใช่แบบนั้นและถ้ามันจะทำให้เราสูญเสียโอกาสบางอย่าง พูดง่ายๆ ว่ามันไม่เต็มที่มันเหี่ยวๆ ค่อนข้างมีจำกัดเยอะ”
“แต่อย่างไรก็ตามมันก็เป็นข้อจำกัดที่เราเข้าใจได้มันจะต้องระมัดระวังในแง่ของการลงทุน เพราะจะต้องระมัดระวังให้กับผู้ถือหุ้นทุกคนด้วย แต่ถ้าเราทำเองการตัดสินใจจะเป็นของเราหมดมันทำงานง่ายกว่า ก่อนจะออกมาก็มีการพูดคุยกันล่วงหน้าไว้แล้ว เคลียร์กันไปแล้วไม่ได้ทะเลาะกันก็จากกันไปด้วยดี ผมก็ยังมีหุ้นอยู่ 20 เปอร์เซ็นต์เพียงแต่จะไม่ได้เข้าไปบริหารแล้ว ก็ขอยืนยันนะครับว่าผมไม่ได้มีปัญหากับช่อง 7 ผมยังรักช่อง 7 และช่อง 7 ก็ยังรักผมเหมือนเลย ช่อง 7 มีอะไรที่ผมจะซัพพอร์ทได้ผมก็ยินดี”
“สำหรับธุรกิจใหม่ของผมที่จะทำตอนนี้มี 4 ไลน์ ธุรกิจตัวแรกจะเป็นเกี่ยวกับอาหาร อย่างตอนนี้เราก็ได้เปิดตัว HAPPY LEMON ไปเรียบร้อยแล้ว เป็นแบรนด์มาจากฮ่องกงที่มีสาขาอยู่ทั่วโลกดังอยู่ทั่วโลก พอเราตัดสินใจออกมาเราก็ไปดีลกับแบรนด์นี้ พอทุกอย่างโอเคเราก็ซื้อเลยเริ่มทำธุรกิจเลย และมันก็ประสบความสำเร็จแล้วเปิดมา 2 เดือนขยายไป 4 สาขาแล้ว และภายในสิ้นปีนี้จะต้องเพิ่มให้ได้ 10 สาขาและจะขยายต่อไปเรื่อยๆ มันสามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้เร็วกว่า และพาร์ทเนอร์ธุรกิจตัวใหม่ของเราก็เป็นคนรุ่นใหม่ทำให้เขาสามารถตัดสินใจได้ง่ายกว่า สำหรับธุรกิจตัวนี้ตอนนี้ถือว่ากำลังไปได้สวยรายได้ 10 ล้านกว่าบาทต่อเดือน เรียกว่าเข้าเป้าแล้ว”
“ในส่วนของอาหารตอนนี้ก็แพลนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ผมยังไม่สามารถบอกแบรนด์ได้นะต้องรอเปิดตัวก่อน แต่อยากให้คิดง่ายๆ ว่า สมัยนี้มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นแบรนด์ที่มาจากเมืองนอก เราจะทำเป็นแบรนด์ไทยนี่แหละ โดยผมจะดีลกับคนที่เขาทำด้านอาหารอยู่แล้ว อย่างร้านยูดังอยู่แล้วอัพเตอร์ยูดังอยู่แล้วเราจะเอาคนเหล่านี้มารวมกันและช่วยกันคิดช่วยกันผลิต เขาศรัทธากับมุมมองการตลาดของเรา บวกกับความเก่งความชำนาญของพวกเขา เราก็จะเอาไอเดียมาสร้างสรรค์ทำเป็นแบรนด์ออกมา โดยที่เราจะใช้วัตถุดิบที่มาจากแหล่งเดียวกัน และถ้าเราจับกลุ่มกันซื้อจำนวนเยอะๆ เราจะได้ในราคาถูก ตรงนี้มันเป็นพาวเวอร์”
“ครัวไทยเรามันเป็นครัวโลกอยู่แล้วแต่ทำไมไม่มีใครทำให้มันเป็นแบรนด์ที่มันขายได้สากล ประชาคมอาเซียนกำลังจะเปิดในอีกไม่กี่ปี อาหารตรงนี้ของเราจะรองรับ เราอาจจะทำเป็นอาหารไทยบวกเวียดนาม บวกลาว บวกพม่า และขยายไปให้หลายประเทศเลย นี่เป็นสิ่งที่เราคิดและเริ่มทำแล้วจะได้เห็นในเร็วๆ นี้ นอกจากนั้นเราก็ยังมีร้านอาหารจากต่างประเทศที่ติดต่อเข้ามาอีก”
“ธุรกิจที่ 2 เป็นธุรกิจทางด้านมีเดียส์เป็นมีเดียส์ใหม่ที่เราจะมาพลิกนิดเดียวมันก็กลายเป็นสื่อตัวใหม่ได้ เราจะไม่บอกว่าเป็นมีเดียส์ใหม่หรือแปลกเพราะตอนนี้ใครๆ ก็ตามเทคโนโลยีกันทันหมดแล้ว ถ้าบอกว่าใหม่มันก็จะตอแหลมากกว่า แต่จะบอกว่า มันเป็นมีเดียส์ที่มีช่องทางการตลาดที่ฟังแล้วแบบ เออว่ะ...คิดได้เนอะ จะแถลงข่าวไม่เกินปีนี้แน่นอน มีเดียส์ตรงนี้มันจะใช้ในการซัพพอร์ทธุรกิจของเราด้วย แต่ในขณะเดียวกันที่สามารถทำเม็ดเงินได้ด้วย อย่างเราทำอีเว้นท์หนึ่งขึ้นที่เมืองไทย ก็จะมีการไปทำอีเว้นท์นั้นที่ลาวด้วยอะไรแบบนี้ สำหรับการลงทุนตรงนี้เรามีฐานลูกค้าอยู่แล้วก็ลงทุนโปรเจ็กต์นี้ไปเกือบ 100 ล้าน”
“ธุรกิจที่ 3 ก็คือธุรกิจที่เราทำปัจจุบันก็คือ ADVERTISING ก็จะลุยด้านโฆษณาที่เราถนัดเหมือนเดิม จะเปิดแถลงข่าวเดือนหน้าแน่นอน(แล้วไม่ชนกับแมทชิ่งเหรอ) ก็เขาไม่ทำเราก็ทำไง”
“ธุรกิจที่ 4 คือธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ แต่อาจจะงงว่าผมจะทำอะไร ตรงนี้ผมอาจจะไปจับกับเจ้าของที่ดินที่เขามีไอเดียอะไรบางอย่าง และเขาชอบไอเดียผมก็จะทำกัน แต่อย่างไรก็ตามเราคงไม่ทำไปแข่งกับแสนสิริ แต่เราไม่รู้จะให้คำจัดกัดความว่าไง เรียกว่าเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ตอนนี้ดีลไว้เรียบร้อยจะต้องเกิดกับนักธุรกิจรายใหญ่ 2 รายแน่นอน”
“เรามีที่อยู่ที่หนึ่งที่เจ้าของที่ได้คุยกับผมไว้แล้ว ผมก็บอกเขาว่าเราไม่จำเป็นจะต้องทำคอนโดมิเนียมที่เหมือนคนอื่นๆ เราควรจะหาตลาดที่ชัดเจน เช่น เราอาจจะทำน้อยยูนิตแต่ต้องชัดเจนและพิเศษ เช่นในอดีตมีโรงแรม ต่อมาก็มีโรงแรมบูทิค เหมือนกันตอนนี้มีคอนโดเราก็จะทำคอนโดบูทิคขาย สมมติ 10 ยูนิตมันจะไม่เหมือนกันเลย ออกแบบไม่เหมือนกันเลย เราจะทำตามออร์เดอร์ คนซื้อชอบสไตล์ไหนเราจะทำให้ อันนี้เป็นสิ่งที่นีชมาเก็ต เราวางแผน และพัฒนาร่วมกับเจ้าของที่ดิน แค่โครงการนี้โครงการเดียวทำแค่ 2 ปีได้กำไรแล้ว 90 ล้าน”
“2 เดือนที่ผ่านมาที่ผมได้ตัดสินใจออกจากแม็ทชิ่ง มันทำให้เกิดธุรกิจขึ้นมาทั้ง 4 ไลน์ มันมีอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาจนผมรู้สึกแปลกใจว่า ทุกอย่างมันเข้ามาเร็วและทุกทิศทุกทาง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะตอนที่เราอยู่แม็ทชิ่งเราไม่ได้เปิดตัวเองกว้างออกมา แต่พอเราเป็นอิสระทุกคนก็สามารถเข้ามาหาเราได้หมด”
“จุดเด่นของผมคือมุมมองที่เราคิดต่าง คาแร็กเตอร์ที่เราไม่เหมือนใครทำให้เรามีช่องทางมากขึ้น พลังของผมมันมีมากมายแต่มันถูกกดไว้ แต่ตอนนี้พอเราออกมาเหมือนมันได้ปลดปล่อยก็ทำงานทุกอย่างที่เราอยากทำ แต่ธุรกิจทั้ง 4 ไลน์ของผมจะไม่ได้ใช้เงินเยอะ ส่วนใหญ่จะมีพาร์ทเนอร์ที่เขาเชื่อในตัวเรา เชื่อในแนวทางการตลาดของเรา”
“ผมก็ตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 3 ปีนี้ธุรกิจของผมจะมีเงินไม่ต่ำกว่า 300 ล้าน แต่จะไม่ขอเข้าตลาดหลักทรัพย์อีกแล้ว ไม่ใช่ว่าเข็ดแต่การทำงานแบบนี้มันคล่องกว่า อันนี้ไม่ใช่ว่าเสียดายแม็ทชิ่งนะเพราะอันนั้นเราตั้งใจทำและมันเกิดขึ้นได้จริง และอยู่ได้ดี วันนี้ของผมมันเหมือนเมื่อ 20 ปีที่แล้วที่เราก่อตั้งแม็ทชิ่ง แต่แตกต่างกันที่ว่า วันนั้นผมนับหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย แต่วันนี้การนับหนึ่งของผมมีทุน มีคอนเน็คชั่น มีคนรู้จัก ทำให้การทำงานในก้าวแรกวันนี้ง่ายขึ้น”