“อี๊ด สุประวัติ” บวงสรวงละครเวที “นางเสือง” รายได้ถวายในหลวง และบางส่วนเข้ามูลนิธิสวัสดิการนักแสดงอาวุโส ตั้งเป้าปีนี้จะหาเงินให้ได้ 100 ล้านเพื่อเอามาใช้ประโยชน์ช่วยเหลือนักแสดงอาวุโสได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เผยปัญหาเพราะไม่มีใครจ้างงาน บวกกับนักแสดงอาวุโสไม่ได้วางแผนรองรับในยามที่ตัวเองไม่มีงานไว้จึงทำให้ขาดรายได้เป็นคนว่างงาน
จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีสำหรับละครดึกดำบรรพ์ ที่ทางมูลนิธิสวัสดิการนักแสดงอาวุโสสร้างขึ้น รายได้ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และนำเงินส่วนที่เหลือไปช่วยเหลือศิลปินอาวุโสที่ตกทุกข์ได้ยาก โดยในวันก่อนทางมูลนิธิฯ ก็ได้ทำพิธีบวงสรวงละครเวทีดึกดำบรรพ์ "นางเสือง" ในฐานะประธานมูลนิธิสวัสดิการนักแสดงอาวุโส “อี๊ด สุประวัติ ปัทมสูต” ได้ออกมาเผยถึงสภาพทางการเงินของทางมูลนิธิฯในปีที่ผ่านมาให้ได้ฟังว่า....
“รายได้เราเป็นรายได้ประจำที่ดี เรามีคนที่ช่วยสนับสนุนอยู่เป็นประจำ อย่างคุณสรพงษ์ ชาตรี นี่ก็ไม่เคยลืมเรา ว่างๆ แกก็ถือเช็คมาให้ ที่เขาให้เพราะเขารู้ว่าเขามาจากไหน แล้วเงินจะไปช่วยใคร เขารู้ถึงความเจ็บปวดที่ศิลปินไม่มีสตางค์ พวกนี้จะทำให้มูลนิธิเราอยู่ได้ แต่ก็ยังน้อยนะ เราใช้ได้แต่เงินที่เป็นดอกเบี้ย”
“จำนวนของศิลปินที่ตกทุกข์ได้ยากที่รอการช่วยเหลือจากสมาคมเข้าคิวกันเยอะมาก พวกศิลปินนี่แย่ตรงที่ไม่ได้เตรียมตัวหาอาชีพรองรับไว้ พอไม่มีงานการแสดงแล้วจะทำอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเตรียมความพร้อมกัน แต่ก็อย่าไปว่าคนอื่นเลย ผมเองทุกวันนี้ถ้าไม่มีใครจ้างไปทำงาน ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรเหมือนกัน นอกจากจะหางานทำชนิดที่ว่าเรียกเด็กเข้ามาสอน ตั้งเป็นบริษัทติวให้นักศึกษา นักเรียนในเรื่องของการแสดง เรื่องของการเขียนบท ผมเองก็หาทางออกให้กับตัวเองไว้อย่างนั้นเหมือนกัน นอกนั้นเราก็นึกไม่ออกว่าเราจะไปทำอะไรได้”
“เราเองก็สงสารเขา อย่างน้อยเราก็ต้องช่วยคนที่เคยเห็นหน้า คนที่เคยมาช่วยงานมูลนิธิตลอดก่อน มิฉะนั้นถ้าเราจะไปช่วยคนอื่นทั่วไปมันก็ไม่ได้ไง เราไม่มีสตางค์มากถึงขนาดนั้น เราใช้ได้แต่ดอก คิดดูว่าเรามีเงินต้น 10 ล้าน ได้ดอก 3 เปอร์เซ็นต์ เต็มที่ 10 ล้าน ก็ได้แค่ 3 แสนเท่านั้น คิดดูตอนนี้เราได้ 5 แสนต่อปี แต่เงินที่เราต้องไปช่วยเขาที่เรารับภาระอยู่เป็นสิบๆ คน คนละ 1.2 หมื่นต่อปี ไหนจะงานศพงานอะไร จบหน้าชนหลังนี่เกือบจะไม่ครบ เราก็กำหนดทุกปีว่าแต่ละปีจะมีคนได้รับเงินไม่เกิน 25 คน ส่วนเงินที่ต้องเสียมากที่ดูแล้วเป็นเงินหลายแสนบาทคือพวกค่าพวงหรีด ค่าทำศพ ซึ่งก็มาขอเบิกอยู่ตลอดเวลา เราก็ดูนะว่าเขาป่วยจริงไหม อยู่โรงพยาบาลจริงไหม ให้เอาบิลมาเบิก หัวท้ายก็เกือบจะชนกันแล้ว”
วอนผู้ใจบุญช่วยสนับสนุนมูลนิธิเพื่อให้มีเงินต้น 100 ล้าน ตนจะได้เอาเงินดอกเบี้ยไปทำประโยชน์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
“มันก็พูดแบบนั้นได้ไม่เต็มปาก แต่ของเราคือมันไม่เพียงพอที่จะเอาดอกเอาผลมาใช้ เพราะหลักการของมูลนิธิใช้เงินที่เขาเอามาบริจาคให้ไม่ได้ ต้องเอาไปฝากธนาคาร แล้วเอาดอกเอาผลตรงนั้นมาใช้ เราเองก็ได้แต่วิงวอนให้คนที่เขาเคยบริจาคมาตลอดนั้นอย่าลืมเรา เราก็เอามาผสมกัน”
“เราอยากได้สัก 100 ล้าน ใครได้ยินช่วยทีเถอะครับ เอาเงินเข้ามูลนิธิเราที ถ้าได้อย่างนั้นเราจะได้เงินมาใช้ 3 ล้านโดยประมาณ เราจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อนักแสดงที่เขาช่วยตัวเองไม่ได้จริงๆ อย่างคุณอโนเชาว์ ยอดบุตร ที่เขาแข็งแรงที่จะอยู่ได้ เขาก็ยังอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่รู้สึกตัว เราเองก็ยังต้องช่วยเขา พี่สาวเขาก็มารับเงินของเรา เขาเป็นคนแรกๆ ที่เรานึกถึงเลยว่าต้องจ่าย เพราะเขาเป็นคนดีไม่ได้เกเร อยู่ๆ มาได้รับอุบัติเหตุทำให้ญาติพี่น้องเขาพลอยแย่ไป เราก็ต้องดูแลเขา ส่วนเหล่านี้ยังไงเราต้องจ่าย เราก็ให้เขา 1.2 บาทต่อปีช่วยเขาไป”
“เราก็พยายามจะทำงาน ก็คือจัดงานการแสดงประจำปี เป็นละครใหญ่ให้ได้ตลอดไป ปีละเรื่อง ซึ่งรายได้ส่วนนึงที่ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปแล้ว ท่านก็มีพระเมตตาพระราชทานกลับมาถึงเรา อย่างปีที่แล้วได้กลับมา 5 แสนเพราะรายได้เราค่อนข้างน้อยหน่อย พวกเราก็ดีใจ แต่เอาจริงๆ นักแสดงอาวุโสพวกนี้ไม่มีใครอยากจะได้เงินจากเราหรอก ที่เขาอยากได้ เขาอยากได้งานมากกว่า เพื่อที่เขาจะได้หาเลี้ยงตัวเองได้ ก็ต้องวอนคนที่สามารถช่วยเหลือตรงนี้ได้เข้ามามองเห็นนะ”