xs
xsm
sm
md
lg

Vampire Hunter : เมื่อแวมไพร์ไม่ 'โรมานซ์'

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


สำหรับคอแอ็กชั่นตัวจริง น่าจะเคยได้ดูหนังเรื่อง Wanted ที่แปลกแหวกแนวด้วยการดีไซน์ฉากแอ็กชั่นมาแล้ว โดยเฉพาอย่างยิ่ง ฉาก Curving Bullet หรือการยิงปืนแบบปั่นไซด์กระสุนให้หมุนโค้งนั้น ถือว่า “ล้ำ” ไม่น้อยไปกว่าฉากคีอานู รีฟ หลบกระสุน (Bullet Time) ในเดอะแม็ททริกซ์ เลยทีเดียว Wanted นั้นเป็นผลงานของกำกับชื่อเรียกยาก อย่าง “ไทเมอร์ เบ็คแมมบีทอฟ” และเขากลับมาอีกครั้งแล้วครับกับหนังที่แปลกแหวกแนว (อีกนั่นแหละ) อย่าง Abraham Lincoln : Vampire Hunter

ที่บอกว่าแปลกแหวกแนว ก็เพราะว่า นี่เป็นการนำเอาตัวละครที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกาอย่างอับราฮัม ลินคอล์น โคจรมาพบกับแวมไพร์!! และจะเกิดอะไรขึ้น เมื่ออดีตประธานาธิบดีที่ได้รับการยอมรับในฐานะรัฐบุรุษของสหรัฐฯ ถือขวานเล่มยักษ์ออกไปฟาดฟัดกับผีดูดเลือด

ผลลัพธ์ของมันก็คือ “ความมัน” แบบไม่บันยะบันยังนั่นล่ะครับ!!

บอกกล่าวอย่างย่นย่อครับว่า นี่คือผลงานที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายขายดีชื่อเดียวกัน ของ “เซ็ธ แกรห์ม สมิธ” นักเขียนที่โดดเด่นในด้านการนำเอาสิ่งนั้นมาชนกับสิ่งนี้แบบยำใหญ่ นวนิยายแนวนี้ได้รับคำเรียกขานว่าเป็นแนว Mash-Up Fiction ซึ่งที่ผ่านมา นอกจาก Abraham Lincoln : Vampire Hunterแล้ว เซ็ธ แกรห์ม สมิธ ก็เคยหยิบเอาวรรณกรรมคลาสสิกของเจน ออสติน เรื่อง Pride and Prejudice มาคิดใหม่เขียนใหม่ยำใหญ่ใส่ผีดิบเข้าไปแล้วกับเรื่อง Pride and Prejudice and Zombies

โดยในหนังเรื่องนี้ เซ็ธ แกรห์ม สมิธ ก็เข้ามาทำหน้าที่เขียนบทให้ด้วย และขีดเส้นใต้ไว้ตรงนี้เลยครับว่า บทหนังนั้นดูค่อนข้างจะแตกต่างจากนวนิยายพอสมควร เหมือนเป็นการเขียนขึ้นใหม่โดยอาศัยเค้าโครงเดิม ดังนั้น รายละเอียดของนิยายต้นฉบับกับหนังบนจอเงิน จึงอาจจะผิดแผกแตกต่างกันไปบ้าง อย่างไรก็ดี อรรถรสความมันของเรื่องราว ยังเป็นสิ่งที่คนอ่านสามารถเก็บเกี่ยวได้เหมือนๆ กัน ทั้งในเวอร์ชั่นตัวหนังสือและภาพยนตร์ และก็น่าดีใจว่า ขณะที่หนังเรื่องนี้เข้าฉาย นิยายเรื่องดังกล่าวก็ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งได้ข่าวว่าขายดีจนตีพิมพ์ไปสองครั้งแล้ว

เนื้อเรื่องใน Abraham Lincoln : Vampire Hunter ออกสตาร์ทตั้งแต่อดีตประธานาธิบดีเป็นเด็กชายอับราอัมอายุ 11 ขวบ ท่ามกลางชีวิตวัยเยาว์ที่ยากลำบาก เขาได้เป็นประจักษ์พยานแห่งการตายจากของแม่ซึ่งถูกแวมไพร์ดูดเลือด เขากดเก็บความเจ็บปวดนั้นไว้พร้อมกับแรงแค้นที่จะเอาคืน จนกระทั่งเติบใหญ่ อับราฮัมได้พบเจอบุรุษลึกลับคนหนึ่งซึ่งนอกจากจะชักนำเขาเข้าสู่วงการล่าผีแวมไพร์ ชายลึกลับที่ว่ายังเป็นดั่งปรมาจารย์ผู้ฝึกสอนวิชาการต่อสู้ให้กับเขาด้วย

มองในแง่ของชั้นเชิงการแต่งเรื่อง ผลงานชิ้นนี้ถือว่าทำได้ดีตั้งแต่เป็นฉบับนวนิยาย เพราะถ้าเราลองตัดแง่มุมเกี่ยวกับการฆ่าแวมไพร์ออกไปแล้ว เราจะพบว่า พัฒนาการทางชีวิตของอับราฮัม ลินคอล์น นั้น ถูกนำเสนอควบคู่ไปกับภารกิจการล่าผีดูดเลือดได้อย่างเห็นภาพ อย่างน้อยที่สุด ผมคิดว่า หนังเรื่องนี้ก็ถ่ายทอดให้เราเห็นว่าความยากเข็ญของทาสที่เขาพบเจอตั้งแต่เด็ก คือแรงจูงใจอย่างหนึ่งซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นต้นตอประการสำคัญที่ทำให้รัฐบุรุษผู้นี้คิดการใหญ่ในเรื่องเลิกทาส ในเวลาต่อมา

ใครบางคนถามว่า ถ้าเราจะศึกษาประวัติศาสตร์ของอับราฮัม ลินคอล์น ผ่านหนังเรื่องนี้ ได้หรือไม่? ผมคิดว่า ในฉบับหนังนั้นดูเหมือนจะนำเสนอแบบเส้นทางชีวิตของอับราฮัมแบบกระชับรวบรัด เขาเกิดที่ไหน เติบโตมาแบบใด เข้าไปสู่เส้นทางการเมืองได้อย่างไร หรือกระทั่งวาระสุดท้ายจบตรงไหน ซึ่งค่อนข้างแตกต่างกับฉบับนวนิยายที่จะเล่นกับรายละเอียดค่อนข้างเยอะ

และใครก็ตามที่คิดว่าจะได้เห็นแวมไพร์หน้าวอกตาหวานและโรมานซ์ชวนวาบหวาม แบบเดียวกับแวมไพร์ในหนัง Twilight ลืมไปได้เลยครับ เพราะแวมไพร์ในเรื่องนี้ นอกจากจะไม่หล่อเอาซะเลยแล้ว ยังมาพร้อมกับความโหดร้ายชนิดที่คุณรักไม่ลงเลยทีเดียว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอุปมาอุปไมยพวกผีแวมไพร์กับบรรดาผู้มีอำนาจที่กดขี่ขูดรีดสูบเลือดสูบเนื้อประชาชนหรือคนที่เป็นทาสด้วยแล้ว ภาพแวมไพร์ผู้แสนดีก็จะมลายหายไปจากมโนภาพของคุณทันที...

เท่าๆ กับที่รู้สึกว่างานด้านวิช่วล ทั้งภาพและเสียง หนังทำออกมาได้อลังการสมกับเป็นผลงานที่มีโจทย์ตรงความน่าตื่นตาตื่นใจ การดีไซน์ฉากแอ็กชั่นในเรื่อง ยังเป็นจุดเด่นที่เราจะเห็นได้ในงานของผู้กำกับ Wanted ชิ้นนี้ ผมว่าเขาขยันคิดมุกสำหรับอุปกรณ์ต่อสู้และฉากแอ็กชั่นได้แปลกดีนะครับ เพราะถ้าไม่นับรวมเครื่องมือสังหารเจ๋งๆ อย่างขวานซึ่งมีปืนไว้ยิงด้วย การจับม้าทั้งตัวเหวี่ยงทุ่มเข้าใส่กัน ก็เป็นอะไรที่ต้องถามว่าคิดและทำไปได้ยังไง

แน่นอนครับ ทั้งหมดทั้งมวลมันอาจจะดูเว่อร์ๆ อย่างยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อมันมาอยู่ในหนังซึ่งไม่จำเป็นต้องแบกรับความเป็นจริงอะไรมากตั้งแต่แรกแล้ว คำถามที่หนังจะต้องตอบตัวเองให้สำเร็จก็คือ ทำยังไงก็ได้เพื่อให้มันสนุก แน่นอนว่า ฉากแอ็กชั่นทั้งหมดในเรื่อง ก็ตอบคำถามข้อนั้นได้อย่างไร้ข้อกังขา และเหนืออื่นใด อย่าไปพยายามหาเหตุผลอะไรจากหนังเลยครับ เพราะลำพังแค่พล็อตเรื่องมา ก็ถือว่าไม่เมกเซ็นส์อยู่แล้ว ประธานาธิบดีถือขวานออกไปล่าแวมไพร์ มันเป็นอะไรที่ผู้มีสัมมาทิฏฐิได้ยินแล้วก็ควรจะยิ้มด้วยความฮามากกว่าจะไปซีเรียสจริงจังอะไรกับมัน

และโดยส่วนตัวจริงๆ ผมรู้สึกว่า นี่คือหนังที่สร้างมาเพื่อตอบสนองความบันเทิงอย่างหมดจด ไม่เน้นสาระอะไรให้หนักสมอง ดูจบแล้วเดินออกจากโรงก็ปลอดโปร่งโล่งสบาย และทั้งนี้ทั้งนั้น ผมยังยืนยันคำเดิมครับว่า ถ้าดูหนังยังไม่เต็มอิ่ม เวอร์ชั่นนิยายยังมีอะไรให้เก็บเกี่ยวได้อีกเยอะมาก เกี่ยวกับผู้ชายที่ไม่ธรรมดาคนนี้ อับราฮัม ลินคอล์น








กำลังโหลดความคิดเห็น