“ท็อป” เตือน “บ๊วย” พิธีกรรุ่นน้องในการตอบคำถามสื่อ ควรตอบให้ตรงคำถาม และพูดความจริง บอกที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่ได้มาขอคำปรึกษา จึงไม่กล้าเอ่ยปากพูดให้คำปรึกษา แต่สังเกตเห็นว่า อยู่ในภาวะเครียด และไม่สดใสเหมือนเดิม
ความรักที่ร้าวของ “ตุ๊ก ชนกวนันท์ วัชรคุณ” และ “บ๊วย เชษฐวุฒิ วัชรคุณ” ที่มีข่าวว่า ทั้งคู่เซ็นใบหย่ากันไปเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา แต่กระนั้นก็ยังไม่มีข่าวคราว หรือข้อมูลที่หลุดปากออกมาจากทั้ง 2 ฝ่าย ล่าสุด ผู้สื่อข่าวมีโอกาสเจอสาว “ท็อป ดารนีนุช โพธิปิติ” พิธีกรรุ่นพี่ที่ทำงานร่วมกับหนุ่มบ๊วย งานนี้พิธีกรรุ่นพี่ เผย ไม่อยากยุ่งเรื่องชีวิตคู่พิธีกรรุ่นน้อง แต่รับมีแนะนำในการตอบคำถามกับสื่อมวลชน
“ไม่ยุ่งเลยนะเรื่องของชีวิตคู่ บางคู่คนดีคนเลวอยู่ด้วยกันไม่ได้ บางคู่คนดี 2 คน ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ บางคู่ก็คนเลว 2 คน อยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่เราจะไปตัดสินจากภายนอกไม่ได้ เขารู้ของเขากันเอง 2 คน เรามองคู่นี้จากคนนอก เราไม่ตัดสิน ต่างคนก็น่ารักทั้งคู่ แต่ในเมื่อเขาอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็ไม่รู้จะทำยังไง เรื่องรายละเอียดปลีกย่อยว่าเขาไปทำอะไรต่อกัน เราก็ฟังเขาพูดมา แต่น้องทั้ง 2 ไม่เคยพูดอะไรออกมานะ”
“แต่เราก็บอกกับบ๊วย ว่า อย่าเที่ยวไปบอกกับใครต่อใครว่า อย่ามายุ่งเรื่องส่วนตัว อันนี้พูดไม่ได้ เพราะตอนที่คุณรักกัน คุณประกาศบอกทุกคน แล้วคุณก็มีชีวิตทำมาหากินกับสาธารณะตรงนี้ สิ่งสำคัญคุณต้องพูดเรื่องจริงกับคนเขา ว่า มันเป็นแบบไหนเท่านั้นเอง คนไม่ได้ต้องการอยากจะไปยุ่งเรื่องชีวิตส่วนตัวของคุณมากหรอก เขาก็แค่อยากจะรู้ว่าจริงๆ มันเป็นยังไง”
“มีข่าวว่า คุณจะเลิกกันวันนี้มันจริงรึเปล่า ถ้าไม่เลิกคุณก็แค่บอกมาเท่านั้นเองตามตรง ไม่ใช่บอกว่ามันยังไม่เกิดขึ้น มันเป็นการตอบไม่ตรงคำถาม เขาถามว่า ตกลงวันนี้คุณเลิกกันรึยัง ถ้ายังก็บอกว่ายังครับ แค่นี้เอง ทำไมจะต้องเลี้ยวไปเลี้ยวมา ก็ยิ่งไปเป็นประเด็น”
“แต่เราก็ยังมองในมุมเขานะ ถ้าเข้าใจเขา เขาเองก็เครียดมากกับชีวิตคู่ของเขา เขาระวังตัวมาก ในมุมของเขาจะพูดอะไรออกมาก็ไม่รู้จะพูดยังไง เราก็บอกเขาว่า คนข้างนอกไม่ได้จะห้ำหั่นให้แกดีกันหรือเลิกกัน มันเรื่องของแก แต่สิ่งสำคัญคือ พูดเรื่องจริงเท่าที่เราพูดได้ คนเรามีปมในใจไม่เหมือนกัน เป็นเรื่องพูดยาก”
เป็นทั้งรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์ทั้งในเรื่องงานและเรื่องครอบครัว แต่ถ้าหาก “บ๊วย” ไม่มาขอคำปรึกษา ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง
“คือ ถ้าเขาไม่ถาม เราก็ไมได้ปริปากแนะนำอะไร รอให้เขาเอ่ยขึ้นมาก่อน เพราะของอย่างนี้ บางทีเราคิดว่าเราหวังดีแต่คำพูดที่เราพูดกับเขาไป มันทำให้เขารู้สึกแย่ก็ได้ เขาก็ไม่ได้มาปรึกษานะ เขาไปปรึกษาพี่ดู๋ (สัญญา คุณากร) แต่ก็จะมีเวลาไปออกรายการต่างๆ หรือสัมภาษณ์ ก็จะบอกว่าให้ตอบอย่างนี้นะบ๊วย จะตอบยังไงนั้น มันอยู่ที่เขาแต่เราพูดให้เขารู้ว่า คนมองเขายังไงอยู่ คนเรามันจะเกร็ง ที่ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไงกับตัวเองอยู่ เราก็บอกว่าอย่าไปหวั่นไหวกับอะไรที่คนวิพากษ์วิจารณ์ คนไม่รู้ว่าแกเป็นคนยังไง ฉะนั้นแกก็ต้องทำให้เขารู้สิ”
“ท็อป” ยังบอกอีกว่า หลังเกิดเรื่องราวขึ้นมา ก็สังเกตเห็นว่า “บ๊วย” เปลี่ยนไป ไม่เฮฮาเหมือนก่อน
“เขาเครียดมากนะ เขาเองไม่สบายใจ เวลาทำงานเขาไม่มีความสดใสเหมือนก่อน อย่างเพื่อนเราเขาส่งข้อความมาถามหรือวิจารณ์อะไรต่างๆ เราเองไม่เคยส่งให้น้องอ่าน เพราะไม่อยากจะเอาอะไรไปใส่มันอีก ก็พยายามชวนคุยเรื่องอื่น กับตุ๊กเอง ก็คุยทักทายให้กำลังใจอยู่ห่างๆ เพราเราไม่กล้าเข้าไปยุ่ง เวลาเห็นเขาเลี้ยงลูก ก็บอกเขาให้เลี้ยงลูกดีๆ อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะเราไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทที่จะพูดอะไรกันได้ทุกอย่าง เราก็ต้องเคารพสิทธิ์ของเขา”
“เราก็เควรเลือกที่จะอยู่ในฐานะผู้ฟัง ถ้าเขาถามเรา ก็ให้ความเห็นในฐานะคนกลาง เรื่องนี้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราเองก็คิดเยอะนะ กว่าจะตอบเขา จะให้คำปรึกษาเขา เพราะคำปรึกษาบางเรื่องมันฝังใจ แล้วมันก็มีอิทธิพล พอมันมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเขา แล้วบางเรื่องมันก็ไปเปลี่ยนวิถีชีวิตเขา คนเรามองข้างนอกมันก็แค่นั้น มองรอบตัวบ้านก็ไม่รู้หรอกว่าข้างในบ้านมีอะไร ถ้าเรารู้จักตัวเองดี รู้จักวิถีชีวิตของเราคู่ชีวิตของเรา และการใช้ชีวิตคู่ของเราดีเราจะรู้ว่าคำตอบนั้นเป็นยังไงโดยไม่ต้องพึ่งคำแนะนำหรือคำพูดใคร”