xs
xsm
sm
md
lg

ถามหาจรรยาบรรณ “ไก่ ภาษิต” สุดฉุนข่าวเต้าคู่เกย์ “หมอโอ๊ค-สน ยุกต์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ไก่ ภาษิต” สุดฉุนถูกเล่นข่าวเป็นเกย์ไม่เลิก เจ้าตัวยันไม่รู้จักทั้ง “หมอโอ๊ค” และหนุ่ม “สน” พร้อมถามหาจรรยาบรรณคนเขียน ออกปากยอมรับหวั่นกระทบภาพผู้ประกาศ ส่วนความสัมพันธ์ “แหวนแหวน” แค่พี่น้อง

คาราคาซังไม่จบสิ้นเสียทีกับข่าวกิ๊กนักร้องหนุ่มหน้าใส “หมอโอ๊ค สมิทธิ์” ที่ยาวนานกว่า 7 ปีของผู้ประกาศข่าวหนุ่มหน้าตี๋ “ไก่ ภาษิต” ที่ล่าสุดมีข่าวทำนองนี้อีกครั้งกับพระเอกหนุ่ม “สน ยุกต์ ส่งไพศาล” ถึงขั้นควงกันไปเที่ยวทะเลที่ใต้ แถมเช็กอินเปิดโรงแรมอยู่ด้วยกัน ทำเอาเจ้าตัวนั้นถึงกับออกอาการฉุน เพราะที่ผ่านมาตนไม่เคยรู้จักทั้งสองคนเป็นการส่วนตัวเลยนั่นเอง

“กับ สน ยุกต์ เราไม่รู้จักกันเลยครับ ยังไม่เคยพูดคุย ยังไม่เคยเจอหน้ากัน ยังไม่เคยเห็นตัวจริงของเขาเลย (หัวเราะ) ผมเห็นแต่ในจอทีวีครับ ส่วนมีข่าวว่าเราไปเที่ยวทะเลที่ใต้ด้วยกัน แล้วเช็กอินโรงแรมสองต่อสองนั้น ไม่จริงครับ ยังไม่เคยเจอกันเลย แล้วก็ยังไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ เลยว่าสนหน้าตาเป็นยังไง ไม่รู้ด้วยว่า ช่างมันดีกว่า แต่ไม่เคยเจอกันครับ แต่ก็รู้ว่าหน้าตาสนหน้าตาเป็นยังไง แต่ไม่ค่อยได้ติดตามผลงานเท่าไรครับ ตกใจไหม ผมเพิ่งได้ยินวันนี้ครับ ก็เลยยังไม่ทราบ เพิ่งได้ยินวันนี้จริงๆ ครับ”

“รู้สึกยังไงที่เราโดนข่าวแบบนี้ตลอด จริงๆ ผมโดนเป็นคนๆ เดียวมาตลอดนะครับ แต่ว่าหมายถึงบุคคลที่สามที่โดนพาดพิง วันนี้เพิ่งได้ยินคนนี้มาเป็นคนที่สองในชีวิต ตกใจเหมือนกันครับ แต่ว่าไม่รู้จักกันครับ แต่ก็ยังดีที่มันก็ง่ายหน่อย ตรงที่ว่าพอดีไม่รู้จักกัน ถ้าเกิดว่ารู้จักกันอาจจะ แต่นี่คนละเรื่องคนละช่องด้วย”

เจ้าตัวยอมรับมีอาการไม่พอใจ เพราะถูกพาดพิงอยู่เรื่อยๆ ซึ่งตนในฐานะคนทำข่าวคนหนึ่งมองว่าการทำข่าวเช่นนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติแหล่งข่าว

“ใช่ครับ อันนี้ผมไม่พอใจครับ แล้วก็รู้สึกโกรธ คือ เมื่อสองสามวันมานี้ ผมได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพาดหัวข่าวพาดพึงถึงผม ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยพอใจเท่าไรครับ ในฐานะที่ผมทำข่าวเหมือนกัน เราเป็นนักข่าวเหมือนกัน ผมเคยทำหน้าที่แบบนี้ ผมรู้สึกว่าการให้เกียรติแหล่งข่าวเป็นเรื่องสำคัญมาก หรือว่าการจะพาดพิงน่าจะยกหูถึงผมไหม เพราะทุกคนมีเบอร์ผม ผมเข้าใจแบบนั้น” 

“เพราะเราทำงานอยู่ในวงการเดียวกัน การที่พาดพิงถึงผมโดยไม่ใช่ความจริงนั้น ผมรู้สึกว่าทุกคนที่เป็นข่าว ณ ตอนนั้นเสียหายหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นผมหรือว่าคุณหมอโอ๊ค หรือว่าจะเป็นคุณโอปอล์นะครับ ถ้าได้อ่านผมว่าไม่ดี ข่าวข้างในของหนังสือพิมพ์พูดดีมาก โอ้โหดีใจด้วยกับความรักของทั้งคู่ แต่พาดหัวข่าวทำร้ายทุกคนเลย ส่วนจะเป็นตรงไหนผมว่าไปดูเองดีกว่า คือเขาไม่ได้เอ่ยชื่อผมโดยตรง แต่ว่ามันพาดพิงมาถึงผมครับ”

“ข่าวกับคุณหมอโอ๊คเกิดครั้งแรกในปี 49 เป็นปีแรก ผมจำแม่นนะครับ เพราะเป็นปีแรกที่ผมอ่านข่าว ผมเพิ่งอ่านข่าวได้เพียง 2 เดือนเอง ก็เป็นข่าวกับคุณหมอโอ๊ค ตอนนั้นตกใจมาก เพราะว่าไม่รู้จักด้วยว่าคือใครด้วยซ้ำ แต่ว่าจนถึงวันนี้ผ่านมาเกือบ 7 ปีแล้ว ผมยังไม่เคยคุยกับคุณหมอโอ๊คเลย ขออนุญาตที่ต้องเอ่ยนามที่ชัดเจน ผมอยากให้มันเคลียร์ คือ เราไม่รู้จักกัน ตั้งแต่ปี 49 จนถึงปัจจุบัน ผมก็จะพูดในประโยคเดิมตลอด ก็คือ เราไม่รู้จักกันเลย เราไม่เคยได้คุยกันหรือได้แนะนำตัวสวัสดีครับ เคยไปทำงาน ยืนห่างกันไม่เท่าไร แต่ผมก็ไม่กล้าเข้าไปคุย คือไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกันนะครับ”

“ก็เลยมีความรู้สึกว่าทุกครั้งที่ผมให้สัมภาษณ์ก็จะพูดเหมือนเดิมตลอด ว่า มันไม่เป็นความจริง เพราะฉะนั้นน่าจะให้เกียรติแหล่งข่าว ผมไม่ซีเรียสเลยที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์กันในอินเทอร์เน็ต หรืออะไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเกย์ ตุ๊ด แต๋ว หรือเป็นอะไร เป็นสิ่งที่คนวิพากษ์วิจารณ์ได้ คนเลือกที่จะเชื่อได้ หรือเลือกที่จะไม่เชื่อได้ถูกไหมครับ แต่ประเด็นเชิงชู้สาวชู้หนุ่ม น่าจะให้เกียรติผมในฐานะแหล่งข่าว ผมพูดชัดเจนตลอดว่าไม่รู้จักกัน”

บอกไม่จำเป็นต้องเคลียร์กับอีกฝ่าย เพราะไม่มีอะไรต้องเคลียร์กัน พร้อมถามหาจรรยาบรรณคนเขียนข่าว ส่วนเรื่องฟ้องคงไม่ฟ้อง เพราะเชื่อว่าสังคมตัดสินได้...“ไม่ครับ คือมันไม่มีอะไรต้องเคลียร์กัน เพราะเราไม่รู้จักกัน ยังไม่เคยคุยกันเลย ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเป็นเป็นหมอโอ๊คเวลาพูดคุยจะเป็นอย่างไรในฐานะนักข่าวนะครับ ผมยังไม่เคยเจอ ก็เลยไม่มีโอกาสที่จะไปพูดคุยกันนะครับ”

“ตั้งแต่มีข่าวที่บ้านยังไม่มีใครถามเลยครับ แต่คือในมุมของผม ผมเป็นนักข่าวเหมือนกับทุกท่านใช่ไหมครับ แล้วผมมีหัวโขนเป็นผู้ประกาศข่าว ผมว่ามันกระทบกับความน่าเชื่อถือ เหมือนกับว่าสิ่งที่ผมพูดมันควรจะเป็นข้อเท็จจริงและเป็นความจริงใช่ไหมครับ”

“แต่ว่าถ้านำไปพาดหัวในทำนองว่าผมพูดไม่จริง ผมรู้สึกว่ามันกระทบกับงานผม และกระทบกับอาชีพของผม มันเลยทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจ คุณจะวิพากษ์วิจารณ์ยังไงก็ได้ อย่างน้อยแอดผมเข้าไปสิครับ โทร.มาถามผม ผมยินดีที่จะให้สัมภาษณ์ ยินดีจะพูดเสมอ แต่ถ้าไม่เป็นความจริงเราน่าจะช่วยกัน”

เคยคิดจะฟ้องมั้ย?

“อ๋อ ไม่คิดขนาดนั้นครับ ตอนแรกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟควันออกหู ปรึกษาผู้ใหญ่ แต่สรุปสุดท้ายไม่ฟ้อง ผมว่าอย่างนี้ดีกว่า พวกเราคนในวงการเดียวกันหมดเลย พวกเราเป็นนักข่าวบันเทิง ผมว่าอย่าทำให้ปลาเน่าตัวเดียวมันเน่าไปหมด เวลาที่มีเรื่องแบบนี้ ผมถามคนคนจะพูดว่า ก็นี่นักข่าวบันเทิง ผมว่ามันแย่นะ ถูกไหมครับ”

“ผมเชื่อว่า ทุกคนในที่นี้ 99 เปอร์เซ็นต์เป็นคนดี และไม่เต้าข่าว แต่ว่าถ้ามีคนมาพูดว่านักข่าวบันเทิงประเทศไทย มันไร้จรรยาบรรณ มันเป็นพวกเต้าข่าว ผมว่าไม่น่ารักเลย ผมก็เลยมองว่าวงการเราจะช่วยกันเอง ผมฝากกับทุกๆ ท่านในที่นี้ว่าเราน่าจะช่วยกัน แล้วอยากให้หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเขาลงขอโทษไหม ก็ไม่เป็นไรครับ ก็ดูไปอยากทำอะไรก็ทำ ผมว่าเราช่วยกันเอง สังคมช่วยกันตัดสินได้ครับ”

ส่วนข่าวกับ “แหวนแหวน ปวริศา” เจ้าตัวรับสนิทกันตั้งแต่เมื่อครั้งทำงานอยู่วิกหมอชิต แต่ความสัมพันธ์คงเป็นได้แค่พี่กับน้องเท่านั้น

“ผมเพิ่งทราบวันนี้เองครับ กับแหวนเองเป็นพี่เป็นน้องกัน จริงๆ เรารู้จักกัน สนิทกันตั้งแต่อยู่ช่อง 7 แล้ว เพราะว่าเราทำรายการในเวลาไล่เลี่ยกัน เมื่อก่อนแหวนทำจมูกมด แล้วก็ผมทำข่าวเช้า เจอแหวนวิ่งไปวิ่งมาทุกวัน สนิทกันตั้งแต่ช่อง 7 มาอยู่ที่นี่แหวนมาก่อนผม พอผมจะมาจะถามใครได้นอกจากถามแหวนแหวน ก็เลยสนิทกัน แต่ว่าเป็นพี่เป็นน้องกันครับผม แหวนเขาก็ติงต๊อง”

“ส่วนข่าวว่า ผมชวนแหวนทานข้าวนั้น (ยิ้ม) โห เราทานข้าวด้วยกันบ่อยมากเลย แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นที่สถานีครับ เพราะว่าพอแหวนมาทำที่ช่อง 3 ทำสีสันสด ผมก็เป็นรายการต่อจากสีสันสดอีก เป็นรายการข่าวเย็น เจอกันทุกวันเลย ก็มีไปทานข้าว แต่ก็ทานที่สถานี บางครั้งก็มีไปทานที่อื่นบ้าง แต่ก็ใกล้ๆ ครับ” 

มีข่าวโทร.ปลุกอีกฝ่ายทุกเช้า?...“ไม่ขนาดนั้นครับ แต่ว่าข่าวนั้นผมอ่านละ ที่แหวนบอกว่า วันมาครอบครูใช่ไหมครับ ก็มีปลุกครับ ผมส่งแมสเสจไปปลุก เพราะว่ามันได้เวลาแล้วนะ แต่ประเด็น คือ ผมซื้อขันไว้ครับ ต้องทวงหนี้ 600 บาท (หัวเราะ) ต้องรีบมาเอาขัน (มีคนเชียร์เห็นโสดทั้งคู่?) เราเป็นพี่เป็นน้องกันครับ คงยาก มันสนิทกันจนคุยกันแบบขำๆ แล้ว มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้ น้องเขาก็เป็นคนน่ารักดีครับ”



กำลังโหลดความคิดเห็น