หลังจากเจ็บปวดมาเป็นพักๆ จากหนังเรื่องก่อนๆ ซึ่งดูไม่เข้าเป้าเท่าไรนักในด้านรายได้ ค่ายหนังไฟว์สตาร์คงยิ้มออกเสียทีกับผลงานล่าสุดอย่าง “407 เที่ยวบินผี” ซึ่งมีองค์ประกอบที่จะทำให้กอบโกยเงินได้พอสมควร
เพราะเมื่อดูจากหน้าหนัง รวมทั้งคำโปรโมท มันกระตุ้นต่อมอยากดูของผู้ชมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างน้อยที่สุด ผมคิดว่า จากชื่อหนังและนักแสดงอย่างคุณมาช่า วัฒนพานิช นั้น ถือเป็นแม่เหล็กดึงดูดได้ค่อนข้างดี ชื่อหนังฟังดูตลาดๆ เข้าใจง่าย ฟังแล้วเข้าใจว่าดูแล้วจะได้อะไรจากหนังเรื่องนี้ ขณะที่คุณมาช่าเองก็มีเครดิตที่ดีจากหนังผีเรื่องก่อนๆ
นั่นย่อมหมายความว่า “ทัศนวิสัยในการบิน” เที่ยวนี้ของไฟว์สตาร์ ค่อนข้างแจ่มใสไร้เมฆ และอาจมีแสงสีรุ้งพุ่งพราวอยู่เบื้องหน้า
โดยส่วนตัว ผมคิดว่า ถ้าไฟว์สตาร์ไม่คิดเพียงแค่ “อยู่ไปวันๆ” แต่มีจินตนาการเกี่ยวกับกำไรอยู่ในหัวบ้าง ต้องทำอะไรๆ ให้มันแตะต้องกับรสนิยมของผู้ชมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แน่นอนว่า เราเห็นความพยายามเช่นนี้ของไฟว์สตาร์อย่างเด่นชัดในหนังที่กำหนดจุดพิกัดของเรื่องราวให้เกิดขึ้นในสถานที่จำกัดอย่างเครื่องบินลำหนึ่ง
เที่ยวบินผี 407 เทคอ๊อฟออกจากสนามบินพร้อมกับผู้โดยสารต่างพื้นฐานที่มา แต่หลักๆ น้ำหนักของหนังจะอยู่ที่พ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่งซึ่งดูจะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไรนัก รวมไปจนถึงแอร์โฮสเตจอย่าง “นิว” (มาช่า วัฒนพานิช) ผู้เป็นปริศนาของเหตุการณ์ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในเที่ยวบินมรณะไฟลท์นี้
ไม่ใช่หนังผีไม่มีแก่นสาร... ในทางตรงกันข้าม ผมคิดว่า เที่ยวบินผีเที่ยวนี้มีเนื้อหาที่ให้จับต้องได้ระดับหนึ่ง หนังมีความพยายามที่จะสื่อให้เห็นเรื่องของเวรของกรรม ใครทำอะไรไว้ สุดท้าย ผลของสิ่งนั้นจะตามมา ไม่ว่าดีหรือเลว ขณะเดียวกัน สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดแบบสัตว์ที่เห็นแก่ตัวและขลาดกลัวในยามวิกฤติ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นซึ่งสัมผัสได้ อย่างไรก็ตาม...
ในแง่ของประเด็น ผมมองว่าหนังยังดูครึ่งๆ กลางๆ น้ำหนักของมันยังดูเบาบางเกินกว่าจะรู้สึกร่วมอย่างลึกซึ้งไปด้วยได้ โฟกัสของหนังในเรื่องประเด็นยังดูเก้ๆ กังๆ
พูดง่ายๆ คือ หนังไม่เน้นจุดที่ควรเน้นให้จงหนัก จะเน้นเรื่องความร้าวฉานในครอบครัว รึก็ไม่สุด จะพูดเรื่องเวรเรื่องกรรม รึก็ไปไม่ถึง จะบอกเล่าความเหี้ยมโหดของผู้คนที่กลัวว่าตนจะลำบาก รึก็ไร้ความลึกเสียเหลือเกิน
ใช่แต่เพียงเท่านั้น การกำหนด Mood & Tone (อธิบายสั้นๆ ก็บรรยากาศอารมณ์โดยรวมนั่นแหละครับ) ของหนังนั้น ต้องยอมรับว่ามีปัญหา เพราะอันที่จริง โดยตัวตนของหนังนั้นดูซีเรียสจริงจังนะครับ แต่กลับถูกทำให้เซไปส่ายมา ทั้งจากไดอะล็อก เช่น ถ้าตายไปจะตบผีให้หัวทิ่ม อะไรอย่างนี้ ขณะที่เสียงวี้ดว้ายกะตู้วู้ของแอร์ฯกระเทยคนนั้น มันแย่งอรรถรสและอารมณ์ของหนังไปอย่างมากมายเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้มันส่งผลต่อ Mood & Tone ของหนัง จนกระทั่งเราเกิดคำถามในใจว่า มันเป็นหนังผีหรือว่าหนังตลกกันแน่?
แต่ที่แย่ไปกว่านั้น...
คือบรรดาผีทั้งหมดที่ออกมาเพ่นพ่านหลอกหลอน มันเป็นผีที่ “ไม่น่าจดจำ” เอาซะเลย ผีอะไรต่อผีอะไรไม่รู้ มั่วไปหมด บางช็อตบางฉาก ยังนึกว่าเป็นกองทัพซอมบี้ด้วยซ้ำไป ไม่รู้จะไปทำให้มันเหมือนผีฝรั่งทำไม
ผมคิดว่าส่วนหนึ่งซึ่งทำให้ผมไม่รู้สึกอะไรกับผีเหล่านี้เลย (แถมอยากจะ “ตบหัวผี” สัก 4-5 ฉาด เหมือนตาลุงคนนั้น) เพราะมันเป็น “ผีที่ไม่มีคาแรกเตอร์” สังเกตดูก็ได้ครับ หนังผีที่น่าจดจำทั้งหลาย เช่น เป็นชู้กับผี, The Exorcist, นางนาก, ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ ฯลฯ ที่เรากลัวมันก็เพราะมันมีคาแรกเตอร์ มีเป้าหมายมีจุดประสงค์ที่แน่นอนในการหลอนการหลอก แต่สำหรับเรื่องนี้ ไม่ใช่ หนังใช้ผีเปลืองเกินไป จนหาจุดพิกัดไม่เจอว่าควรเน้นผีตัวไหนเพื่อให้คนดูเกิดความรู้สึกว่าไอ้ผีตัวนั้นตัวนี้มันน่ากลัวจริงๆ ถ้าออกฉากมาตอนไหน คนดูจะต้องสะดุ้งสะเทือน
ขณะที่ผีดูรุ่มร่ามรุงรัง การตัดต่อก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องใช้คำว่ามีปัญหาอย่างมาก มันทำให้หนังขาดความลื่นไหลต่อเนื่องทางอารมณ์ เราจะเห็นฉากที่แบบว่า วินาทีก่อนหน้า เอะอะโฉ่งฉ่าง ผ่างๆๆ แต่วินาทีถัดไป หนังตัดฉับไปที่ภาพตัวละครนั่งจ๋องๆ หงอๆ อยู่ เป็นแบบนี้บ่อยมาก มันผิดหลักของหนังหลอนๆ นะครับ เพราะอย่างน้อย คุณควรจะเลี้ยงอารมณ์ของความหลอนไว้ก่อนสักเล็กน้อย แล้วค่อยเคลื่อนย้ายไปฉากใหม่ ไม่ใช่เอะอะ ก็ตัดฉับๆๆ แบบนั้น
ส่วนบทหนัง ก็น่าเสียดายว่า คุณโขม-ก้องเกียรติ โขมสิริ ที่ผมเคยชอบงานกำกับเขียนบทของเขามาตลอด ทั้ง “ไชยา” และ “เฉือน” แต่เรื่องนี้ เขามาร่วมเขียนบทด้วย (อีกสองคนผมไม่รู้จัก) “มือตก” ลงไปเยอะ น่าเสียดาย...หนังไม่มีความลึก ไม่มีมิติอะไรเลย เช่นเดียวกับนักแสดงหลักอย่างคุณมาช่า บทบาทดูก๊อกแก๊กมาก สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณมาช่าทำได้ในหนังเรื่องนี้ คือ ทำท่าเอ๋อๆ งงๆ แล้วก็เป็นลม ความดีความงามที่เราเคยเห็นในเรื่อง “แฝด” ไม่ปรากฏให้เห็นเลยในเที่ยวบินผี
แล้วก็มาถึงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการเป็นหนัง 3 มิติ ผมไม่คิดว่าจะมีความจำเป็นตรงไหนกับการที่หนังต้องเป็น 3 มิติ เพราะมันน่าผิดหวังมาก ถ้าไม่นับรวมเรื่องขับเครื่องบินมาโฉบจมูกคนดูอยู่ราวๆ 2-3 ครั้ง นอกนั้นก็ธรรมดา ความเป็น 3 มิติ มันน่าจะเสริมส่งให้คนดูรู้สึกราวกับว่าได้ก้าวขาเข้าไปอยู่ร่วมกับสถานการณ์เดียวกับตัวละคร แต่นี่เราสัมผัสไม่ได้เลย
กระนั้นก็ดี คงต้องยอมรับล่ะครับว่า ไฟว์สตาร์เริ่ม “ทำเป็น” แล้ว กับกลเม็ดในการขายหนัง อย่างน้อยๆ ผีในเครื่องบินลำนี้ก็น่าจะ “หลอก” คนดูได้หลายล้ายบาทอยู่ เพราะความที่หน้าหนังนั้นดูน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม มันจะดีกว่านี้ ถ้าหากผลลัพธ์ภาพรวมของหนังจะไม่ออกมาในแบบที่ว่า “จะหลอนก็ไม่ถึง จะลึกจะซึ้งก็ไม่สุด” อย่างที่เป็นอยู่ มันครึ่งๆ กลางๆ เหมือนเครื่องบินผีสิงซึ่งบินวนอยู่บนนภากาศ แต่ไม่ยอมแลนดิ้งสู่จุดหมายไหนสักที
และสุดท้าย “เที่ยวบินผี 407 หน้าหนังสดใส แต่ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง” คงต้องบอกแบบนี้...