นับตั้งแต่เจมส์ คาเมรอน ทำหนังฟอร์มยักษ์เรื่อง Avatar คนในวงการหนังก็ดูจะตื่นเต้นวิ่งตามความเป็นสามมิติกันอย่างถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่แวดวงหนังบ้านเราที่ก็เริ่มมีส่งเสียงกันให้ได้ยินมาพักหนึ่งแล้วว่าจะทำหนังสามมิติ
อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้ก็มีสองเรื่องที่ประกาศแบบนั้น คือ “407 เที่ยวบินผี” กับ “แม่นาค 3D” และไม่รู้เป็นอะไร พยายามเกทับกันเหลือเกินว่า นี่เป็นหนังสามมิติเรื่องแรกของเมืองไทย ก็ไม่รู้จะชิงกันไปทำไมกับการเป็นเรื่องแรก ราวกับว่า พอมีคำว่า “เรื่องแรก” แล้วมันจะทำให้หนังเลิศเลอขึ้นมาทันตาเห็น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ถ้าจะยกให้ใครเป็นเรื่องแรก ก็ต้องเป็นแม่นาค 3D เขาล่ะครับ เพราะเข้าฉายก่อนเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว และสิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจมากๆ ก็คือว่า เพราะอะไร ทั้งที่ถ่ายทำออกมาเป็นหนังสามมิติแท้ๆ แต่กลับไม่มีสามมิติให้ดู ผมเช็กกับทางโรงหนัง จึงรู้ว่า โรงที่ฉายแม่นาค 3D นั้น มีเพียงสองโรง แถวๆ รังสิต!
เขาใช้ตรรกะแบบไหนคิดว่าต้องฉายเฉพาะที่โรงหนังแถวรังสิตเท่านั้น อุตส่าห์ทำสามมิติออกมาทั้งที ทำไมฉายเพียงแค่นั้น ทั้งที่จะว่ากันตามจริง เรื่องของ “ภาพ” น่าจะเป็นจุดที่ดีที่สุดแล้วสำหรับหนังเรื่องนี้
แม่นาค 3D ในเชิงเนื้อหา ถือว่าไม่มีอะไรใหม่ หนังยังคงเดินตามเรื่องราวและเรื่องเล่าที่เราเคยรู้กันอยู่แล้ว หนังพยายามขายความซาบซึ้งตรึงใจในรักแท้ระหว่างแม่นาคกับพ่อมากตามสูตร เพียงแต่ทำออกมาได้ด้อยกว่าที่คิดไว้เยอะ
จนถึงตอนนี้ ผมคิดว่า ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับแม่นาคพระโขนงเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด ยังคงเป็นของนนทรีย์ นิมิบุตร (นางนาก ปี 2542) ซึ่งดูกลมกล่อมลงตัวในทุกๆ ด้าน หนังรู้เป้าหมายของตัวเองว่าจะนำเสนอเรื่องอะไร ขณะเดียวกัน แม้โดยภาพรวมของหนังจะถูกจัดวางให้เป็นหนังรัก แต่ความน่ากลัวของแม่นาคก็ยังคงมีให้เห็นสำหรับคนชอบดูหนังผีหลอนๆ
แต่แม่นาค 3D การดำเนินเรื่องดูสะเปะสะปะมาก หนังพุ่งไปทางโน้นทีทางนี้ที กว่าจะจับเรื่องราวความรักความผูกพันระหว่างตัวละครเอก หนังก็ปาเข้าไปเกือบๆ ท้ายเรื่อง
ผมคิดว่าหนังเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องเยอะเกินไป และบางจังหวะ หนังดูเหมือนจะยกให้เรื่องอาคมคุณไสย์เป็นเรื่องหลักเสียด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นทั้งเรื่อง ผมคิดว่าจะดีกว่านี้มาก เล่นคาถาอาคมขลังกันเป็นเรื่องหลักไปเลย แบบไม่ต้องมาพะวงกับเรื่องรัก และมันจะเป็นแม่นาคเวอร์ชั่นที่แปลกออกไปอีกแบบหนึ่ง
เทคนิคอีกอย่างหนึ่งคือการแฟลชแบล็ก เล่าเรื่องราวย้อนหลัง ผมมองว่ามันน่ามึนงงมากกว่าจะแสดงถึงศักยภาพของการเล่าเรื่อง ผมจะยกตัวอย่างตอนที่พ่อมากกลับมาจากทหาร เขานั่งอยู่บนเรือและเล่าให้คนพายเรือจ้างฟังว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ภาพแฟลชแบ็กที่เขาเล่า คือภาพของแม่นาคกำลังเกี่ยวข้าวและปวดท้องครรภ์ขึ้นมากะทันหัน คำถามก็คือ พ่อมากที่ไปทหารตั้งแต่เมียเพิ่งตั้งท้องใหม่ๆ จนเมียตายจากถึงกลับมาบ้าน จะมีภาพแบบนั้นอยู่ในหัวได้อย่างไร มึนๆๆๆ???
เท่าๆ กับที่รู้สึกว่า บุคลิกภาพของพ่อมากยังดูลักลั่นประดักประเดิด คือจะขรึมแบบพระเอกตามแบบแผนไปเลยก็ไม่ใช่ หรือจะให้ตลกโก๊ะกังไปเลยก็ไม่ใช่อีก ผมคิดว่า การกลับมาเล่นหนังอีกครั้งของตั๊ก-บงกช คงมาลัย ในบทแม่นาคผู้อาภัพรัก เธอดูสวยในยามปกติและดูดุในเวลาน่ากลัว แต่ก็น่าเสียดาย บทหนังไม่ส่งเธอเลยแม้แต่น้อย ผมยังคงชอบตั๊ก-บงกช ในบทบาทเรื่องบางระจันภาคหนึ่งหรือ “ไอ้ฟัก” มากกว่า และใครก็ตามที่หวังจะได้เห็นตั๊กตู้มทะลุจอ ก็จงปลดวางความหวังนั้นเสีย เพราะแม่นาคภาคนี้ เขาขายความสวยของตั๊กอย่างเดียวครับ
จากภาพรวมทั้งหมด ทำให้ผมเชื่อมั่นเต็มร้อยกับข่าวที่ได้ยินมาว่า หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นมาเพราะการ “ลองของ” หมายความว่า ทางค่ายหนังได้ไปซื้อกล้องสามมิติมาอันหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่เวลาคนได้ของใหม่มา มันก็ต้องลองกันหน่อย สุดท้ายก็มาลงเอยที่การถ่ายทำเรื่องแม่นาค พล็อตหรือโครงเรื่องมีอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดอะไรใหม่มาก
อยาก “ลองของ” ก็ได้ลองจริงๆ ล่ะครับ ผมมองว่าเทคนิคด้านภาพน่าจะเป็นส่วนที่ดีที่สุดของงานชิ้นนี้แล้ว อย่างน้อยๆ หลายฉากในหนังนั้นดูสวย ทีมงานไปหาโลเกชั่นได้ดี การใช้สีในภาพก็ดูย้อนยุคเหมาะสมกับช่วงเวลา ขณะที่ก็นึกเสียดายว่าถ้าได้ดูแบบสามมิติ อาจจะได้อรรถรสกว่านี้ โดยเฉพาะตอนที่ปราบผีนั้น เอฟเฟคต์ดูเยอะๆ ดี น่าจะมีอะไรทะลุทะลักจออกมาให้ตื่นตาตื่นใจบ้าง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าไปถามถึงตัวเนื้อเรื่องหรือบทหนังนะครับ เพราะมันก็จะเป็นเช่นเดียวกับที่ผมพูดไว้บ่อยๆ ว่า ไม่ว่าเทคนิคจะอลังการขนาดไหน แต่สุดท้าย สิ่งที่จะทำให้คนดูเอนเตอร์เทนได้จริงๆ ก็คือบทหนังและการเล่าเรื่อง อย่าว่าแต่หนังไทยเลยครับที่มีปัญหาเรื่องนี้ แม้แต่ฮอลลีวูดที่เป็นบ้านเกิดของหนังสามมิติ ก็ล้มหัวฟาดพื้นมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่