แกรมมี่กรุยทาง “เสก(หลอน)” คืนวงการ!!

บาดหมางกันถึงขั้นที่เรียกว่า “ไม่เผาผี” แต่จู่ๆ วันดีคืนดี บริษัทเพลงยักษ์ใหญ่อย่างแกรมมี่ก็มีทีท่าโอนอ่อนคล้ายจะอ้าแขนต้อนรับร็อกเกอร์เมายา “เสกสรร ศุขพิมาย” หรือ “เสก โลโซ” กลับมาคืนรังแบบเร็ววัน เริ่มจากการประโคมข่าวเรื่องการเข้ารับการบำบัดอาการติดยาเสพติด ตามด้วยการปูดข่าวอาการของเสกที่ “ดีขึ้น” เป็นระยะๆ ผนวกเข้ากับการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารแกรมมี่และศิลปินระดับซูเปอร์สตาร์ในค่ายที่พูดเป็นนัยๆ ว่าให้อภัยและพร้อมต้อนรับการกลับมาทำงานเพลงของเสกเสมอ

คงไม่ต้องเท้าความให้เปลืองพื้นที่กับข่าวสุดฉาวรับปลายปีของ “เสก โลโซ” ที่วีรกรรมความชั่วถูกอดีตภรรยาสาวไส้ออกมาแบบหมดพุง ทั้งเรื่องความเจ้าชู้ ทำร้ายร่างกาย แต่สิ่งที่หนักหนาและสังคมให้ความสนใจมากที่สุดก็คือการใช้ยาเสพติดของนักร้องดังที่การันตีด้วยภาพและเรื่องแบบฟูลออปชันก่อนที่จะตอกย้ำเรื่องดังกล่าวด้วยการออกมาแถลงข่าวยอมรับของเจ้าตัวที่พ่วงพาอาการเพ้อหลอนแบบคนติดยาขั้นหนักมาให้ได้เห็นกัน

หลังจากนั้นกระแสสังคมก็จี้ไปที่ผู้มีส่วนรับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะบรรดาตำรวจผู้พิทักษ์ทุกข์สุขของประชาชนที่แลดูนิ่งเฉยกับเรื่องดังกล่าวเหมือนทองไม่รู้ร้อน เมื่อประชาชนจี้หนักเข้าคนในเครื่องแบบเหล่านั้นก็พลิกหาข้อกฎหมายมารับรองการนิ่งเฉยของตัวเองในทำนองว่า รูปถ่าย “เสกเสพยา” เป็นรูปที่เกิดขึ้นที่ต่างประเทศ พวกเขาไม่สามารถเอาผิดอะไรได้จึงจำต้องปล่อยไปแบบนั้น

หลังจากนั้นไม่นานก็มีการแถลงข่าวว่า “เสก” กำลังจะเข้ารับการบำบัดอาการติดยาเสพติดที่สถาบันธัญญารักษ์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ท่ามกลางความยินยอมพร้อมใจของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตัวและครอบครัว

แต่ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับเสกที่เล็ดลอดออกมาอีกครั้ง ก็เป็นผลงานการรายงานจาก “กานต์ วิภากร ศุขพิมาย” อดีตภรรยาของเสกที่ยังคงยึดเฟซบุ๊กเป็นสำนักข่าวส่วนตัว ระบุว่า “เสก” อาศัยจังหวะที่คนคุมเผลอปั่นจักรยานออกมาจากสถาบันธัญญารักษ์ ก่อนจะยื่นหน้าไปโบกแท็กซี่กลับบ้านมาหาภรรยา กานต์บอกว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสกตัดสินใจหนีออกมาจากสถานบำบัดแห่งนั้นอย่างอุกอาจก็เพราะเป็นห่วงเรื่องทรัพย์สินเงินทองหลักล้านบาทที่เขาเพิ่งถอนออกมาจากธนาคาร โดยบอกว่าทางญาติๆ ของเสกได้เก็บเอกสารเกี่ยวกับการเบิกเงินทั้งหมดไว้ แต่กานต์ย้ำว่าเสกประสงค์จะให้เธอเป็นฝ่ายเก็บเอกสารเหล่านั้นไว้ เมื่อหนีออกมาจนถึงบ้านเสกจึงติดต่อให้ญาติๆ นำเอกสารทางการเงินมาให้เธอเก็บไว้ แต่หลังจากทางสถาบันธัญญารักษ์มาตามตัวเสกกลับไปไม่นาน ญาติๆ ของเสกก็งัดประตูบ้านเข้ามาเอาเอกสารทางการเงินเหล่านั้นกลับไปอีกครั้ง

นี่คือเรื่องเล่าจากปากคำของอดีตภรรยาซึ่งเป็นหนังคนละม้วนกับเรื่องเล่าของ “อ้อม พรพิมล เทพพิชัย” ผู้จัดการส่วนตัวของเสก ที่บอกว่าก่อนเข้าไปรับการบำบัด เสกได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ทนายความและ “หงส์ ฑยุตา ศุขพิมาย” น้องสาวแท้ๆ ของเสกเป็นคนจัดการทรัพย์สินทั้งหมดของเสก ซึ่งเสกก็สั่งอย่างเข้มงวดว่าถ้ามีใครจะเบิกเงินของเขา แม้จะมีเอกสารที่มีลายเซ็นเขาก็ต้องให้ธนาคารโทรศัพท์ไปสอบถามเขาก่อนว่ายินดีที่จะให้เบิกเงินหรือไม่

หนังเรื่องเดียวกันแต่เล่าคนละฉากเช่นนี้ดูท่าจะมีต้นกำเนิดมาจากความเป็น “ตัวเงินตัวทอง” ของเสก ซึ่งอาจทำให้เกิดศึกครั้งใหม่ระหว่างญาติๆ ของเสกที่มีผู้จัดการส่วนตัวร่วมด้วยกับอดีตภรรยา

และความเป็นตัวเงินตัวทองนี้เองที่ทำให้เราได้เห็นสัญญาณบางอย่างของอดีตค่ายต้นสังกัด “แกรมมี่” ที่เริ่มส่งสัญญาณออกมาว่าพร้อมที่จะให้เสกกลับมาทำงานแล้ว

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ต่างฝ่ายต่างสาดคำใส่กันชนิดที่ใครได้ยินก็ต้องคิดว่าชาตินี้คงจะไม่มีโอกาสได้เห็นเสกกับแกรมมี่กลับมาจูบปากกันอีกอย่างแน่นอน อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ในเร็ววันนี้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แกรมมี่ต้องงอนง้อเสก โลโซ ให้กลับมาสร้างรายได้ให้แกรมมี่ เพราะหลายครั้งที่ทะเลาะเบาะแว้ง ความเห็นไม่ตรงกัน เสกโลโซลากกระเป๋าไปใช้ชีวิตที่เมืองนอกก็ยังต้องง้อให้กลับมาร่วมงานกันอีกอยู่เรื่อยๆ ทั้งที่ตอนนั้นไม่มีเรื่องยาเสพติดมาเกี่ยวข้องเลย

ความจริงเรื่องยาเสพติดนี้ แกรมมี่รับทราบมานาน เสกเองก็เคยจัดปาร์ตี้ที่ใต้ถุนตึกแกรมมี่ มีนางแบบสาวๆ ที่ว่าจ้างมาร่วมงานมากมาย ซ้ำยังมีผู้ใหญ่บางท่านของแกรมมี่ร่วมอยู่ด้วย มึงมาพาโวยเบ่งคับใต้ถุนกันมาแล้ว

แต่ ณ วันนี้ สัญญาณที่แกรมมี่ส่งมา บวกกับข่าวการบำบัดรักษาเสกที่ทั้งหมอและญาติๆ ดาหน้ากันออกมาบอกว่าอาการของเสกดีขึ้นตามลำดับ เมื่อนำมาเชื่อมโยงกันก็เห็นได้ชัดว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าบรรดาแฟนเพลงจะได้เห็นผลงานใหม่ของเสกกับต้นสังกัดเดิมแบบที่ไม่ต้องรอกันจนเหงือกแห้ง
ทีมแพทย์ผู้บำบัดออกมาพูดถึงอาการของเสกเป็นระยะๆ ว่าเสกมีอาการที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก อาการเพ้อลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยระบุชัดเจนว่าสมองส่วนที่ถูกทำลายคือสมองด้านการรับรู้ซึ่งไม่ส่งผลต่อการแต่งเพลงเพราะเป็นการทำงานของสมองคนละส่วนกัน

ภาพการนั่งเล่นกีตาร์ยิ้มแย้มที่ออกสู่สาธารณชนอาจเป็นเครื่องการันตีอีกทางว่าเสกอาการดีขึ้น หรืออาจพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่า เป็นภาพที่ทำให้เราคิดว่าเสกอาการดีขึ้นจนสามารถกลับมาเป็นศิลปินเหมือนเดิมได้แล้ว

ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งเข้าไปรับการบำบัดได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น หากเทียบกับการติดสารเสพติดที่อดีตภรรยาเคยบอกว่าเสกใช้มาเป็นเวลากว่า 8 ปีนั้น ก็ต้องบอกว่าระยะเวลาในการบำบัดกับระยะเวลาในการใช้สารเสพติดไม่สามารถเทียบกันได้เลย

ล่าสุด “เล็ก บุษบา ดาวเรือง” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ออกมาพูดแล้วว่าทราบดีว่าเสกกำลังรักษาตัว ซึ่งเขาก็ขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้ และถ้าเขากลับใจ เราก็พร้อมที่จะให้โอกาส

“ในช่วงเวลาที่ทำงานด้วยกัน เสกเป็นน้องที่ดีคนหนึ่ง ทำงานด้วยความรับผิดชอบ เมื่อป่วยก็ไปรักษา พอหายแล้วก็กลับมาให้ความสุขกับทุกคน ขอให้ทุกคนให้โอกาสเสก”

สอดคล้องกับคำพูดของ “เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์” ซูเปอร์สตาร์รุ่นพี่ที่บอกว่า ถ้าน้องรู้ผิด เราก็ควรให้อภัย และที่สำคัญก็คือน้องเพิ่งทำผิด เขายังมีเวลาทำดีอีกมากมาย

เป็นสัญญาณที่ชัดเจนแจ่มแจ๋วจากแกรมมี่ว่าตอนนี้ไฟเขียวแก่ๆ พร้อมที่จะให้ร็อกเกอร์รายนี้หวนกลับไปแล้ว

อย่างไรก็ดี เคสของเสกนี้ ทางทีมแพทย์ของสถาบันธัญญารักษ์ได้พูดเอาไว้ตั้งแต่วันแรกๆ ของการบำบัดแล้วว่าต้องใช้เวลาบำบัดอย่างต่อเนื่องประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ก่อนที่แกรมมี่จะค้อนจนตาเขียว คุณหมอก็สรุปออกมาว่ากรณีของเสกน่าจะใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนก็สามารถให้ทางญาติตัดสินใจต่อได้แล้วว่าจะต้องบำบัดที่นี่หรือกลับไปดูแลตัวเองที่บ้านก็ได้

ดูจากท่าทีของคุณหมอและญาติๆ รวมถึงอดีตต้นสังกัดอย่างแกรมมี่แล้ว ก็ต้องยอมรับว่าโอกาสที่หวยจะออกมาว่าเสกอาการดีขึ้นจนสามารถกลับมาเป็นศิลปินได้แล้วมีสูง ซึ่งเราก็คงจะต้องจับตาดูกันต่อไปว่าร็อกเกอร์ที่ชื่อ “เสก โลโซ” จะกลับคืนสู่วงการในแบบที่ “เร็วผิดปกติ” หรือไม่ จริงอยู่ที่เมื่อคนทำผิดสำนึกตัวและลงมือปฏิบัติเพื่อแก้ไขเราก็ควรจะให้อภัย แต่หากเร่งดอกเร่งผลรวบรัดขั้นตอนจนเกินไป ผลดอกที่น่าจะสวยงามอาจดูดีเพียงเปลือกนอก เรื่องนี้แกรมมี่คงต้องพิจารณาให้ดีว่าในระยะยาว มันคุ้มหรือไม่?

ขณะเดียวกัน ทรัพย์สมบัติไม่ว่าจะเป็นเงินทองและทรัพย์สินของ “เสก โลโซ” ก็จะเป็นหนึ่งหนึ่งปัญหาสำหรับวงศาคณาญาติและผู้ใกล้ชิด ที่จะต้องเป็นข่าว “ทึ้ง” และอยู่ในกระแสอีกระยะหนึ่ง เพราะ“เสก”ยังเป็นตัวเงินตัวทองของค่ายเพลงและครอบครัวตัวจริง เรื่องนี้น่าจะถือเป็นอีกหนึ่ง “มหากาพย์ในเงามืดของวงการบันเทิง”
..........................................

ที่มานิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับ 119 วันที่ 14-20 มกราคม 2555