xs
xsm
sm
md
lg

เชอร์ล็อก โฮล์มส์ (2) : น่าร้ากง่ะ/ไก่ อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ

กลับมาแล้วหลังทิ้งช่วงจากภาคแรกไปนาน 2 ปีพอดิบพอดีสำหรับหนังแอ็กชั่นที่น่าจะมีหลายคนให้ความสนใจติดตามอยู่พอสมควรอย่าง "เชอร์ล็อก โฮล์มส์" กับตอนที่มีชื่อว่า A Game of Shadows (เกมพญายมเงามรณะ)

สองพระเอกมาดกวน สุดหล่อ "โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์" และ "จู๊ด ลอว์" กลับมารับบทของพวกเขาอีกครั้งในบทของโฮล์มส์ และ หมอวัตสัน โดยคราวนี้ทั้งคู่ต้องต่อกรกับตัวร้ายตัวใหม่ผู้ซึ่งมีความรู้ความสามารถตลอดจนปฏิภาณไหวพริบที่ทัดเทียมกันหรืออาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำอย่างศาสตราจารย์เจมส์ มอริอาร์ตี้ ที่ได้ "จาเร็ด แฮร์ริส" มาสวมบทดังกล่าว

จากที่เคยเป็นตัวละคร "ปริศนา" ในภาคแรก มาภาคนี้นอกจากจะเผยโฉมศาสตราจารย์มอริอาร์ตี้ให้เห็นหน้าค่าตากันตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว หนังยังปูเรื่องให้รู้กันแบบไม่ต้องเก็บไปสงสัยเลยครับว่าจะมีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องราวเลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นอีกหรือเปล่าด้วยการให้พระเอกของเราได้เผชิญหน้าแบบโต้งๆ กับตัวร้ายที่ประกาศก้องว่าตรูนี่แหละคือผู้ร้ายที่จะจัดการกับแก คนรักของแก เพื่อนของแก แน่จริงก็หยุดตรูให้ได้สิวะ...

เพราะฉะนั้นการดำเนินเรื่องหลักๆ จึงอยู่ที่ว่าพระเอก(คู่)ของเราจะหนีรอดจากการรุกรานของอีกฝ่าย รวมถึงจะทำอย่างไรถึงจะเปิดโปงว่าศัตรูคนนี้มีแผนการรร้ายที่ยิ่งใหญ่มากๆ ซุกซ่อนอยู่

เทียบกับภาคแรก(ดับแผนพิฆาตโลก) แม้ปมปริศนาต่างๆ ที่ถูกผูกขึ้นมาในภาค 2 ยามเมื่อถูกถอดเฉลยออกมาจะดูขาดน้ำหนักเหตุผลความน่าเชื่อถือไปบ้างจนไม่รู้สึกว่ามีอาการอึ้ง! แต่กลับรู้สึกว่ามันมั่วไปนิดๆ เสียมากกว่า (อารมณ์เหมือนกับความรู้สึกที่ได้ดู Ocean's Eleven กับ Ocean's Twelve อย่างไรอย่างนั้น) ทว่าโดยส่วนตัวผมว่าก็เป็นหนังที่ดูสนุกดี

ย้ำนะครับว่าเป็นความรู้สึกโดยรสนิยมส่วนตัวจริงๆ

เพราะจากปฏิกิริยาหลังหนังจบเท่าที่สังเกต หลายคนเดินออกมาแบบเงียบๆ บางคนบอกหลับสบายดี ฯ เดาได้เลยว่าคงมีจำนวนไม่น้อยที่ถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้อาจจะรู้สึกว่าหนังไม่มีอะไรเลย แถมออกจะน่ารำคาญด้วยซ้ำในความเก่งเวอร์ของพระเอก มุกตลกที่เดาได้ ขณะที่ตัวศาสตราจารย์เองแม้จะถูกสร้างขึ้นมาโดยให้มีความเก่ง ความฉลาดสุดๆ แต่หนังกลับถ่ายทอดออกมาให้สัมผัสถึงความรู้สึกดังกล่าวได้น้อยมากๆ

แต่อย่างที่เคยบอกไว้ว่าบังเอิญหนังสไตล์แอ็กชั่นเท่ห์ๆ + ตลกกวนๆ ยิ่งจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งเช่นนี้หากเป็นหนังที่ทำได้ถึงจุดที่ควรจะเป็น ต่อให้ปมปัญหาตลอดจนการเล่าเรื่องจะซ้ำๆ ซากๆ คาดเดาเนื้อหาหรือแม้กระทั่งบทสรุปได้ สำหรับผมแล้วดูเมื่อไหร่ก็รู้สึกสนุกเมื่อนั้นแหละครับ

แถมเรื่องนี้ยังได้พระเอกที่แอบปลื้มอย่างโคจรมาเจอกันอีกต่างหาก

ว่าถึงนักแสดงอย่าง โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ต้องบอกว่ากับคาแรกเตอร์กวนๆ แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจตลอดจนสติปัญญาที่โคตรจะฉลาดนั้นดูเหมือนจะกลายเป็นคาแรกเตอร์หลักในหนังแอ็กชั่นที่แกแสดงไปแล้ว ขณะที่ทางด้านของสุดหล่อ จู๊ด ลอว์ ในบทพระรองที่ต้องตกเป็นลูกไล่เช่นนี้ก็ดูแปลกตาไปอีกแบบ

ในเชอร์ล็อก โฮล์มส์ ภาคที่แล้วถ้าใครดูและรู้สึกว่าฉากหึง-หวง พ่อแง่-พ่องอน ของโฮล์มส์กับหมอวัตสันเยอะแล้ว ภาคนี้ต้องบอกว่าเยอะกว่าครับ

แถมยังดูกุ๊กกิ๊กๆ กันเสียจนถ้าพูดด้วยสำนวนวัยรุ่นก็ต้องว่า...น่าร้ากง่ะ...

ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าผู้กำกับอย่าง "กาย ริตชี่" แกต้องการจะทำประชดประชัน ยั่วยวนยุไปยัง "แอนเดรีย พลังเก็ต" ผู้ถือลิขสิทธิ์นิยายและตัวละครเชอร์ล็อก โฮล์มส์ ในสหรัฐฯ ที่เคยออกมาประกาศตั้งแต่ที่มีการสร้างหนังเรื่องนี้ภาคแรกแล้วว่าจะถอนสิทธิ์การสร้างหนังทันทีหากภาพยนตร์มีการทำให้ตัวละครเอกสองตัวนี้ดูแล้วเป็นโฮโมเซ็กชวลกันหรือเปล่า?

ที่ดูหวือหวาขึ้นกว่าภาคแรกอีกเรื่องก็คงจะเป็นฉากแอ็กชั่นที่อึกทึกครึกโครมดีเหลือเกิน ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นไปตามเนื้อผ้าเนื่องจากในภาคนี้เนื้อเรื่องส่วนหนึ่งนั้นพูดถึงเรื่องราวของ "อาวุธ" ที่ถูกพัฒนาขึ้นมานั่นเอง

พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็น่าตลกนะครับ

เพราะในขณะที่มนุษย์เรามุ่งพยายามคิดค้นเทคโนโลยีต่างๆ จนได้มาซึ่งเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยนัยหนึ่งก็เพื่อที่จะยกระดับสภาพ "การมีชีวิต" ทว่าในขณะเดียวกันความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็กลับถูกบางคนนำไปผลิตเป็น "อาวุธ" ที่มีแสนยานุภาพในการทำร้ายทำลายเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

แต่เรากลับเรียกมันว่าการ "พัฒนา"
...
ทิ้งท้ายด้วยเรื่องตลกฝืดๆ สักเรื่องนึงครับ


"เจอกันทุ่มนึงที่หน้าโรงหนังนะครับ ได้ครับ ครับ ขอบคุณครับ..." ผมกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ ปลายทางเป็นคนที่จะนำตั๋วชมหนังเรื่องเชอร์ล็อก โฮล์มส์ รอบพิเศษเมื่อวันวานที่ผ่านมา (21 ธ.ค.54) ที่สกาล่ามาให้

ที่ผ่านมาการไปดูหนังรอบสื่อหรือว่ารอบพิเศษอะไรทำนองนี้สำหรับคนที่เป็นนักข่าวแล้วไม่ค่อยจะวุ่นวายนักหรอกครับ ก็แค่จองชื่อยืนยันไว้ แล้วก็ไปลงทะเบียนเอาที่หน้างาน แต่บิงเอิญเรื่องนี้มีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นเลยจำต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น

ระหว่างเดินทางไปยังที่นัดหมาย ผมก็เริ่มพบว่าตนเองน่าจะมีปัญหาซะแล้ว เนื่องจากระบบโทรศัพท์เครือข่ายที่ผมใช้ที่คิดว่าจะใช้ได้หลังจากล่มมาตั้งแต่ช่วงบ่ายก็ยังคงใช้การไม่ได้อยู่เช่นเดิม

ที่สำคัญก็คือคนที่จะนำตั๋วมาให้นั้นเป็นคนที่ผมไม่เคยรู้จักหรือว่าเจอะเจอหน้าค่าตากันมาก่อนเลยนั่นเอง (รู้แค่ชื่อ เบอร์โทร ทำงานในองค์กรเดียวกันแต่คนละแผนก)

ไปถึงโรงหนังทุ่มครึ่งตามเวลานัดหมายพอดี เดินวนๆ เวียนๆ เผื่อจะเจอคนที่รู้จักสักคนก็ปรากฏว่าไม่เจอสักกะคน เลยต้องเผ่นไปหาตู้โทรศัพท์สาธารณะแทน

เดินก็ไม่สะดวกเพราะติดทั้งคนเดินถนน คนซื้อของ พ่อค้าแม่ค้า แผงลอย ทั้งๆ ที่นี่มันบนฟุตบาธชัดๆ ชักเริ่มรู้สึกไม่ดีที่ทำให้คนอื่นต้องมารอ

เฮ้อ ในที่สุดก็เจอแล้ว ยกหู มีสัญญาณ หยอดเหรียญบาท จำนวนเลขตัวเงินไม่ขึ้น ลองเอาเหรียญ 5 หยอดดูสิ ไม่ขึ้นเหมือนกัน (เริ่มหงุดหงิด) ไปตู้อื่นก็ได้วะ วางหู อ้าว เงินไม่ไหลออกมาซะงั้น

เดินหาต่อ (หงุดหงิดๆ) เจอตู้ที่สอง ยกหู เงียบ ไม่มีสัญญาณ

(หงุดหงิดๆ) เดินหาต่อ เจอตู้ที่ 3 ตู้ที่ 4 ไม่รู้ว่าเสียไม่เสีย แต่เข้าไปโทรไม่ได้เพราะกลายเป็นร้านขายเสื้อผ้าไปแล้ว

(หงุดหงิดๆ) ตู้ที่ 5 นี่ก็ไม่รู้ว่าเสียไม่เสียแต่เข้าไม่ได้ เพราะพี่ๆ ชาววินฯ จับจองใช้วางทั้งกระติกน้ำ หมูปิ้ง

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่า กว่าผมจะได้ใช้โทรศัพท์คุยกับคนที่นัดหมายไว้ก็กินเวลาไปนานเกือบจะ 20 นาทีทีเดียว

ยอมรับเลยครับว่าตอนนั้นอารมณ์หงุดหงิดมากๆ

ที่น่าเจ็บใจก็คือ หลังวิ่งหาโทรศัพท์ขาขวิดพลันก็ได้เจอคนรู้จักขึ้นมาทันที

...แหม ทำตัวเป็นรถเมล์เลยนะพี่ พอรอละก็เงียบฉี่ พอไม่รอละก็มากันจัง...
กำลังโหลดความคิดเห็น