"แค่เป็นข่าวว่าเป็นแฟนกับ...เนี่ยนะ ต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ?"
น้องในออฟฟิศเปรยออกมาระหว่างนั่งชมรายการโทรทัศน์รายการสดรายการหนึ่งร่วมกับเพื่อนๆ 2-3 คน
ในจอเป็นภาพของเด็กสาววัย 19 ซึ่งตกเป็นข่าวว่ากำลังคบหาอยู่กับนักร้องหนุ่มชื่อดังที่เพิ่งจะมีข่าวว่าเลิกรากับแฟนคนเก่าได้ไม่นานกำลังนั่งตอบคำถาม 2 พิธีกรที่ซักไซร้ไล่เลียงทั้งที่มาของการได้มาพบกันของทั้งคู่ รวมถึงความรู้สึกต่างๆ ของเธอที่ต้องมาเป็นแฟนกับหนุ่มที่ว่ากันว่าหล่อระดับขั้นเทพ
ขณะที่นอกจอ น้องคนที่ว่ากับเพื่อนๆ ก็แสดงความคิดเห็นกันอย่างออกรสถึงตัวของเด็กสาวในจอตลอดจนเนื้อหาการนำเสนอของรายการไปจนกระทั่งรายการจบ
...
"มันกลับมาเป็นข่าวอีกแล้วหรือนี่..."
พี่ที่ออฟฟิศเอ่ยขึ้นมา ซึ่งแม้จะเป็นรูปประโยคคำถามแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะใช้เพื่อการบอกเล่ากับพี่อีกคนที่กำลังใช้เมาส์คลิกเพื่ออ่านรายละเอียดของข่าวอดีตนักร้องคนหนึ่งที่เพิ่งจะพ้นโทษออกมาหลังติดคุกจากคดีฉ้อโกงนานกว่า 9 เดือนเสียมากกว่า
"นี่เห็นว่ามีคิวไปออกรายการฯ มีนักข่าวให้ความสนใจเตรียมจะสัมภาษณ์เพียบเลยนะ"
"เออก็ดีนะ แบบนี้ก็มีเงินใช้หนี้ที่โกงเขามาแล้วสิ..."
"ไม่รู้ว่ะ เพราะเห็นแต่บอกว่าจะกลับตัว จะเป็นคนดี ติดคุกชดใช้กรรมไปแล้ว ส่วนเรื่องหนี้เลยไม่อยากจะขอพูดถึง..." ฯลฯ
...
"อ้าว แล้วนี่เป็นอะไรกันล่ะเนี่ย..."
แม่ถามผมด้วยความสงสัยหลังเปลี่ยนช่องในจอทีวีแล้วมาพบภาพของวัยรุ่นชาย-หญิงหลายคนพากันร้องห่มร้องไห้อยู่
ยังไม่ทันที่ผมจะตอบว่าอะไร (เนื่องจากไม่รู้เพราะเพิ่งจะเห็นภาพเหมือนกัน) เสียงรายงานจากทีวีก็ตอบให้เสร็จสรรพโดยมีใจความว่าภาพที่เห็นเป็นบรรยากาศการเปิดรับสมัครการแข่งขันร้องเพลงในเขตภาคอีสานของรายการดังรายหนึ่ง
ซึ่งทันที่ที่เปิดให้มีการสมัครปรากฏว่าได้มีวัยรุ่นทั้งชาย-หญิงพากันมาสมัครมากมายกระทั่งใบสมัครที่เตรียมไว้ 2 พันใบไม่พอ เป็นเหตุให้มีคนผิดหวังเป็นจำนวนมาก
หลายคนนั้นถึงกับเก็บความเสียใจเอาไว้ไม่อยู่จนต้องร่ำไห้ปล่อยโฮออกมา โดยมี 2 นักร้องรุ่นพี่จากเวทีนี้ที่บินไปสร้างสีสันคอยปลอบให้กำลังใจ
"คือมันเป็นความฝันในชีวิตของหนูเลย หนูขอแค่ให้ได้เข้าประกวดสักครั้งหนึ่งก็พอแล้ว..." วัยรุ่นสาวคนหนึ่งให้สัมภาษณ์พร้อมน้ำตานองหน้า ก่อนจะยืนยันว่าหากในเขตภาคกลางที่กรุงเทพๆ เปิดรับสมัครเมื่อไหร่เธอจะตามไปสมัครอย่างแน่นอน
ฯลฯ
...
ช่วงนี้ผมกำลังถูกอกถูกใจกับงานเพลงของวงดนตรีวงหนึ่งอยู่ครับ

"เวตาล่า" คือชื่อวงดนตรีที่ว่าที่มีสมาชิกที่ประกอบไปด้วย ต่อ ณัฏฐพล เกษบุญชู (ร้องนำ-กีต้าร์), นนท์ ทศพล แสงสุวรรณ กีต้าร์, เน็ก กรกช สุดสวัสดิ์ (เบส-ดนตรีไทย) และ กี้ ปฏิภาณ ศาสตร์อำนวย (กลอง) โดยชื่อวงนั้นก็มาจากวรรณกรรมสันสกฤตโบราณเกี่ยวกับเรื่องราวตำนานนิทานเวตาลนั่นเอง
หลังปล่อยซิงเกิ้ลออกมา 2 - 3 เพลง จนพอเป็นที่รู้จักในโลกโซเชี่ยลเน็ทเวิร์ค รวมถึงงาน EP ชุด SOLILOQUY ตอนนี้พวกเขามีอัลบั้มเต็มในสังกัด Muzikiss Record ออกมาแล้วครับในชื่อชุด THE MOON TALES โดยมีเพลงทั้งเก่าใหม่บรรจุรวมอยู่ในอัลบั้มชุดนี้ทั้งสิ้น 12 เพลงด้วยกัน
ว่ากันถึงแนวดนตรี โดยหลักก็ต้องถือว่าเป็นร็อกนั่นแหละครับ เพียงแต่ในแต่ละเพลงก็จะมีท่วงทำนองสำเนียงอื่นๆ เข้ามาเป็นสีสันทั้ง ฟังก์ แร็พ ฉ่อย ลิเก ฯ ขณะที่เสียงของนักร้องนั้นแม้จะมีนิตยสารเพลงชื่อดังเล่มหนึ่งบอกว่าเสียงแบบนี้ "ไม่ถึง" แต่โดยส่วนตัวผมว่ามีเอกลักษณ์และเข้ากับสไตล์ของงานเพลงที่ถูกปรุงออกมาเป็นอย่างดี
ที่ชอบมากๆ ก็คงจะเป็นเพราะเนื้อหาของเพลงที่ส่วนใหญ่ไม่ใช่เพลงรัก เพลงอกหักวนเวียนอยู่กับ ฉันรักเธอ ฉันจะแย่งเธอมา ฉันยินดีจะปล่อยเธอไป ฉันจะเก็บเธอไว้ทั้งสองคน (ไม่ใช่ว่าไม่เพราะ ไม่ชอบนะครับ เพียงแต่มันเยอะเสียเหลือเกิน) ฯลฯ หากแต่เนื้อหาของเพลงนั้นมุ่งที่จะมองและวิพากษ์ความเป็นไปของสังคมในแง่มุมต่างๆ ซึ่งมีวงรุ่นใหม่ๆ น้อยวงเหลือเกินจะคิดทำกันออกมา
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเด็กที่ทุกครั้งจะต้องไปลงเอยกับ เหล้า บุหรี่ เกม ฯ ทั้งที่ต้นเหตุสำคัญมาจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้น ในเพลงที่ชื่อ "จำเลย"
มุมมองเกี่ยวกับการเมืองไทยที่มีมานานกว่า 70 ปี ซึ่งไม่ต่างอะไรจากเพลง "ลิเกโรงเก่า" อันมีแต่พระเอกหน้าเดิมๆ สลับสับเปลี่ยนกันมาเล่นกันแต่เรื่องเก่าๆ
กว่า 2 พันปีที่แล้วชาวกาลามะบางส่วนต่างก็เข้าใจถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์สอนในเรื่องของความเชื่อ ทว่าปัจจุบันกลับยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงเป็นชาวกาลามะที่ยังเชื่ออย่างงมงายและไร้เหตุไร้ผลต่อ "ศาสดายี่สิบเก้านิ้ว"
"ตุ๊กตาควาย" เพลงเก่าเพลงเปิดอัลบั้มชุดนี้ ว่าถึงค่านิยมการให้ความสำคัญกับสิ่งของเงินตรามากกว่าคุณค่าอื่นๆ ผ่านการเปรียบเทียบความแตกต่างกันอย่างสุดขั้วระหว่างตุ๊กตาบลายธ์กับตุ๊กตาควาย
นอกจากนี้ก็ยังมีเพลง "ลักโอเปร่า" เรื่องราวของอึ่งอ่างขี้ลอกจอมผยอง, เพลงที่เกี่ยวกับความรักในเนื้อหาที่แตกต่าง ทั้ง "เจ้ากรรมนายเวร" "เหงาแท้" "พลังเพลิง , "ความรักรอบตัว" รวมไปถึงเพลงอย่าง "จำจี้ผลไม้" "สลัดเงา" และที่ชอบมากๆ อีกเพลง(รองจากตุ๊กตาควาย)อย่าง "อยากเป็นดารา" (Post-Shoi !)
ในอดีต อาชีพดารา-นักร้อง-นักแสดง-นางงาม-นางแบบ-นายแบบ ฯ อาจจะถูกดูแคลนว่าเป็นพวก "เต้นกิน รำกิน" แต่ ณ ปัจจุบันดูเหมือนว่าอาชีพในสายงานที่ว่านี้จะกลายเป็นอาชีพในฝันของใครหลายคนไปแล้ว
ทั้งนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เนื่องจากภาพของคนที่ทำงานเหล่านี้ที่ถูกแสดงผ่านสื่อออกมาให้เราได้เห็นส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ "ดูเย้ายวน" เสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นค่าตอบแทนเมื่อแทบกับน้ำพักน้ำแรงที่ลงไป การกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อมีเสียง มีคนให้ความสนใจ การเป็นคนเด่น-คนดัง จะขยับทำอะไรก็เหมือนจะมีโอกาส-ได้สิทธิพิเศษมากกว่าคนที่ประกอบอาชีพอื่นๆ
ความไม่มั่นคงอาจจะเคยถูกมองว่าเป็นปัญหาของคนที่ประกอบอาชีพนี้ แต่ปัจจุบันในหลายๆ กรณีกลายเป็นว่าขอเพียงให้ได้คำว่า "ดารา" ติดตัวมา ต่อให้มีคำว่า "อดีต" นำหน้าแต่คุณก็สามารถใช้คำๆ นี้สร้างโอกาสทำมาหากินได้ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอาชีพที่เป็นสีเทาไปจนถึงสีดำหรืออาจจะไม่ต้องทำอะไรเลยกรณีกลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร
เรื่องส่วนตัวที่ดาราในอดีตจำต้องปกปิดไม่ยอมให้เป็นข่าวได้ง่ายๆ แต่สำหรับดาราปัจจุบันดูเหมือนจะมีแต่ข่าวที่เป็นเรื่องส่วนตัวจนเราลืมไปเลยว่าเธอหรือเขามี "ผลงาน" อะไรบ้าง
เช่นเดียวกับความ "สามารถพิเศษ" ที่สมควรจะมีอยู่ทั้งในรูปของการร้อง เล่น เต้น รำ ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นไปแล้ว ขอให้มีเรือนร่างที่พิเศษและพร้อมที่จะกล้าเผยให้สาธารณะชนได้ยลกัน
ในอดีต ดาราคนไหนเจอข่าวฉาวเข้าไปก็เตรียมตัวดับได้เลย แต่ดาราปัจจุบันการมีซึ่งข่าวฉาวมักจะลงเอยด้วยรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำจากการออกงานอีเว้นต์เสียเป็นส่วนมาก
เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ยุคนี้ใครๆ ก็อยาก "อยากเป็นดารา" จนกระทั่งมีบทสรุปท่อนหนึ่งอยู่ในเพลงนี้ที่ว่า...
"...ถ้าโลกเรานี้มีแต่ดารา ก็คงจะหาคนจนไม่มี
ไม่อยากเป็นแล้วคนธรรมดา ฉันอยากเป็นดารามากกว่าคนดี..."
ฟังดูอาจจะเป็นการมองโลกในแง่ร้าย แต่กระนั้นคงไม่ปฏิเสธใช่มั้ยครับว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดเช่นนี้จริงๆ
น้องในออฟฟิศเปรยออกมาระหว่างนั่งชมรายการโทรทัศน์รายการสดรายการหนึ่งร่วมกับเพื่อนๆ 2-3 คน
ในจอเป็นภาพของเด็กสาววัย 19 ซึ่งตกเป็นข่าวว่ากำลังคบหาอยู่กับนักร้องหนุ่มชื่อดังที่เพิ่งจะมีข่าวว่าเลิกรากับแฟนคนเก่าได้ไม่นานกำลังนั่งตอบคำถาม 2 พิธีกรที่ซักไซร้ไล่เลียงทั้งที่มาของการได้มาพบกันของทั้งคู่ รวมถึงความรู้สึกต่างๆ ของเธอที่ต้องมาเป็นแฟนกับหนุ่มที่ว่ากันว่าหล่อระดับขั้นเทพ
ขณะที่นอกจอ น้องคนที่ว่ากับเพื่อนๆ ก็แสดงความคิดเห็นกันอย่างออกรสถึงตัวของเด็กสาวในจอตลอดจนเนื้อหาการนำเสนอของรายการไปจนกระทั่งรายการจบ
...
"มันกลับมาเป็นข่าวอีกแล้วหรือนี่..."
พี่ที่ออฟฟิศเอ่ยขึ้นมา ซึ่งแม้จะเป็นรูปประโยคคำถามแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะใช้เพื่อการบอกเล่ากับพี่อีกคนที่กำลังใช้เมาส์คลิกเพื่ออ่านรายละเอียดของข่าวอดีตนักร้องคนหนึ่งที่เพิ่งจะพ้นโทษออกมาหลังติดคุกจากคดีฉ้อโกงนานกว่า 9 เดือนเสียมากกว่า
"นี่เห็นว่ามีคิวไปออกรายการฯ มีนักข่าวให้ความสนใจเตรียมจะสัมภาษณ์เพียบเลยนะ"
"เออก็ดีนะ แบบนี้ก็มีเงินใช้หนี้ที่โกงเขามาแล้วสิ..."
"ไม่รู้ว่ะ เพราะเห็นแต่บอกว่าจะกลับตัว จะเป็นคนดี ติดคุกชดใช้กรรมไปแล้ว ส่วนเรื่องหนี้เลยไม่อยากจะขอพูดถึง..." ฯลฯ
...
"อ้าว แล้วนี่เป็นอะไรกันล่ะเนี่ย..."
แม่ถามผมด้วยความสงสัยหลังเปลี่ยนช่องในจอทีวีแล้วมาพบภาพของวัยรุ่นชาย-หญิงหลายคนพากันร้องห่มร้องไห้อยู่
ยังไม่ทันที่ผมจะตอบว่าอะไร (เนื่องจากไม่รู้เพราะเพิ่งจะเห็นภาพเหมือนกัน) เสียงรายงานจากทีวีก็ตอบให้เสร็จสรรพโดยมีใจความว่าภาพที่เห็นเป็นบรรยากาศการเปิดรับสมัครการแข่งขันร้องเพลงในเขตภาคอีสานของรายการดังรายหนึ่ง
ซึ่งทันที่ที่เปิดให้มีการสมัครปรากฏว่าได้มีวัยรุ่นทั้งชาย-หญิงพากันมาสมัครมากมายกระทั่งใบสมัครที่เตรียมไว้ 2 พันใบไม่พอ เป็นเหตุให้มีคนผิดหวังเป็นจำนวนมาก
หลายคนนั้นถึงกับเก็บความเสียใจเอาไว้ไม่อยู่จนต้องร่ำไห้ปล่อยโฮออกมา โดยมี 2 นักร้องรุ่นพี่จากเวทีนี้ที่บินไปสร้างสีสันคอยปลอบให้กำลังใจ
"คือมันเป็นความฝันในชีวิตของหนูเลย หนูขอแค่ให้ได้เข้าประกวดสักครั้งหนึ่งก็พอแล้ว..." วัยรุ่นสาวคนหนึ่งให้สัมภาษณ์พร้อมน้ำตานองหน้า ก่อนจะยืนยันว่าหากในเขตภาคกลางที่กรุงเทพๆ เปิดรับสมัครเมื่อไหร่เธอจะตามไปสมัครอย่างแน่นอน
ฯลฯ
...
ช่วงนี้ผมกำลังถูกอกถูกใจกับงานเพลงของวงดนตรีวงหนึ่งอยู่ครับ
"เวตาล่า" คือชื่อวงดนตรีที่ว่าที่มีสมาชิกที่ประกอบไปด้วย ต่อ ณัฏฐพล เกษบุญชู (ร้องนำ-กีต้าร์), นนท์ ทศพล แสงสุวรรณ กีต้าร์, เน็ก กรกช สุดสวัสดิ์ (เบส-ดนตรีไทย) และ กี้ ปฏิภาณ ศาสตร์อำนวย (กลอง) โดยชื่อวงนั้นก็มาจากวรรณกรรมสันสกฤตโบราณเกี่ยวกับเรื่องราวตำนานนิทานเวตาลนั่นเอง
หลังปล่อยซิงเกิ้ลออกมา 2 - 3 เพลง จนพอเป็นที่รู้จักในโลกโซเชี่ยลเน็ทเวิร์ค รวมถึงงาน EP ชุด SOLILOQUY ตอนนี้พวกเขามีอัลบั้มเต็มในสังกัด Muzikiss Record ออกมาแล้วครับในชื่อชุด THE MOON TALES โดยมีเพลงทั้งเก่าใหม่บรรจุรวมอยู่ในอัลบั้มชุดนี้ทั้งสิ้น 12 เพลงด้วยกัน
ว่ากันถึงแนวดนตรี โดยหลักก็ต้องถือว่าเป็นร็อกนั่นแหละครับ เพียงแต่ในแต่ละเพลงก็จะมีท่วงทำนองสำเนียงอื่นๆ เข้ามาเป็นสีสันทั้ง ฟังก์ แร็พ ฉ่อย ลิเก ฯ ขณะที่เสียงของนักร้องนั้นแม้จะมีนิตยสารเพลงชื่อดังเล่มหนึ่งบอกว่าเสียงแบบนี้ "ไม่ถึง" แต่โดยส่วนตัวผมว่ามีเอกลักษณ์และเข้ากับสไตล์ของงานเพลงที่ถูกปรุงออกมาเป็นอย่างดี
ที่ชอบมากๆ ก็คงจะเป็นเพราะเนื้อหาของเพลงที่ส่วนใหญ่ไม่ใช่เพลงรัก เพลงอกหักวนเวียนอยู่กับ ฉันรักเธอ ฉันจะแย่งเธอมา ฉันยินดีจะปล่อยเธอไป ฉันจะเก็บเธอไว้ทั้งสองคน (ไม่ใช่ว่าไม่เพราะ ไม่ชอบนะครับ เพียงแต่มันเยอะเสียเหลือเกิน) ฯลฯ หากแต่เนื้อหาของเพลงนั้นมุ่งที่จะมองและวิพากษ์ความเป็นไปของสังคมในแง่มุมต่างๆ ซึ่งมีวงรุ่นใหม่ๆ น้อยวงเหลือเกินจะคิดทำกันออกมา
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเด็กที่ทุกครั้งจะต้องไปลงเอยกับ เหล้า บุหรี่ เกม ฯ ทั้งที่ต้นเหตุสำคัญมาจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้น ในเพลงที่ชื่อ "จำเลย"
มุมมองเกี่ยวกับการเมืองไทยที่มีมานานกว่า 70 ปี ซึ่งไม่ต่างอะไรจากเพลง "ลิเกโรงเก่า" อันมีแต่พระเอกหน้าเดิมๆ สลับสับเปลี่ยนกันมาเล่นกันแต่เรื่องเก่าๆ
กว่า 2 พันปีที่แล้วชาวกาลามะบางส่วนต่างก็เข้าใจถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์สอนในเรื่องของความเชื่อ ทว่าปัจจุบันกลับยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงเป็นชาวกาลามะที่ยังเชื่ออย่างงมงายและไร้เหตุไร้ผลต่อ "ศาสดายี่สิบเก้านิ้ว"
"ตุ๊กตาควาย" เพลงเก่าเพลงเปิดอัลบั้มชุดนี้ ว่าถึงค่านิยมการให้ความสำคัญกับสิ่งของเงินตรามากกว่าคุณค่าอื่นๆ ผ่านการเปรียบเทียบความแตกต่างกันอย่างสุดขั้วระหว่างตุ๊กตาบลายธ์กับตุ๊กตาควาย
นอกจากนี้ก็ยังมีเพลง "ลักโอเปร่า" เรื่องราวของอึ่งอ่างขี้ลอกจอมผยอง, เพลงที่เกี่ยวกับความรักในเนื้อหาที่แตกต่าง ทั้ง "เจ้ากรรมนายเวร" "เหงาแท้" "พลังเพลิง , "ความรักรอบตัว" รวมไปถึงเพลงอย่าง "จำจี้ผลไม้" "สลัดเงา" และที่ชอบมากๆ อีกเพลง(รองจากตุ๊กตาควาย)อย่าง "อยากเป็นดารา" (Post-Shoi !)
ในอดีต อาชีพดารา-นักร้อง-นักแสดง-นางงาม-นางแบบ-นายแบบ ฯ อาจจะถูกดูแคลนว่าเป็นพวก "เต้นกิน รำกิน" แต่ ณ ปัจจุบันดูเหมือนว่าอาชีพในสายงานที่ว่านี้จะกลายเป็นอาชีพในฝันของใครหลายคนไปแล้ว
ทั้งนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เนื่องจากภาพของคนที่ทำงานเหล่านี้ที่ถูกแสดงผ่านสื่อออกมาให้เราได้เห็นส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ "ดูเย้ายวน" เสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นค่าตอบแทนเมื่อแทบกับน้ำพักน้ำแรงที่ลงไป การกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อมีเสียง มีคนให้ความสนใจ การเป็นคนเด่น-คนดัง จะขยับทำอะไรก็เหมือนจะมีโอกาส-ได้สิทธิพิเศษมากกว่าคนที่ประกอบอาชีพอื่นๆ
ความไม่มั่นคงอาจจะเคยถูกมองว่าเป็นปัญหาของคนที่ประกอบอาชีพนี้ แต่ปัจจุบันในหลายๆ กรณีกลายเป็นว่าขอเพียงให้ได้คำว่า "ดารา" ติดตัวมา ต่อให้มีคำว่า "อดีต" นำหน้าแต่คุณก็สามารถใช้คำๆ นี้สร้างโอกาสทำมาหากินได้ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอาชีพที่เป็นสีเทาไปจนถึงสีดำหรืออาจจะไม่ต้องทำอะไรเลยกรณีกลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร
เรื่องส่วนตัวที่ดาราในอดีตจำต้องปกปิดไม่ยอมให้เป็นข่าวได้ง่ายๆ แต่สำหรับดาราปัจจุบันดูเหมือนจะมีแต่ข่าวที่เป็นเรื่องส่วนตัวจนเราลืมไปเลยว่าเธอหรือเขามี "ผลงาน" อะไรบ้าง
เช่นเดียวกับความ "สามารถพิเศษ" ที่สมควรจะมีอยู่ทั้งในรูปของการร้อง เล่น เต้น รำ ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นไปแล้ว ขอให้มีเรือนร่างที่พิเศษและพร้อมที่จะกล้าเผยให้สาธารณะชนได้ยลกัน
ในอดีต ดาราคนไหนเจอข่าวฉาวเข้าไปก็เตรียมตัวดับได้เลย แต่ดาราปัจจุบันการมีซึ่งข่าวฉาวมักจะลงเอยด้วยรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำจากการออกงานอีเว้นต์เสียเป็นส่วนมาก
เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ยุคนี้ใครๆ ก็อยาก "อยากเป็นดารา" จนกระทั่งมีบทสรุปท่อนหนึ่งอยู่ในเพลงนี้ที่ว่า...
"...ถ้าโลกเรานี้มีแต่ดารา ก็คงจะหาคนจนไม่มี
ไม่อยากเป็นแล้วคนธรรมดา ฉันอยากเป็นดารามากกว่าคนดี..."
ฟังดูอาจจะเป็นการมองโลกในแง่ร้าย แต่กระนั้นคงไม่ปฏิเสธใช่มั้ยครับว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดเช่นนี้จริงๆ