โดย : บอน บอระเพ็ด (skbon109@hotmail.com)
ท่ามกลางกระแสธารดนตรีป็อบ แด๊นซ์ ฮิพฮอพ ที่เชี่ยวกราก ยึดครองตลาดเพลงโลกมาร่วม 20 ปี การที่นักร้องสาวสวยอย่าง “เทเลอร์ สวิฟท์”(Taylor Swift) และ วง“เลดี้ แอนเทเบลลั่ม”(Lady Antelbellum)สามารถแหกด่านมะขามเตี้ย นำพาดนตรีคันทรีขึ้นมาผงาดในวงการเพลงและทำให้บทเพลงคันทรีกลับมาป็อบปูล่าร์อีกครั้ง นอกจากความสามารถอันยอดเยี่ยมของตัวนักร้อง นักดนตรี และทีมงานแล้ว ยังมีแฟนเพลงมะกันและกระแสมาเป็นแรงหนุนส่งสำคัญในการขับเคลื่อนให้พวกเขาโด่งดังอย่างเปรี้ยงปร้างอีกต่างหาก
เพราะดนตรีคันทรีถือเป็นความภาคภูมิใจของอเมริกันชนผิวขาว ที่ขับเคี่ยวแข่งขันกับดนตรีแร๊พ ฮิพ ฮอพ ของอเมริกันชนผิวสีมานับสิบๆปีนับตั้งแต่ดนตรีในแนวนี้จุติขึ้นมา
ดังนั้นเมื่อมีกลุ่มหนุ่มสาวมากความสามารถที่เป็นดังคลื่นลูกใหม่วงการคันทรีร่วมสมัยแจ้งเกิดขึ้นมา เหล่าอเมริกันชนผิวขาว(ส่วนใหญ่)จึงสนับสนุนเต็มที่ เพราะไม่อยากให้ดนตรีที่เป็นดังตัวแทนของพวกเขาสิ้นความนิยมไป
ทว่า...นั่นย่อมกลายเป็นดังแรงกดดันต่อตัวศิลปินเองอยู่ไม่มากก็น้อย
สำหรับเลดี้ แอนเทเบลลั่ม วงทริโอ 1 สาว 2 หนุ่ม ลุคอเมริกันแบนด์จากแนชวิลล์เมืองหลวงเพลงคันทรี ที่แฟนเพลงชาวอเมริกันนิยมเรียกกันสั้นๆว่า“เลดี้ เอ”นั้น พวกเขาดูจะคุ้นต่อการรับแรงกดดันแบบนี้อยู่พอตัว เพราะหลังจากประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวงคือ “Lady Antelbellum”(ค.ศ. 2008) พวกเขาก็ได้รับแรงกดดันต่อการทำงานในอัลบั้มที่สองว่าจะทำออกมาอย่างไร
ครั้น “Need You Now”(ค.ศ.2010) อัลบั้มที่สองออกมาสร้างปรากฏการณ์เลดี้ เอ ด้วยยอดขาย(เฉพาะในอเมริกา)จนถึงวันนี้เกือบ 4 ล้านชุด ติดอันดับ 1 ทั้งอัลบั้มป็อบและคันทรีของบิลบอร์ดชาร์ต มีเพลง “Need You Now” ฮอตฮิตโด่งดังไปทั่วโลก และได้รับรางวัลทางดนตรีมาครองมากมาย โดยเฉพาะรางวัลแกรมมี่ 2010 ที่กวาดมาได้ถึง 5 รางวัล
ด้วยความสำเร็จอย่างท่วมท้นในอัลบั้ม Need You Now ทำให้พลพรรคเลดี้ เอ มีแรงกดดันอีกครั้งในการทำอัลบั้มใหม่ “Own the Night”(สังกัด Warner Music) ที่เป็นผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่สามของพวกเขา ซึ่ง ชาร์ล เคลลีย์ หนึ่งในสมาชิกของวงออกมายอมรับแบบแมนๆกันเลยว่า อัลบั้มนี้ถ้าบอกว่าไม่กดดันคงต้องโกหกกันแน่ๆ แต่กระนั้นพวกเขาก็พร้อมที่จะทำเพลงใหม่ๆออกมา พร้อมกับเปลี่ยนเรื่องใหม่ๆที่ใช้คุยกันในบทเพลง ซึ่งเรามาตามฟังกันว่าภายใต้แรงกดดันที่มีมากยิ่งขึ้นในผลงานชุดใหม่นั้น วงเลดี้ แอนเทเบลลั่ม จะขับเคลื่อนตัวโน้ตทางดนตรีออกอย่างไร
Own the Night เหล่าพลพรรคเลดี้ เอ ยังคงอยู่กัน 3 พร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนเดิม ได้แก่ ชาร์ล เคลลี่(Charles Kelley) : ร้องนำ/ร้องประสาน,ฮิลลารี สก็อตต์(Hillary Scott) : ร้องนำ/ร้องประสาน และ เดฟ เฮย์วู้ด(Dave Haywood) กีตาร์/เปียโน/แมนโดลิน/ร้องประสาน โดยมี พอล วอร์ลีย์(Paul Woriey) ผู้คร่ำหวอดในวงการคันทรีมายาวนาน ที่ร่วมกันสร้างชื่อมาตั้งแต่ชุดที่แล้วมาเป็นโปรดิวเซอร์เหมือนเดิม
Own the Night มีทั้งหมด 12 เพลง บวก 1 โบนัสแทรค ใครที่คิดว่างานเพลงชุดนี้น่าจะมาในสูตรเดียวกับ นีด ยู นาว คือให้ดนตรีคันทรีร่วมสมัยเป็นพระเอกคุมโทนไปเกือบทั้งอัลบั้ม ปรากฏว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะโทนดนตรีหลักในชุดนี้เน้นไปที่ความเป็นป็อบและร็อคเป็นหลัก ส่วนความเป็นคันทรีที่เคยเป็นจุดขายของวงปรากฏว่ามีปะปนอยู่แบบเจือจางเท่านั้น
โดยบทเพลงที่มีความเป็นคันทรีเด่นชัดที่สุดในอัลบั้มก็คือ “Love I've Found In You”(แทรค 10) ที่เป็นจังหวะคันทรีสนุกๆ เบสเล่นโน้ตหัวคอร์ดสลับกับคู่ 5 เดินย้ำคุมไปตลอด มีกีตาร์ เปียโน เล่นสอดประสานไปตลอด พร้อมเติมแต่งเสน่ห์ด้วยเสียงไวโอลินที่ให้อารมณ์ความเป็นลูกทุ่งมะกันได้เป็นอย่างดี ขณะที่เสียงร้องคู่ของชาร์ลและฮิลลารีนั้นฟังเป็นลูกทุ่งสมัยใหม่ที่เท่พอดู ส่วนเสียงกลองนั้นเป็นร็อคจัดหนักใส่กันมาซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทางของเพลงในชุดนี้ได้อย่างชัดเจน
อีกเพลงหนึ่งที่มีความเป็นคันทรีเจืออยู่แบบสัมผัสได้ก็คือ “We Owned The Night” เพลงเปิดในแทรกแรกที่มาในจังหวะสนุกๆ ขึ้นต้นมาในแบบคันทรี มีกีตาร์แมนโดลินเล่นนำส่งสู่ตัวเพลงที่ใส่ความเป็นร็อคดุๆลงไป ทั้งกีตาร์ กลอง ที่จัดหนักใส่กันมา แต่ไม่ลืมที่จะเหลืออารมณ์คันทรีบางๆไว้ให้ฟังกับลูกสไลด์หวานๆที่หยอดเติมเข้ามา
นอกจากสองเพลงนี้แล้ว เพลงที่เหลือต่างหนักไปทางป็อบ ร็อค ที่มีซาวน์คันทรีแทรกสอดอยู่บ้าง(แบบต้องตั้งใจฟัง) โดยเพลงเด่นๆชวนฟังในอัลบั้มชุดนี้ ได้แก่
“Just A Kiss”(แทรก 2) ซิงเกิ้ลแรกที่ทางวงส่งไปขึ้นอันดับ 1 ชาร์ตคันทรีบิลบอร์ดได้อย่างไม่ยากเย็น พร้อมทั้งขึ้นไปไต่อันดับในท็อป 10 ของชาร์ตเพลงฮิตมะกันอีกด้วย เพลงนี้บัลลาดเพราะๆที่เลดี้ เอ โชว์การร้องคู่ได้อย่างถึงอารมณ์ มีการรับสอดส่งเข้าขากันเป็นอย่างดี ช่วงท้ายเพลงจัดเต็มมาด้วยไลน์เครื่องสายอันหนาแน่น ฟังให้ซาวน์เลดี้ เอ ที่ฉีกหนีจากความเป็นคันทรีไปพอสมควร
“Dancin' Away With My Heart”(แทรก 3) บัลลาดป็อบร็อคอีกเพลงที่ขึ้นต้นมาออกแนวคันทรีนิดๆกับเสียงกีตาร์นำตามด้วยเสียงแมนโดลินบางๆ เพลงนี้ยังเป็นเพลงคู่เหมือนเดิม แต่เสียงร้องของทั้งคู่ฟังเหน่อขึ้นจมูกเป็นคันทรีมากหน่อย ส่วนท่อนท้ายของเพลงนั้นมาในอารมณ์เดียวกับ Just A Kiss คือใส่ไลน์ของเครื่องสายแน่นๆจัดเต็มใส่กันมา
“Friday Night”(แทรก 4) เพลงนี้พวกจัดหนักเป็นร็อคดุๆด้วยลูกริฟฟ์ ที่หากปรับเปลี่ยนโน้ตเพียง 2-3 ตัว ก็จะกลายเป็นเพลง Smoke on the water ได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ในความเป็นร็อคดุๆของเพลงนี้ มีการผสมลูกคันทรีลงไปจางๆ ด้วยเสียงแบนโจกับลูกสไลด์โดโบรที่น่าฟัง ส่วนเสียงกีตาร์ในเพลงนี้ที่เล่นทั้งลูกริฟฟ์ โซโล และกระชากคอร์ดหนักๆนั้นผมขอยกให้เป็นพระเอกไปเลย
“Cold As Stone”(แทรค 6) อะคูสติกกีตาร์ขึ้นต้นนำมา ก่อนส่งเข้าเนื้อเพลงที่ท่อนกลางสวมกอดด้วยไลน์เครื่องสายล่องลอย มีเสียงสไลด์อะคูสติกกีตาร์ แมนโดลิน แฮมมอนด์ เล่นเป็นแถวสองแถวสามคอยเติมเต็มอยู่ข้างหลังบางๆแต่รู้สึกได้ว่าเพราะและมีพลัง แล้วจึงปิดท้ายกันในท่อนจบด้วยเสียงขลุ่ยพื้นบ้านแนวเซลติกที่ให้อารมณ์โฟล์คแทรดดิชั่นได้เป็นอย่างดี
“Singing Me Home”(แทรก 7) เพลงนี้ป็อบจ๋ามาแบบโจ๊ะๆสนุกๆ ฟังผ่านๆชวนยักย้ายส่ายสะโพกได้ดีทีเดียว แต่ถ้าฟังซ้ำหลายๆรอบ โอ้โห มีรายละเอียดเพียบ ทั้งเสียงแฮมมอนด์ ไวโอลิน เสียงเคาะขอบกลอง และลูกโซโลอะคูสติกกีตาร์ที่ตามสมทบด้วยแมนโดลินและไวโอลิน พวกเล่นโน้ตกันง่ายๆแต่ฟังโคตรเจ๋งเลยเพ่
ส่วน “As You Turn Away”(แทรค 9) กับ “Heart Of The World”(แทรค 12) เป็น 2 เป็นป็อบช้าๆ มาในอารมณ์คล้ายกัน คือเปียโนเด่น ภาคดนตรีค่อยทวีความเข้มข้น ซับซ้อนและหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตามสูตรสำเร็จของป็อบร็อคทั่วไป โดยท่อนท้ายไม่ลืมที่จะจัดไลน์ออร์เคสตร้าหนาๆแน่นๆใส่เต็มมาเหมือนเดิม
สุดท้ายกับโบนัสแทรค “Need You Now” (แทรค 13) ที่มาสูตรเดียวกับอัลบั้มชุดที่แล้ว Need You Now ที่นำเอา “I Run to You” เพลงดังจากอัลบั้มแรกมาเป็นโบนัสแทรคเล่นในสไตล์ที่แตกต่าง
เพลงนี้เลดี้ เอ นำเสนอ นีด ยู นาว อะคูสติกเวอร์ชั่น ในแบบอะคูสติกเวอร์ชั่น ชวนฟังไปด้วยเสียงเปียโนหวานๆกับกีตาร์ตีคอร์ดแน่นๆ และเสียงร้องคู่ของ 2 นักร้องนำชาย-หญิงที่ยังเสียงดีไม่มีตก ปิดท้าย Own the Night อัลบั้มที่อุดมไปด้วยซุ่มเสียงแบบป็อบร็อค ส่วนความเป็นคันทรีอันเป็นจุดขายของวงเจือจางลงไปมาก
ใครที่อยากฟังสาวสวยฮิลลารีโชว์น้ำเสียงเหน่อขึ้นจมูก ถ่ายทอดลูกทุ่ง(ยุคใหม่)เข้มๆ เหมือนเพลง “American Honey” ในอัลบั้มที่แล้วนั้นไม่มีในอัลบั้มนี้ หากแต่มีเสียงร้องในอารมณ์ป็อบร็อคเข้มๆเข้ามาทดแทนกับความชัดเจนในแนวทางการร้องที่เด่นชัดขึ้น
ขณะที่ภาคดนตรีนั้น ทั้งซุ่มเสียงแห่งความเป็นคันทรีไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ เมโลดี้ จังหวะ เสียงเครื่องดนตรี อย่าง สไลด์โดโบร,ฟิดเดิ้ล,แมนโดลิน ฟังจางหายไปเยอะทีเดียว จะมีก็ในบางเพลงที่ใส่มาแบบจางๆบางๆ(บางจริงๆ)เหมือนกลัวคุณครูจะดุ ผิดกลับเสียงกลองที่พวกเล่นใส่กันมาแบบจัดหนัก เป็นดังการบอกให้รู้ว่าชุดนี้เน้นความเป็นร็อคมากกว่าคันทรีแหงมๆ
อย่างไรก็ตามในความเปลี่ยนไปบ้างทางดนตรีของเลดี้ เอ ที่อาจทำให้แฟนเพลงและอเมริกันชนที่โหยหาความเป็นคันทรี เกิดความรู้สึกแสลงใจไปบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ทดแทนมาในอัลบั้มชุดนี้นอกเหนือความเป็นร็อคที่หนักแน่นขึ้นและความเป็นป็อบที่เข้มข้นแล้วก็คือ รายละเอียด ลูกเล่น สีสัน ความละเมียดละไม ที่พวกเขาหยิบยอดมานำเสนอได้อย่างลงตัว เนี้ยบนิ้ง ไพเราะ งดงาม ซึ่งแม้ความสำเร็จและยอดขายจากอัลบั้มชุดนี้จะสู้ Need You Now ไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาแสดงให้เห็นก็คือพัฒนาการทางดนตรีและมาตรฐานที่สูงลิ่ว
ส่วนที่ยังคงเดิมอยู่ก็คือ พวกเขายังคงเป็นวงที่เก่งเรื่องการทำเพลงออกมาได้ชวนฟัง ไพเราะ และติดหูง่าย ชนิดที่หาตัวจับได้ยากวงหนึ่งแห่งยุทธจักรวงการเพลง
*****************************************
แกะกล่อง
ศิลปิน : รวมศิลปิน
อัลบั้ม : The Twilight Saga: Breaking Dawn Part 1
แม้พฤติกรรมของน้องเบลล่าดูจะไม่ต่างจากนางวันทอง แต่ว่าภาพยนตร์เรื่อง “The Twilight Saga: Breaking Dawn Part 1” ก็สามารถสร้างปรากฏการณ์ได้อย่างถล่มทลาย และนี่ก็คือซาวนด์แทร็คจากภาพยนตร์เรื่องนี้
อัลบั้มนี้ประกอบไปด้วย 15 บทเพลงจากหลากหลายศิลปินชั้นนำ มีทั้งเพลงช้า ปานกลางเร็ว คละเคล้ากันไป แต่โทนโดยรวมเพลงช้าจะมีมากหน่อยตามอารมณ์อ้อยอิ่งของหนัง โดยมีเพลงเด่นๆ อาทิ “Flightless Bird, American Mouth” ของ Iron & Wine เพลงประกอบจากภาคแรกที่มาทำดนตรีใหม่ในเวอร์ชั่นแต่งงาน, “A Thousand Years” ของ “Christina Perri” เป็นดังเพลงตัวแทนของสาวเบลล่า, “It Will Rain” ที่ขับร้องโดย “Bruno Mars” ที่เป็นดังเพลงตัวแทนของพระเอกแวมไพร์หน้าซีดที่สาวๆพากันหลงใหล
ท่ามกลางกระแสธารดนตรีป็อบ แด๊นซ์ ฮิพฮอพ ที่เชี่ยวกราก ยึดครองตลาดเพลงโลกมาร่วม 20 ปี การที่นักร้องสาวสวยอย่าง “เทเลอร์ สวิฟท์”(Taylor Swift) และ วง“เลดี้ แอนเทเบลลั่ม”(Lady Antelbellum)สามารถแหกด่านมะขามเตี้ย นำพาดนตรีคันทรีขึ้นมาผงาดในวงการเพลงและทำให้บทเพลงคันทรีกลับมาป็อบปูล่าร์อีกครั้ง นอกจากความสามารถอันยอดเยี่ยมของตัวนักร้อง นักดนตรี และทีมงานแล้ว ยังมีแฟนเพลงมะกันและกระแสมาเป็นแรงหนุนส่งสำคัญในการขับเคลื่อนให้พวกเขาโด่งดังอย่างเปรี้ยงปร้างอีกต่างหาก
เพราะดนตรีคันทรีถือเป็นความภาคภูมิใจของอเมริกันชนผิวขาว ที่ขับเคี่ยวแข่งขันกับดนตรีแร๊พ ฮิพ ฮอพ ของอเมริกันชนผิวสีมานับสิบๆปีนับตั้งแต่ดนตรีในแนวนี้จุติขึ้นมา
ดังนั้นเมื่อมีกลุ่มหนุ่มสาวมากความสามารถที่เป็นดังคลื่นลูกใหม่วงการคันทรีร่วมสมัยแจ้งเกิดขึ้นมา เหล่าอเมริกันชนผิวขาว(ส่วนใหญ่)จึงสนับสนุนเต็มที่ เพราะไม่อยากให้ดนตรีที่เป็นดังตัวแทนของพวกเขาสิ้นความนิยมไป
ทว่า...นั่นย่อมกลายเป็นดังแรงกดดันต่อตัวศิลปินเองอยู่ไม่มากก็น้อย
สำหรับเลดี้ แอนเทเบลลั่ม วงทริโอ 1 สาว 2 หนุ่ม ลุคอเมริกันแบนด์จากแนชวิลล์เมืองหลวงเพลงคันทรี ที่แฟนเพลงชาวอเมริกันนิยมเรียกกันสั้นๆว่า“เลดี้ เอ”นั้น พวกเขาดูจะคุ้นต่อการรับแรงกดดันแบบนี้อยู่พอตัว เพราะหลังจากประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวงคือ “Lady Antelbellum”(ค.ศ. 2008) พวกเขาก็ได้รับแรงกดดันต่อการทำงานในอัลบั้มที่สองว่าจะทำออกมาอย่างไร
ครั้น “Need You Now”(ค.ศ.2010) อัลบั้มที่สองออกมาสร้างปรากฏการณ์เลดี้ เอ ด้วยยอดขาย(เฉพาะในอเมริกา)จนถึงวันนี้เกือบ 4 ล้านชุด ติดอันดับ 1 ทั้งอัลบั้มป็อบและคันทรีของบิลบอร์ดชาร์ต มีเพลง “Need You Now” ฮอตฮิตโด่งดังไปทั่วโลก และได้รับรางวัลทางดนตรีมาครองมากมาย โดยเฉพาะรางวัลแกรมมี่ 2010 ที่กวาดมาได้ถึง 5 รางวัล
ด้วยความสำเร็จอย่างท่วมท้นในอัลบั้ม Need You Now ทำให้พลพรรคเลดี้ เอ มีแรงกดดันอีกครั้งในการทำอัลบั้มใหม่ “Own the Night”(สังกัด Warner Music) ที่เป็นผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่สามของพวกเขา ซึ่ง ชาร์ล เคลลีย์ หนึ่งในสมาชิกของวงออกมายอมรับแบบแมนๆกันเลยว่า อัลบั้มนี้ถ้าบอกว่าไม่กดดันคงต้องโกหกกันแน่ๆ แต่กระนั้นพวกเขาก็พร้อมที่จะทำเพลงใหม่ๆออกมา พร้อมกับเปลี่ยนเรื่องใหม่ๆที่ใช้คุยกันในบทเพลง ซึ่งเรามาตามฟังกันว่าภายใต้แรงกดดันที่มีมากยิ่งขึ้นในผลงานชุดใหม่นั้น วงเลดี้ แอนเทเบลลั่ม จะขับเคลื่อนตัวโน้ตทางดนตรีออกอย่างไร
Own the Night เหล่าพลพรรคเลดี้ เอ ยังคงอยู่กัน 3 พร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนเดิม ได้แก่ ชาร์ล เคลลี่(Charles Kelley) : ร้องนำ/ร้องประสาน,ฮิลลารี สก็อตต์(Hillary Scott) : ร้องนำ/ร้องประสาน และ เดฟ เฮย์วู้ด(Dave Haywood) กีตาร์/เปียโน/แมนโดลิน/ร้องประสาน โดยมี พอล วอร์ลีย์(Paul Woriey) ผู้คร่ำหวอดในวงการคันทรีมายาวนาน ที่ร่วมกันสร้างชื่อมาตั้งแต่ชุดที่แล้วมาเป็นโปรดิวเซอร์เหมือนเดิม
Own the Night มีทั้งหมด 12 เพลง บวก 1 โบนัสแทรค ใครที่คิดว่างานเพลงชุดนี้น่าจะมาในสูตรเดียวกับ นีด ยู นาว คือให้ดนตรีคันทรีร่วมสมัยเป็นพระเอกคุมโทนไปเกือบทั้งอัลบั้ม ปรากฏว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะโทนดนตรีหลักในชุดนี้เน้นไปที่ความเป็นป็อบและร็อคเป็นหลัก ส่วนความเป็นคันทรีที่เคยเป็นจุดขายของวงปรากฏว่ามีปะปนอยู่แบบเจือจางเท่านั้น
โดยบทเพลงที่มีความเป็นคันทรีเด่นชัดที่สุดในอัลบั้มก็คือ “Love I've Found In You”(แทรค 10) ที่เป็นจังหวะคันทรีสนุกๆ เบสเล่นโน้ตหัวคอร์ดสลับกับคู่ 5 เดินย้ำคุมไปตลอด มีกีตาร์ เปียโน เล่นสอดประสานไปตลอด พร้อมเติมแต่งเสน่ห์ด้วยเสียงไวโอลินที่ให้อารมณ์ความเป็นลูกทุ่งมะกันได้เป็นอย่างดี ขณะที่เสียงร้องคู่ของชาร์ลและฮิลลารีนั้นฟังเป็นลูกทุ่งสมัยใหม่ที่เท่พอดู ส่วนเสียงกลองนั้นเป็นร็อคจัดหนักใส่กันมาซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทางของเพลงในชุดนี้ได้อย่างชัดเจน
อีกเพลงหนึ่งที่มีความเป็นคันทรีเจืออยู่แบบสัมผัสได้ก็คือ “We Owned The Night” เพลงเปิดในแทรกแรกที่มาในจังหวะสนุกๆ ขึ้นต้นมาในแบบคันทรี มีกีตาร์แมนโดลินเล่นนำส่งสู่ตัวเพลงที่ใส่ความเป็นร็อคดุๆลงไป ทั้งกีตาร์ กลอง ที่จัดหนักใส่กันมา แต่ไม่ลืมที่จะเหลืออารมณ์คันทรีบางๆไว้ให้ฟังกับลูกสไลด์หวานๆที่หยอดเติมเข้ามา
นอกจากสองเพลงนี้แล้ว เพลงที่เหลือต่างหนักไปทางป็อบ ร็อค ที่มีซาวน์คันทรีแทรกสอดอยู่บ้าง(แบบต้องตั้งใจฟัง) โดยเพลงเด่นๆชวนฟังในอัลบั้มชุดนี้ ได้แก่
“Just A Kiss”(แทรก 2) ซิงเกิ้ลแรกที่ทางวงส่งไปขึ้นอันดับ 1 ชาร์ตคันทรีบิลบอร์ดได้อย่างไม่ยากเย็น พร้อมทั้งขึ้นไปไต่อันดับในท็อป 10 ของชาร์ตเพลงฮิตมะกันอีกด้วย เพลงนี้บัลลาดเพราะๆที่เลดี้ เอ โชว์การร้องคู่ได้อย่างถึงอารมณ์ มีการรับสอดส่งเข้าขากันเป็นอย่างดี ช่วงท้ายเพลงจัดเต็มมาด้วยไลน์เครื่องสายอันหนาแน่น ฟังให้ซาวน์เลดี้ เอ ที่ฉีกหนีจากความเป็นคันทรีไปพอสมควร
“Dancin' Away With My Heart”(แทรก 3) บัลลาดป็อบร็อคอีกเพลงที่ขึ้นต้นมาออกแนวคันทรีนิดๆกับเสียงกีตาร์นำตามด้วยเสียงแมนโดลินบางๆ เพลงนี้ยังเป็นเพลงคู่เหมือนเดิม แต่เสียงร้องของทั้งคู่ฟังเหน่อขึ้นจมูกเป็นคันทรีมากหน่อย ส่วนท่อนท้ายของเพลงนั้นมาในอารมณ์เดียวกับ Just A Kiss คือใส่ไลน์ของเครื่องสายแน่นๆจัดเต็มใส่กันมา
“Friday Night”(แทรก 4) เพลงนี้พวกจัดหนักเป็นร็อคดุๆด้วยลูกริฟฟ์ ที่หากปรับเปลี่ยนโน้ตเพียง 2-3 ตัว ก็จะกลายเป็นเพลง Smoke on the water ได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ในความเป็นร็อคดุๆของเพลงนี้ มีการผสมลูกคันทรีลงไปจางๆ ด้วยเสียงแบนโจกับลูกสไลด์โดโบรที่น่าฟัง ส่วนเสียงกีตาร์ในเพลงนี้ที่เล่นทั้งลูกริฟฟ์ โซโล และกระชากคอร์ดหนักๆนั้นผมขอยกให้เป็นพระเอกไปเลย
“Cold As Stone”(แทรค 6) อะคูสติกกีตาร์ขึ้นต้นนำมา ก่อนส่งเข้าเนื้อเพลงที่ท่อนกลางสวมกอดด้วยไลน์เครื่องสายล่องลอย มีเสียงสไลด์อะคูสติกกีตาร์ แมนโดลิน แฮมมอนด์ เล่นเป็นแถวสองแถวสามคอยเติมเต็มอยู่ข้างหลังบางๆแต่รู้สึกได้ว่าเพราะและมีพลัง แล้วจึงปิดท้ายกันในท่อนจบด้วยเสียงขลุ่ยพื้นบ้านแนวเซลติกที่ให้อารมณ์โฟล์คแทรดดิชั่นได้เป็นอย่างดี
“Singing Me Home”(แทรก 7) เพลงนี้ป็อบจ๋ามาแบบโจ๊ะๆสนุกๆ ฟังผ่านๆชวนยักย้ายส่ายสะโพกได้ดีทีเดียว แต่ถ้าฟังซ้ำหลายๆรอบ โอ้โห มีรายละเอียดเพียบ ทั้งเสียงแฮมมอนด์ ไวโอลิน เสียงเคาะขอบกลอง และลูกโซโลอะคูสติกกีตาร์ที่ตามสมทบด้วยแมนโดลินและไวโอลิน พวกเล่นโน้ตกันง่ายๆแต่ฟังโคตรเจ๋งเลยเพ่
ส่วน “As You Turn Away”(แทรค 9) กับ “Heart Of The World”(แทรค 12) เป็น 2 เป็นป็อบช้าๆ มาในอารมณ์คล้ายกัน คือเปียโนเด่น ภาคดนตรีค่อยทวีความเข้มข้น ซับซ้อนและหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตามสูตรสำเร็จของป็อบร็อคทั่วไป โดยท่อนท้ายไม่ลืมที่จะจัดไลน์ออร์เคสตร้าหนาๆแน่นๆใส่เต็มมาเหมือนเดิม
สุดท้ายกับโบนัสแทรค “Need You Now” (แทรค 13) ที่มาสูตรเดียวกับอัลบั้มชุดที่แล้ว Need You Now ที่นำเอา “I Run to You” เพลงดังจากอัลบั้มแรกมาเป็นโบนัสแทรคเล่นในสไตล์ที่แตกต่าง
เพลงนี้เลดี้ เอ นำเสนอ นีด ยู นาว อะคูสติกเวอร์ชั่น ในแบบอะคูสติกเวอร์ชั่น ชวนฟังไปด้วยเสียงเปียโนหวานๆกับกีตาร์ตีคอร์ดแน่นๆ และเสียงร้องคู่ของ 2 นักร้องนำชาย-หญิงที่ยังเสียงดีไม่มีตก ปิดท้าย Own the Night อัลบั้มที่อุดมไปด้วยซุ่มเสียงแบบป็อบร็อค ส่วนความเป็นคันทรีอันเป็นจุดขายของวงเจือจางลงไปมาก
ใครที่อยากฟังสาวสวยฮิลลารีโชว์น้ำเสียงเหน่อขึ้นจมูก ถ่ายทอดลูกทุ่ง(ยุคใหม่)เข้มๆ เหมือนเพลง “American Honey” ในอัลบั้มที่แล้วนั้นไม่มีในอัลบั้มนี้ หากแต่มีเสียงร้องในอารมณ์ป็อบร็อคเข้มๆเข้ามาทดแทนกับความชัดเจนในแนวทางการร้องที่เด่นชัดขึ้น
ขณะที่ภาคดนตรีนั้น ทั้งซุ่มเสียงแห่งความเป็นคันทรีไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ เมโลดี้ จังหวะ เสียงเครื่องดนตรี อย่าง สไลด์โดโบร,ฟิดเดิ้ล,แมนโดลิน ฟังจางหายไปเยอะทีเดียว จะมีก็ในบางเพลงที่ใส่มาแบบจางๆบางๆ(บางจริงๆ)เหมือนกลัวคุณครูจะดุ ผิดกลับเสียงกลองที่พวกเล่นใส่กันมาแบบจัดหนัก เป็นดังการบอกให้รู้ว่าชุดนี้เน้นความเป็นร็อคมากกว่าคันทรีแหงมๆ
อย่างไรก็ตามในความเปลี่ยนไปบ้างทางดนตรีของเลดี้ เอ ที่อาจทำให้แฟนเพลงและอเมริกันชนที่โหยหาความเป็นคันทรี เกิดความรู้สึกแสลงใจไปบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ทดแทนมาในอัลบั้มชุดนี้นอกเหนือความเป็นร็อคที่หนักแน่นขึ้นและความเป็นป็อบที่เข้มข้นแล้วก็คือ รายละเอียด ลูกเล่น สีสัน ความละเมียดละไม ที่พวกเขาหยิบยอดมานำเสนอได้อย่างลงตัว เนี้ยบนิ้ง ไพเราะ งดงาม ซึ่งแม้ความสำเร็จและยอดขายจากอัลบั้มชุดนี้จะสู้ Need You Now ไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาแสดงให้เห็นก็คือพัฒนาการทางดนตรีและมาตรฐานที่สูงลิ่ว
ส่วนที่ยังคงเดิมอยู่ก็คือ พวกเขายังคงเป็นวงที่เก่งเรื่องการทำเพลงออกมาได้ชวนฟัง ไพเราะ และติดหูง่าย ชนิดที่หาตัวจับได้ยากวงหนึ่งแห่งยุทธจักรวงการเพลง
*****************************************
แกะกล่อง
ศิลปิน : รวมศิลปิน
อัลบั้ม : The Twilight Saga: Breaking Dawn Part 1
แม้พฤติกรรมของน้องเบลล่าดูจะไม่ต่างจากนางวันทอง แต่ว่าภาพยนตร์เรื่อง “The Twilight Saga: Breaking Dawn Part 1” ก็สามารถสร้างปรากฏการณ์ได้อย่างถล่มทลาย และนี่ก็คือซาวนด์แทร็คจากภาพยนตร์เรื่องนี้
อัลบั้มนี้ประกอบไปด้วย 15 บทเพลงจากหลากหลายศิลปินชั้นนำ มีทั้งเพลงช้า ปานกลางเร็ว คละเคล้ากันไป แต่โทนโดยรวมเพลงช้าจะมีมากหน่อยตามอารมณ์อ้อยอิ่งของหนัง โดยมีเพลงเด่นๆ อาทิ “Flightless Bird, American Mouth” ของ Iron & Wine เพลงประกอบจากภาคแรกที่มาทำดนตรีใหม่ในเวอร์ชั่นแต่งงาน, “A Thousand Years” ของ “Christina Perri” เป็นดังเพลงตัวแทนของสาวเบลล่า, “It Will Rain” ที่ขับร้องโดย “Bruno Mars” ที่เป็นดังเพลงตัวแทนของพระเอกแวมไพร์หน้าซีดที่สาวๆพากันหลงใหล