paulheng_2000@yahoo.com
วัฏจักรทางดนตรีร็อคนั้น หมุนวนเปลี่ยนแปลงผันแปรบิดพลิ้วได้ร้อยแปดพันเก้า มีทั้งขาขึ้น-อยู่ตัว-ขาลง สลับผลัดเปลี่ยนไม่มีที่สิ้นสุด
โลกดนตรีร็อคในยุโรปเหนือก็เป็นอีกโลกหนึ่งที่เป็นเอกเทศของตัวเอง แม้จะมีอิทธิพลจากดนตรีร็อคของสังคมดนตรีกระแสหลักจากอเมริกาเหนือและสหราชอาณาจักรครอบรวมอยู่ก็ตาม นานทีและช่องทางของโอกาสมีน้อยมากที่วงดนตรีจากประเทศแถบนี้จะหลุดออกมาสู่สังคมดนตรีร็อคของโลกในวงกว้าง
วงทริโอสัญชาติเดนิชซึ่งมีชื่อว่า Mew ที่เล่นดนตรีนิว โปรเกรสสีฟร็อค และดนตรีร็อคแนวทดลอง กำลังพาตัวเองมาสู่จุดที่คนฟังเพลงทั่วโลกสนใจ
พวกเขาเป็นวงดนตรีจากเดนมาร์คที่มีสมาชิกประกอบด้วย Jonas Bjerre (นักร้องนำ-กีตาร์), Bo Madsen (กีตาร์) และ Silas Utke Graae Jørgensen (กลอง) โดยมือเบส Johan Wohlert ลาออกจากวงไปเมื่อปี 2006 (2549) โดยทั่วไปแนวดนตรีของพวกเขาถูกเรียกว่า อินดี้ร็อค และบางคราครั้งก็ถูกเรียกว่านิว โปรเกรสสีฟร็อค แต่ก็มีการเหน็บแนมด้วยอารมณ์ขันโดยพวกเขาเองว่า พวกเขาเล่นดนตรีโปรเกรสสีฟร็อคที่เสแสร้งและอวดฉลาด
สมาชิกของวงเริ่มเล่นดนตรีในยุคเริ่มแรกด้วยแนวสเปซร็อค ในตอนที่เรียนอยู่ระดับเกรดเจ็ดที่บ้านเกิด เฮลเลอร์อัพ เดนมาร์ค ด้วยแรงทะเยอทะยานในวัยแรกหนุ่ม โดยชื่อวงดั้งเดิมแรกเริ่มคือ Orange Dog แต่ล้มเหลวในการนำเสนอตัวเองออกสู่คนฟัง ก่อนที่จะมารื้อสร้างกันใหม่จนกลายเป็นวง Mew ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจทางดนตรีมาจากวงดนตรี อย่าง My Bloody Valentine, the Pixies, Dinosaur Jr., the Pet Shop Boys และ Prince
ใน 2-3 ปีที่ผ่านไป วงดนตรีจากเดนมาร์กวงนี้ ถูกคาดหมายและวาดหวังว่า บางทีพวกเขาน่าจะเป็นวงดนตรีที่เล่นในสไตล์นิว โปรเกรสสีฟที่ดีที่สุดในโลกของยุคปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะแฟนเพลงในอังกฤษ สหราชอาณาจักร และยุโรปเหนือต่างเชื่อเช่นนั้น
อัลบั้มชุดที่ 5 Mew พยายามผลักดันเชิงชั้นทางศิลปะดนตรีของพวกเขาให้ก้าวสู่เสียงที่ยิ่งใหญ่ในความสลับซับซ้อนทางดนตรีที่คาบเกี่ยวกัน ท่วงทำนองที่ไม่สามารถคาดเดาได้ รวมถึงเสียงร้องที่ไพเราะอ่อนหวานที่ขยายขอบข่ายไปสู่ระดับของความอบอุ่นใจผ่านบทเพลงที่กลืนกลายเข้าหากันอย่างเป็นเอกภาพทั้งอัลบั้ม
ชื่อของอัลบั้มที่ยาวเหยียดจนน่าตกใจ ก็เป็นแรงท้าทายและให้ค้นหาสำหรับคนฟังเสียแล้ว
‘No More Stories / Are Told Today / I'm Sorry / They Washed Away // No More Stories / The World Is Grey / I'm Tired / Let's Wash Away’
รากเหง้าของดนตรีนิว โปรเกรสีฟร๊อค
โดยภาพรวมของอัลบั้ม ‘No More Stories Are Told Today…’ ของ Mew แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการพัฒนาซาวด์ดนตรีให้เข้าสู่ความยอดเยี่ยม ซึ่งถึงส่วนผสมของจินตนาการและบุคลิกดนตรีที่มีความเป็นตัวของตัวเองอยู่สูง ให้ความรู้สึกถึงความก้าวหน้าทางความคิดและดนตรีที่เข้มแข็งของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
โดยดนตรีนิว โปรเกรสสีฟร็อค ของ Mew เป็นส่วนผสมทางธาตุดนตรีของสไตล์อัลเทอร์เนทีฟร็อค, อินดี้ร็อค, ดรีมพ็อพ, โปรเกรสสีฟร็อค, เอ็กซ์เพอริเมนท์ร็อค และโพสต์-ร็อค
หากพิจารณาถึงคำนิยามทางดนตรีนิว โปรก (New Prog) หรือ นิว โปรเกรสสีฟร็อค จะอยู่ภายใต้โครงสร้างของดนตรีที่หลากหลายเป็นอย่างมากในยุคปัจจุบัน ซึ่งจะพบว่า ดนตรีจะมีความรู้สึกที่เป็นปัจเจกบุคคลหรือความเป็นส่วนตัวอยู่ค่อนข้างสูง ประกอบด้วยแนวดนตรีที่เรียกว่า เอ็กซ์เพริเมนทัลหรือแนวทดลอง ผนวกรวมกับดนตรีอินดี้-ทรอนิก้า ที่นำดนตรีในแนวอินดี้พ็อพร็อคมาผสมรวมกับดนตรีแนวอิเล็กทรอนิก้า และพาวเวอร์พ็อพ รวมถึงแนวดนตรีอื่นๆ ซึ่งมีอยู่ในวงดนตรีร็อครุ่นใหม่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น แมธร็อค/เมทัล, ไซเคเดลิค, โปรเกรสสีฟ, โพสต์-ร็อค, แชมเบอร์/บาโรค, สโลว์คอร์, อาร์ตร็อค ซึ่งหลอมรวมกันอย่างเป็นสไตล์แบบพันทาง
สำหรับแนวดนตรีนิว โปรเกรสสีฟร็อค นั้น มีชื่อเรียกหลากหลายหันไป อย่าง นิว โปรเกรสสีฟร็อคหรือนู โปรก บางทีก็เรียก อัลเทอร์เนทีฟ โปรเกรสสีฟร็อค หรือ โพสต์ โปรเกรสสีฟ ซึ่งโดยรวมก็มีความหมายเดียวกันคือ เป็นแนวดนตรีที่วงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อค ได้นำเอาองค์ประกอบของดนตรีโปรเกรสสีฟร็อคมาผสมผสานกับแนวดนตรีของตัวเอง
วงดนตรีที่เล่นดนตรีในแนวทางนี้ที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงในยุคปัจจุบันก็มรวง อย่าง Coheed and Cambria, Lightning Bolt, The Mars Volta, Muse, Mystery Jets, Oceansize, Pure Reason Revolution, Radiohead, System Of A Down และแน่นอนก็มีวง Mew ร่วมอยู่ด้วยเช่นกัน
จุดต้นกำเนิดที่น่าสนใจของวงดนตรีในสายพันธุ์ดนตรีนี้ โดยความหมายของศัพท์แล้ว ที่มีความเกี่ยวข้องกับคำว่า ใหม่ ซึ่งสืบค้นไปก็จะพบว่า วงดนตรีในยุคต้นๆ ที่เล่นดนตรีในแนวทางนี้ แล้วถูกบัญญัติศัพท์แนวดนตรีนี้ขึ้นมาก็คือ วง Radiohead ซึ่งเป็นความเชื่อมโยงที่ทับซ้อนและคาบเกี่ยวกับกับขบวนการขับเคลื่อนทางดนตรีที่เรียกว่า โพสต์-ร็อคในช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 90
โดยความพิเศษของคำๆ นี้น่าจะเชื่อมโยงกับวงดนตรีแนวบริตพ็อพที่เล่นดนตรีของตัวเอง โดยพยายามนำสัดส่วนดนตรีของโปรเกรสสีฟร็อคเข้ามาผสมผสานจนมีการเรียกวงเหล่านี้ในช่วงต้นว่า วงดนตรีในแนวนีโอ โปรเกรสสีฟร็อค
แน่นอน หากจะทำความเข้าใจของทั้งดนตรีนีโอ โปรก หรือ นิว โปรก ก็ต้องเข้าใจแรงเหวี่ยงทางดนตรีที่มีการสร้างสรรค์กันในช่วงข้อต่อสำคัญ ที่ส่วนมากเรียกวงดนตรีในแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อคและบริตพ็อพที่กำลังแสวงหาเอกลักษณ์ของตัวเอง และเทรนด์ดนตรีที่ท้าทายคือ จินตนาการทางดนตรี ซึ่งนำทิศทางและจริตดนตรีของโปรเกรสสีฟร็อคในยุคก่อนมาใช้
รากฐานดั้งเดิมของวัฒนธรรมดนตรีนี้ คือ โพสต์-ร็อค (Post-Rock) เป็นหัวขบวนการขับเคลื่อนทางดนตรีที่ก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่ปลายยุคทศวรรษที่ 80 ถึงต้นยุคทศวรรษที่ 90 ในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และแคนาดา และเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างเพิ่มมากขึ้น แต่ก็มีอยู่แค่ในแวดวงจำกัดของกระแสดนตรีหลักหรือเมนสตรีมในช่วงยุคทศวรรษที่ 2000 ถึงปัจจุบัน
นับได้ว่าเป็นบุคลิกของดนตรีร็อคที่ใช้เครื่องดนตรีตามปกติสามัญของซาวด์ดนตรีร็อค มาบิดพลิกผันทั้งริธึ่มหรือโครงสร้างของจังหวะ ท่วงทำนอง เมโลดี้ ลักษณะของเสียงร้อง และคอร์ดแบบก้าวหน้าที่ไม่ใช่ทางของดนตรีร็อคในแบบที่เคยนิยมกันมา แต่นำมาใช้ภายใต้จุดประสงค์อย่างที่ต้องการอยากให้เป็น
รากเหง้าของโพสต์-ร็อคนั้น มีพลังการเคลื่อนไหวมาจากแวดวงดนตรีอินดี้และใต้ดินหรืออันเดอร์กราวด์มาก่อน และเป็นฐานเดียวกับดนตรีอินดี้ร็อคในปัจจุบันเช่นกัน โดยมีบทบาทสำคัญมาจากรูปแบบดนตรีร็อคแนวทดลองหรือเอ็กซ์เพริเมนทัล ร็อค ในช่วงกลางยุคทศวรรษที่ 90 ซึ่งจะเห็นได้ถึงขบวนการขับเคลื่อนทางดนตรีที่มีอิทธิพลหลากหลายอย่างกว้างๆ หลวมๆ ไม่มีกรอบที่ชัดเจนตายตัว
โดยเชื่อมโยงเอาเครื่องดนตรีที่เล่นกันในแนวดนตรีร็อคมาตรฐานมาผสมกับดนตรีสังเคราะห์ในแนวอิเล็กทรอนิก้า ซึ่งผ่านงานดนตรีในแนวทดลอง โดยมีซาวด์ดนตรีครางต่ำๆ คล้ายการสะกดจิต และเสียงที่ใสและกระจ่างกว่า ซึ่งแสดงถึงความคิดที่นำเสนอออกมามากกว่าอารมณ์เพลง
โดยทั้งหมดทั้งสิ้นจะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามหรือขัดแย้งกัน ของพลังจากสัญชาตญาณของดนตรีร็อคแบบเดิม ซึ่งความจริงก็เป็นนัยยะของการแสดงออกมาตอบสนองทางดนตรีที่อยู่ในข่ายต่อต้านดนตรีร็อคที่ยึดติดกรอบกันมา โดยเฉพาะแนวดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อคที่มีกรอบเฉพาะทางของยุคทศวรรษที่ 90 ซึ่งเริ่มจะชาชินจนน่าเบื่อหน่าย
กระแสดนตรีโพสต์-ร็อคส่วนมาก จะเน้นย้ำไปที่การกอปรรวมสัญชาตญาณของดนตรีร็อคแอนด์โรลที่สูญเสียวิสัยความเป็นขบถที่แท้จริงให้กลับคืนมา เนื่องจากวงดนตรีร็อครุ่นหลังๆ ต่างทำงานดนตรีเพื่อป้อนรสนิยมของตลาดเป็นหลักใหญ่จนเป็นสูตรสำเร็จ ทำให้เสียบุคลิกและจิตวิญญาณดั้งเดิมของดนตรีร็อคที่ต้องมีความขบถไม่แยแสต่อโลกและคนฟัง เป็นดนตรีของการต่อต้านไม่ใช่เอาใจหรือประนีประนอมกับคนฟัง
ขบวนการผลิตงานดนตรีของแนวร่วมโพสต์-ร็อค จะปฏิเสธและไม่ยอมรับและล้มล้างวิธีคิดเก่าๆ แบบดนตรีร็อคยอดนิยมในท้องตลาด โดยเน้นความเกี่ยวพันของการสร้างงานที่ให้เสียงที่บริสุทธิ์และแก่นสารทางดนตรีและความคิดมากกว่าโครงสร้างของเพลงและท่อนฮุคของเมโลดี้ที่ไพเราะที่ออกมาจากชิ้นดนตรีและเสียงร้อง และเป็นความตั้งใจโดยบังเอิญของบรรดาวงดนตรีที่ผลิตงานออกมาในช่วงเวลานั้น ซึ่งดนตรีแนวนี้ก็ได้ตกผลึกรูปร่างในที่สุด และมีพัฒนาการมาจนถึงทุกวันนี้
การถูกยอมรับจากคนฟัง ความท้าทายจากความนิยมในดนตรีอินดี้ร็อค ซึ่งกลายเป็นจุดศูนย์กลางของคนฟังเพลงร็อครุ่นใหม่ในช่วง 10 ปีแรกของศตวรรษที่ 21 ในทางกลับกันก็มีการประชดประชันว่า ปัจจุบันวงดนตรีในแนวทางนี้ก็เหมือนๆ กัน ซึ่งแสดงถึงความน่าเบื่อแบบปัญญาชนออกมาได้อย่างไร้อารมณ์ มีมูลฐานของการหลอมรวมทางดนตรีที่สามารถคาดเดาทางได้ เรียกได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงน้อยมากจากวงในยุคแรกๆ และก็กลายเป็นจุดอ่อนที่สะท้อนกลับมาอย่างจัง ไม่ผิดกับดนตรีร็อคแบบเดิมที่พวกเขาต่อต้าน ซึ่งวงดนตรีแนวนี้รุ่นหลังๆ พยายามที่จะสร้างซาวด์ที่พิเศษของตัวเองเพื่อให้เป็นที่จดจำ แต่ก็ไม่มีสไตล์ที่ฉีกออกไปจากของเดิมหรือความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ให้น่าตื่นเต้น และเป็นความเหนื่อยใจของคนฟังอีกเปลาะหนึ่ง
แต่วง Mew สามารถแหวกกระแสขาลงของขบวนการขับเคลื่อนทางดนตรีโพสต์-ร็อค โดยสร้างซาวด์ดนตรีแบบนิว โปรกของตัวเองอันข้นคลั่ก คมกร้าวน่าค้นหา โดยไม่สามารถคาดเดาทิศทางได้ แต่มีความลุ่มลึกทางความคิดและจินตนาการแบบปัญญาชนที่ลึกซึ้งออกมา
อัลบั้ม ‘No More Stories Are Told Today…’ จะเป็นคำตอบที่ต้องค้นหา
ดำดิ่งลงลึกสู่บทเพลง
เมื่อความใหม่กับความเก่าย่อมสวนทางและย้อนแย้งกันเสมอ ประวัติศาสตร์ถึงแม้จะมีการซ้ำรอย แต่เรื่องราวทางดนตรีนั้นยากที่จะหวนกลับไปสู่จุดเดิม แม้จะเอาของเก่ามาสร้างใหม่ก็ตาม แต่ก็เป็นแค่การระลึกถึงชั่วครั้งชั่วคราว เป็นการรำลึกถึงวันชื่นคืนสุข แต่จะให้ยืนยงเป็นจำหลักหรือหมุดหมายของยุคสมัยคงเป็นไปไม่ได้
เพราะดนตรีที่แท้จริงแล้ว คือปากคำที่สะท้อนความจริงแท้ของยุคสมัยออกมา
อัลบั้ม ‘No More Stories / Are Told Today / I'm Sorry / They Washed Away // No More Stories / The World Is Grey / I'm Tired / Let's Wash Away’ ชื่ออัลบั้มอันแสนยาวเหยียดของงวง Mew คงบ่งชี้ได้ดีว่า สถานะตรงนั้นพวกเขาข้ามทะลุผ่านมาได้ด้วยทฤษฎีการรื้อสร้างทางดนตรีเพื่อให้เกิดความใหม่และร่วมสมัยขึ้นมา
โดยงานเพลงชุดนี้นับเป็นงานชุดที่ 5 ของวงดนตรีเดนิชอินดี้ร็อค จากเดนมาร์ค ที่ถูกยกย่องว่า สร้างสรรค์และจินตนาการงานดนตรีในแนวนิว โปรเกรสสีฟร็อคที่ดีที่สุดในชั่วโมงนี้ อัลบั้มชุดนี้ได้ Rich Costey ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์, ซาวด์ เอนจิเนียร์ และมิกเซอร์ ที่ทำงานกับวงอินดี้ร็อครุ่นใหม่มากมาย โดยเฉพาะในสายทางนิว โปรเกรสสีฟร็อค ดูเหมือนจะถนัดเป็นพิเศษ มาร่วมทำงานด้วย
วงดนตรีที่ผ่านมือ Rich Costey นั้น ล้วนอยู่ในกระแสชื่นชมและชื่นชอบของคนฟังและนักวิจารณ์เพลงในยุคนี้ อาทิ Muse, Cave In, Thursday, Franz Ferdinand, Glasvegas, The Mars Volta, Doves, Bloc Party, Ontronik (The Apex Theory), Jimmy Eat World, My Chemical Romance, Supergrass, Audioslave, Rage Against the Machine, Nine Inch Nails, Weezer, Philip Glass, Dave Navarro, Fiona Apple, Mastodon, Atreyu, Apocalyptica, System of a Down และ Interpol
เพราะฉะนั้นการทำงานร่วมกันกับ Mew วงดนตรีที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ที่ความน่าค้นหาทางดนตรีที่สดใหม่ จึงเป็นเรื่องที่มาบรรจบลงตัวกันอย่างมาก เพราะเรียกว่ามีธาตุดนตรีที่ตรงกัน จูนพลังสร้างสรรค์ตบให้เข้ารูปเข้ารอยกันได้ง่าย
เมื่อย้อนดูอดีตเส้นทางดนตรีของวง Mew ก็พบว่า ปีนป่ายเส้นทางอย่างยากลำบากมาแสนสาหัสเช่นกัน จากอิทธิพลทางดนตรีในแบบบริตพ็อพที่เล่นกันในสไตล์ชูก๊าซที่มีเสียงสังเคราะห์เข้ามาผสมอย่างอื้ออึง ได้พัฒนาขยับขึ้นสู่ในแนวทางของโปรเกรสสีฟร็อค พัฒนาการอย่างช้าๆ แต่ว่ามั่นคงมุ่งเข้าสู่ทิศทางนี้ ทำให้แนวดนตรีของเขาก้าวข้ามพ้นจุดเดิมสู่คำว่า นิว โปรเกรสสีฟร็อค อย่างสมบูรณ์ เปี่ยมด้วยเสน่ห์เฉพาะตนซึ่งสร้างความน่าฉงนสู่คนฟัง
ด้วยบุคลิกเฉพาะตัวทางดนตรีและเสียงร้องที่ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวไม่เหมือนใคร ซาวด์มวลรวมที่ดีขึ้นและลงตัวจากอัลบั้มชุดก่อนๆ แสดงถึงส่วนผสมของจินตนาการและความเป็นส่วนตัวที่รวมกันเป็นหนึ่ง เป็นความก้าวหน้าที่นำสมัยของดนตรีเพื่อความเพลิดเพลินและความซับซ้อนในการฟังอย่างลงตัว
ความเรียบง่ายที่เติมเต็มเข้ามาในอัลบั้ม ‘No More Stories…’ ทำให้งานของพวกเขาโดดเด่นตกตะกอนมากขึ้น สามารถสลัดหลุดออกจากเสียงที่แสดงทัศนะออกมาอย่างเป็นนามธรรมและน่าขันไปได้ สื่อถึงความลึกซึ้งที่เพิ่มมากขึ้น อัลบั้มชุดนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังนำดนตรีของตัวเองทะยานขึ้นสู่มิติที่เรียกว่า ‘ใบหน้าแห่งจิตวิญญาณของยุคสมัย’ อย่างน่าพอใจ
ความล้ำเลิศของงานเพลงและดนตรีก็คือ การนำความซับซ้อนมาไว้รวมกัน แต่สามารถหยิบมาฟังอย่างเพลิดเพลินได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
จินตนาการและความช่างฝันที่ผสมกับเมโลดี้ ซึ่งไล่ล้อเป็นวงกลมอย่างไพเราะ และสามารถจดจำท่วงทำนองได้ง่าย ทำให้สิ่งที่ซับซ้อนซ่อนเอาไว้ถูกตอกย้ำผ่านด้วยดนตรี ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของบทเพลงของ Mew ที่แข็งแกร่งในการนำความยากมาทำให้ง่ายเพื่อส่งสารสื่อกับคนฟัง โดยมีพาหะคือดนตรีที่จับหูจับจิต
การดูดซึมอย่างหฤหรรษ์ในวิธีความคิดหรือวิธีการซึ่งมีหลากหลายและสัมพันธ์กัน มีผลกระทบต่อเนื่องออกมาอย่างเด่นชัด ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำให้ดนตรีมีทิศทางและชีวิตชีวาใหม่ๆ ขึ้นมา
จากงานเพลงที่สุกสกาวสวยสด-งดงามอย่างประณีต และการมองโลกในแง่ดี นับเป็นสิ่งที่แสดงถึงการพัฒนาขึ้นอีกมิติหนึ่งของ Mew นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ดนตรีและความคิดผ่านเนื้อหาและถ้อยความในบทเพลงของพวกเขาสมบูรณ์แบบมากขึ้น
เท่าที่ผ่าน โดยธรรมชาติในบทเพลงของ Mew จะไม่ใช่บทเพลงที่จำได้ติดหูติดปาก แต่เน้นการประสานเสียงและการเล่าเรื่องผูกร้อยให้ตีความคล้ายนวนิยาย โดยผ่านตัวบทเพลงแต่ละเพลง
จุดที่น่าสนใจกับการตั้งของสังเกตในบทเพลงและดนตรีของวง Mew ซึ่งถูกเรียกว่า นิว โปรเกรสสีฟร็อค นั้น พวกเขาไม่ทะเยอทะยานที่จะทำงานเพลงในระดับมหากาพย์ด้วยความยาวของเพลงที่กินเวลาถึง 17 นาที อย่างวงในระดับตำนาน ซึ่งประกอบไปด้วยการโซโล่ของแต่ชิ้นดนตรีที่ยืดยาว เนื้อร้องที่นำเสนอถึงสารที่พยายามเข้าสู่สภาวะธรรมในการหลุดพ้น หรือแบบแผนของเพลงที่ซับซ้อนยุ่งยาก แต่พยายามนำโน้ตและวิธีคิดและกลิ่นอายทางดนตรีแบบเอเชียเข้ามาสานสวมให้มีความเป็นพ็อพที่รื่นหู
ส่วนที่น่าจดจำอย่างมากคือ ฝีมือในการสร้างสรรค์ซาวด์ดนตรีที่ให้เสียงปรุงแต่งแปลกใหม่ขึ้นมา ด้วยบีทที่แตกต่างออกไป เสียงกีตาร์ที่แหวกขนบเดิมๆ และระดับเสียงที่สร้างความรู้สึกอลังการ ความล่องลอยฟุ้งฝันของเสียงร้อง เสียงพูดที่คล้ายดูล่องลอยมาจากโลกอื่น และเสียงสะท้อนก้องลอยแบบในละคร เปิดเผยให้เห็นการต่อชิ้นส่วนเล็กชิ้นส่วนน้อยกอปรรวมกัน เพื่อร้อยเรียงอารมณ์ให้เป็นเรื่องราวและจินตภาพผ่านการฟัง
ลักษณะของการเขียนเนื้อร้องของวง Mew สังเกตได้ว่ามีความสวยงามจากองค์รวมที่ประกอบเข้าจากถ้อยความที่รวมกันหลายประโยค เชื่อมรวมเข้าอย่างกระชับและได้ใจความ แต่กินความกว้าง และตีความได้ลุ่มลึก ซึ่งเป็นจริตของการเขียนเนื้อเพลงเล่าเรื่องในแบบโปรเกรสสีฟร็อค พวกเขาพาคนฟังเขาสู่เขตแดนของแนวความคิดหรือคอนเซ็ปท์ของผู้คนที่มีความสุขอย่างเปล่งประกาย การนำความรู้สึกของโลกที่จริงแท้ผสมเข้ากับความสลับซับซ้อนของอารมณ์อย่างไร้รอยตะเข็บต่อ
โดยบทเพลงทุกเพลงทั้ง 14 เพลงในอัลบั้มชุดนี้สามารถเชื่อมโยงนำไปสู่เพลงต่อไปที่เรียงกันไว้อย่างกลมกล่อม
ความชัดเจนของเสียงก้องสะท้อนของรีเวิร์บกีตาร์ที่สามารถควบคุมการสร้างอารมณ์เพลงได้อย่างอยู่มือ รวมถึงเบสที่เต้นกระเพื่อมส่งจังหวะสอดคล้องอารมณ์เพลงและการร้องได้อย่างกลมกลืนและกระชับเด้งโดดออกมาอย่างน่าฟัง ส่วนลูกริฟฟ์กีตาร์ดูเหมือนจะมีซาวด์ที่แห้งดิบขัดแย้งและไม่กลมกลืนกับมวลรวมของชิ้นดนตรีอื่นๆ ที่นุ่มฉ่ำหู และลอยล่องด้วยเสียงสังเคราะห์แบบแอมเบรียนต์ที่ปูบรรยากาศของอารมณ์เพลงไว้
แม้ว่าจะพิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรมแล้ว ก็ยังต้องบอกว่า เสียงร้องนำของ Jonas Bjerre นั้น ช่างอ่อนแรงเรื่อยเปื่อยไร้น้ำหนักเไม่หมาะกับนักร้องนำในวงดนตรีร็อค ซึ่งต้องอาศัยเสียงแปดหลอดนรกแตก แต่จุดด้อยอันนี้ถูกเติมเต็มด้วยการร้องประสานเสียงที่มาโอบอุ้มให้คลอเลาะไล่กับดนตรี ซึ่งเป็นส่วนที่ถูกให้ความสำคัญในบทเพลงของพวกเขามากกว่าเสียงร้อง
อีกจุดที่พวกเขานำมาใช้มากเกินไปจนเกือบจะพร่ำเพรื่อ คือ อินเทอร์ลูดหรือดนตรีบรรเลงสั้นๆ สลับฉาก จาก 14 บทเพลง พบว่ามีบทเพลงจริงแท้เพียง 9 เพลงเท่านั้น นอกนั้นเป็นดนตรีเพื่อเชื่อมและเปลี่ยนอารมณ์ ทั้งการขึ้นต้นเพื่อโยงเข้าสู่ตัวเพลงต่อไปหรือส่งท้ายเพื่อปิดฉากจากเพลงที่จบไป ทำให้ดูเหมือนจงใจในความไม่จงใจ เป็นอารมณ์ที่ตะขิดตะขวงใจของคนฟังอยู่พอสมควร
การทบทวนความคิดหรือความรู้สึกของตัวเองของวง Mew นั้น ปรากฏชัดในบทเพลงของพวกเขา โดยมีบทเพลงในแต่ละเพลงลากไล่เรื่อยไปจนบทเพลงสุดท้าย ‘Reprise’ จะพบได้ถึงความสามารถของเชิงชั้นและลีลาทางดนตรีที่สวยงามและเรียงร้อยอารมณ์กันอย่างชาญฉลาด โดยคนฟังไม่รู้สึกเฉลียวใจเลยถึงการแทรกซึมของเมโลดี้ของความเป็นพ็อพ จากในเวลาทั้งหมด 53.36 นาที
‘Hawaii’ กับ ‘Hawaii Dream’ เป็นสองบทเพลงที่จงใจวางเรียงไว้คู่กัน
บทเพลงอย่าง ‘Hawaii’ แสดงให้เห็นถึงวิธีคิดที่มีความร่วมสมัยเพียงเล็กน้อยของพวกเขาเท่านั้น เพราะบทเพลงนี้วางธีมของดนตรีไว้คล้ายการปะทุของลาวาภูเขาไฟที่ผุดพุ่งขึ้นมา เป็นการเล่าเรื่องสร้างอารมณ์พุ่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเดินขึ้นบันได ซึ่งเป็นแนวทางการเล่าเรื่องผ่านเนื้อหาของตัวเพลงในรูปแบบของดนตรีโปรเกรสสีฟร็อค
บทเพลงนี้เป็นผลพวงที่ต่อเนื่องมาจากเพลงก่อนหน้าคือ ‘Hawaii Dream’ ที่คล้ายเป็นเพลงเชื่อมเป็นลำนำแผ่วเบาลอยฟุ้งคล้ายสร้างอารมณ์เพื่อเปิดเข้าสู่บทเพลง ‘Hawaii’ ที่เข้มข้นขึ้น โดยมีโครงสร้างของจังหวะที่ค่อนข้างดิบ กีตาร์ลีดที่มีบทบาทในการกรีดอารมณ์ ผนวกด้วยเสียงจากระนาดเหล็กที่คลอเคล้าเป็นพลังขับเคลื่อน
บทเพลง ‘Sometimes Life Isn't Easy’ ชื่อเพลงก็บ่งบอกถึงความหมายของการค้นพบชีวิตว่า บางเวลาชีวิตก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป การขึ้นต้นดนตรีด้วยความอ่อนโยน ก่อนที่จะลากบีบนุ่มนวลคลอเคล้าด้วยแซ็กโซโฟน ผนวกกับเสียงซินธิไซเซอร์ที่อบอุ่นให้ความรู้สึกละม้ายคล้ายสายลมหวูหวิว โดยมีฉากหลังเป็นเสียงร้องคลอด้วยภาษากวีอันอ่อนโยนจากการประสานเสียงของทีมคอรัสเด็ก ซึ่งให้ความรู้สึกที่รื่นรมย์สวยงาม
หัวใจของอัลบั้ม ‘No More Stories…’ คือฟังได้สนุกเพลิดเพลิน โดยมีลักษณะของทั้งความเป็นกวีนิพนธ์ และชอนไชอารมณ์ด้วยความยะเยือกเย็น ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่และงดงาม รวมถึงการบันทึกเสียงที่ยอดเยี่ยม
Mew เป็นวงดนตรีที่ได้ทำการรื้อสร้างดนตรีโปรเกรสสีฟร็อค เพื่อต่อยอดไปข้างหน้าด้วยจริตของคนยุคโพสต์โมเดิร์น (หลังสมัยใหม่) นับได้ว่าถูกใจทั้งแฟนเพลงที่เป็นฐานเดิมเก่าก่อนของพวกเขา และแฟนเพลงใหม่ที่ฟังงานชุดนี้เป็นครั้งแรกจะได้รู้ซึ้งถึงคำว่า ดนตรีนิว โปรเกรสสีฟร็อค ที่เจือความเป็นพ็อพได้อย่างมีคุณภาพเป็นเช่นไร...
……….
รายชื่อบทเพลงในอัลบั้ม ‘No More Stories Are Told Today…’
1.‘New Terrain’
2.‘Introducing Palace Players’
3.‘Beach’
4.‘Repeaterbeater’
5.‘Intermezzo 1’
6.‘Silas The Magic Car’
7.‘Cartoons and Macramé Wounds’
8.‘Hawaii Dream’
9.‘Hawaii’
10.‘Vaccine’
11.‘Tricks of the Trade’
12.‘Intermezzo 2’
13.‘Sometimes Life Isn't Easy’
14.‘Reprise’
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ฟังมาแล้ว
...............
‘Project Love Pill ยาดีมีไว้ฟัง’ : ฟองเบียร์ / รวมนักร้อง
บทเพลงพ๊อพสมัยนิยมสำหรับยุคนี้ ต้องมีมือแต่งเพลงที่ถือว่ามาแรงติดอยู่ในสารบบอย่างแน่นอน นั่นก็คือ ฟองเบียร์ หรือ ปฏิเวธ อุทัยเฉลิม ซึ่งปัจจุบันนับได้ว่าเป็นกระบี่มือหนึ่งของคนเขียนเพลงพ๊อพในชายคาจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ก็ว่าได้ หลังจากที่พี่ดี้ของน้องๆ หรือ นิติพงษ์ ห่อนาค ต้องระเห็จถอนยวงออกไป
โปรเจคท์อัลบั้มชุดนี้เป็นการต่อย้ำวิธีคิดและเขียนเพลงของเขาที่พ่วงมากับดนตรีพ๊อพ อีซี่ลิสซึ่นนิ่งฟังสบาย มีกลิ่นอายความหนักแน่นของพ๊อพร๊อคและซอฟต์ร๊อคเข้ามาผสมอยู่บ้าง ดนตรีไพเราะฟังสบาย เนื้อหาโดนใจ ใช้ภาษาเป็นการเล่าเรื่องที่มีมุมมองง่ายๆ แต่โดนใจในมุมของความรัก ทั้งรักที่เบ่งบานสวยงามตามอุดมคติของคนสองคน แอบรัก รักเขาข้างเดียว เป็นต้น
การเลือกคนร้องก็เอามาจากหลายสาขาอาชีพ แต่ก็เป็นคนที่ร้องเพลงได้ทั้งหมด ทำให้งานออกมาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ถือว่าเป็นคนแต่งเพลงรุ่นใหม่ที่เข้าใจหูคนฟังในตลาดเพลงพ๊อพกระแสหลักแบบไทยๆ ที่เข้าถึงคนยุคนี้เป็นอย่างยิ่ง...
Rock ‘n’ Roll Party Honoring Les Paul / Jeff Beck
เอตทัคคะทางด้านกีตาร์แห่งเกาะอังกฤษ ผู้เยี่ยมยอดวรยุทธ์ด้านกีตาร์ที่อยู่ยั่งยืนยงเหนือยุคสมัย ไม่หวือหวาตามกระแสนิยม ทว่ามั่นคงหนักแน่นในการสร้างสรรค์งานดนตรีผ่านเสียงกีตาร์ของตัวเอง
การแสดงความคารวะต่อ เลส พอล ผู้บุกเบิกสร้างกีตาร์ยุคใหม่ที่ส่งอิทธิพลต่อดนตรีร๊อคแอนด์โรล กับ 20 บทเพลงที่แสดงสดหวนกลับสู่ยุคโอลด์ แฟชั่น สวิง แจ๊ซ และสแตนดาร์ด พ๊อพ กับวง ดิ อีเมลดา เมย์ นั้นสร้างความรู้สึกถึงงานปาร์ตี้ที่สนุกสนานย้อนหลังกลับไปในความรื่นรมย์ ยุคเก่าก่อนที่เสียงแห่งดนตรีร๊อคจะแผดกร้าวเท่ายุคนี้
Them Crooked Vultures / Them Crooked Vultures
วงดนตรีซูเปอร์กรุ๊ปที่ระดมยอดฝีมือในชิ้นดนตรีของโลกดนตรีร๊อคต่างยุคสมัยมาเล่นดนตรีสร้างสรรค์งานร่วมกัน จอห์น พอล โจนส์ มือเบสวงเลด เซพพลิน, เดฟ โกรห์ล มือกลองวงเนอร์วน่า, จอช โฮมม์ นักร้องนำและมือกีตาร์วงควีน ออฟ เดอะ สโตน เอจ
13 บทเพลงที่บรรจุอยู่ในอัลบั้ม และคว้ารางวัลแกรมมี่ไป 1 รางวัล สะท้อนให้เห็นพลังของดนตรีร๊อคที่เชื่อมโยงดนตรีฮาร์ร๊อค เฮฟวี่เมทัล อัลเทอร์เนทีร๊อค และอินดี้ร๊อค ในโลกคนฟังสมัยใหม่ได้อย่างเต็มไปด้วยทักษะและกึ๋นทางดนตรี เชิงชั้นลูกเล่นที่สวิงสวาย และความเท่ของเผ่าพันธุ์ร๊อคที่ข้ามเส้นกาลเวลาได้เสมอ ฟังสนุกหนักแน่นและสะใจ
Living With The Past / Jetho Tull
เอียน แอนเดอร์สัน กับลีลาการเป่าฟลุ๊ตที่เป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของวงโปรเกรสสีฟร็อค อย่าง เจโทร ทัลล์ กับการแสดงที่แฮมเมอร์สมิธ อพอลโล่ เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นยุคร่วงโรยของเขาและวง ซึ่งชื่องานก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า อยู่กับอดีต กับ 21 บทเพลงที่นำมาเล่นสดอย่างจุใจทำให้ระลึกวันชื่นคืนสุขตอบสนองคนฟังที่รักพวกเขาได้เป็นอย่างดี
>>>>>>>>>>>
ชีพจรดนตรี
....................
คอนเสิร์ต เพราะคุณคือคนสำคัญ อมตะบทเพลงสุนทราภรณ์ในใจคุณ
จาก 2,000 กว่าบทเพลงของสุนทราภรณ์ ที่ตราตรึงอยู่ในใจผู้ฟังมาตลอดมากกว่าหลายทศวรรษ กำลังจะถูกเลือกมาขับร้องในคอนเสิร์ตครั้งนี้ จากความประทับใจของท่านผู้ชมเอง ผ่านการถ่ายทอดจากศิลปิน อาทิ อรวี สัจจานนท์, บอย AF2, ตี๋ AF4, อิ๋งอิ๋ง AF4, โบว์ AF5 และศิลปินคลื่นลูกใหม่สุนทราภรณ์
แสดงในวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2554 14.00 น. ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน จำหน่ายบัตรที่ Thai Ticket Major บัตรราคา 2000/ 1500/ 1200 และ 800 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-262-3456 หรือ www.royalparagonhall.com, soontaraporn@gmail.com
‘MAO & DANG’
คอนเสิร์ตสุดฮอต...จากสองสาวสุดฮา เม้า...สุดา ชื่นบาน & แดง...ฉันทนา กิติยพันธ์
ควงคู่ 2 หนุ่มรับเชิญ ศิลปินดัง สุทธิพงษ์ วัฒนจัง (ชมพู ฟรุ๊ตตี้) & สุชาติ ชวางกูร มาร้องเพลงฮิตในคอนเสิร์ต
พบกับคอนเสิร์ตยอดเยี่ยม ในคอนเส็ปท์เด็ดๆ ที่คัดสรรบทเพลงฮิตติดชาร์ตที่ฮอตสุดๆ ทุกยุค ทุกสมัย มาเรียงร้อยเล่าเรื่องเพลงดัง ถ่ายทอดผ่านเสียงสวยๆจาก 2 นักร้องดูโอ เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพตลอดโชว์กับเพลงสุดฮิตและลีลามันๆ ให้แฟนเพลงได้รับความบันเทิงอย่างสมบูรณ์แบบ สนุกสนานกับ มุขเด็ด! มุขฮา! มีมาขายหัวเราะเพียบ หนึ่งปีพบกันทีกับคอนเสิร์ตงานเพลงดีๆ ที่แฟนเม้า&แดง พลาดไม่ได้ เพราะคอนเสิร์ตครั้งนี้ตามจีบ 2 หนุ่มศิลปินรับเชิญ แต่เป็นขวัญใจแฟนเพลงทุกรุ่นอย่าง สุทธิพงษ์ วัฒนจัง(ชมพู ฟรุ๊ตตี้) และ สุชาติ ชวางกูร มาควงคู่ร้องเพลงฮิตในคอนเสิร์ต ร่วมขยับความมันโดย เบิร์ด แดนเซอร์ ทีมนักเต้นมืออาชีพ สร้างสีสันงานเพลงด้วยคอรัสคุณภาพ ปอ..วรภัทร วิทโยภาส - น้อง..นัฏฐ์นลี สุรพลานันท์ (จากเวที The Star) บรรเลงโดย วงดนตรี BIG BAND เฉลิมราชย์ ควบคุมวงโดย อ.วิรัช อยู่ถาวร
แสดงวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2554 ณ ศาลาเฉลิมกรุง (2 รอบการแสดง) รอบ 14.00 และ 19.00 น. บัตรราคา 1,000 บาท 700 บาท และ 500 บาท จำหน่ายบัตรแล้ววันนี้ที่ศาลาเฉลิมกรุง โทร. 0-2225-8757-8, 0-2623-8148-9 และไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา www.thaiticketmajor.com โทร. 0-2262-3456
happening@house*2
หลังจากปีที่แล้วงาน happening@house ได้รับความสำเร็จไปอย่างท่วมท้น มีผู้คนและศิลปินเข้าร่วมงานกันแน่นเอี้ยดจนทำให้โรงภาพยนตร์ House RCA ถึงกับอบอ้าว จากที่ปกติได้ชื่อว่าแอร์เย็นมาก!
ในวันที่ 8 ตุลาคมปีนี้ งานเทศกาลดนตรี หนัง และศิลปะดีๆ ที่นิตยสารศิลปะบันเทิง happening และโรงภาพยนตร์อาร์ตเฮาส์ House RCA จับมือจัดร่วมกันก็กลับมาอีกครั้ง ในงานhappening@house*2 คราวนี้ทวีความเข้มข้นของโชว์สุดพิเศษจากศิลปินหลายหลาก อาทิ วงดนตรีคอนเซปต์ที่กำลังมาแรง ติ๋วเดย์ จะมาเล่นคอนเสิร์ตเปิดงานพร้อมเอา ‘หนัง’ ของตัวเองมาฉายในโรงภาพยนตร์ให้ดูด้วย วง Friday จะมาเล่นคอนเสิร์ตอะคูสติกย้อนอดีตเพลงเก่าๆ ของพวกเขา ไล่มาจนถึงเพลงใหม่ล่าสุดจากอัลบั้มใหม่เอี่ยมที่จะเอามาขายพร้อมแจกลายเซ็นในงานนี้ ส่วนวงปัจฉิมลิขิต ที่เป็นการรวมตัวกันของ ปอย พอร์เทรต, หนึ่ง ฟรายเดย์ และนรเทพ มาแสง (เครสเชนโด้) ก็จะมาพร้อมกับแขกรับเชิญพิเศษ มิวสิค AF ที่ร่วมงานกันจากหนัง "รักจัดหนัก" มาแล้ว และวงสุดพิเศษที่นานทีปีหนจะมารวมกันสักครั้งก็คือ นิ้วแบนด์ ที่เป็นการร่วมงานของ แสตมป์ กับ นิ้วกลม!
นอกจากนี้ยังมีโชว์จากวงอีกมากมายทั้งวงเท่ๆ ที่หาดูยากอย่าง เมธี & พราย, ละอองฟอง, Lullaby, บุดดิสฮอลิเดย์, Plot, Lonely Lego และวงสุดป๊อปขวัญใจแฟนเพลงอย่าง แป้งโกะ, O-Pavee, Ten to Twelve, พัดชา, ต้อล AF, Lemonsoup, Penguin Villa, The Jukks, The Yers, จุ๋ย จุ๋ยส์ แถมด้วยวงรุ่นสุดแนวรุ่นใหญ่ที่กลับมาดังระเบิดในปีนี้อย่าง Paradox
ในงานยังมีการออกร้านของขนมน่ารักๆ ค่ายเพลง ค่ายหนัง สำนักพิมพ์ ที่จะเอาสินค้ามาลดราคากัน อาทิ Believe Records, Spicy Disc, ไต้ฝุ่น, ฮิกาซีน, Bioscope, Smallroom, ชายขอบ และนานาสินค้าดีไซน์ยอดนิยมจากร้าน ค้าทาง Facebook อาทิเครื่องประดับและนาฬิกาทำมือจาก Mink's, ผลิตภัณฑ์ผ้าและสมุดจาก 140 bpm, กระเป๋าผ้าจาก Bun-Ju, เสื้อยืดย้อมสีธรรมชาติจาก Walk on the Wild Side และผลิตภัณฑ์สุดอาร์ตทั้งเสื้อยืด ผ้าพันคอ และสมุดทำมือจาก The Brown Bunny Factory, โปสการ์ดวาดมือที่รอวาดให้ลูกค้าสดๆ ในงานโดย ชิงชิง กฤชเทียมเมฆ รวมทั้งสินค้าแปลกๆ ฮาๆ จาก ต้า พาราด็อกซ์ และผองเพื่อน!
และแน่นอนว่างานจัดที่โรงหนัง ดังนั้นต้องมีการฉายหนังเกิดขึ้นแน่ๆ ที่มาแน่นอนคือ "รักจัดหนัก" ที่เราจะเอาผู้กำกับฯ มาพูดคุยกันด้วย, หนังสั้นที่เป็นต้นกำเนิดของ ยอด กับ บอล แห่ง ‘หนังพาไป’, หนังสารคดีเพื่อสังคม "ฉันอยู่นี่ เธออยู่ไกล" ของ ตั้ม พัฒนะ จิรวงศ์, หนังของ โดนัท มนัสนันท์ โปรแกรมเฉพาะกิจของชมรมดูหนังสั้น Third Class Citizen และการกลับมาฉายให้ดูเต็มๆ ในโรงอีกครั้งของ “ขุนรองปลัดชู”
ทั้งหมดนี้ ยังเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในงานนี้เท่านั้น! เอาเป็นว่าถ้าอยากมาเห็นการแปลงกายจากนิตยสารน่ารักๆ ของ happening มาเป็นงานอีเวนต์น่ารักๆ งานนี้ไม่ผิดหวังแน่นอน ใครอยากรู้ตารางเวลาของโชว์คอนเสิร์ตและฉายหนัง เข้าไปเช็กได้ที่เว็บไซต์ www.happenningeveryday.com และ www.facebook.com/happeningmagazine ได้เลย
happening@house*2 จะจัดในวันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม 2554 นี้ เวลา 11.00 - 22.00 น. เข้าฟรีตลอดงาน!
>>>>>>>>>
คอนเสิร์ต ‘จรัลในดวงใจ’
The Legend of Lanna Folk Song Concert วันพุธที่ 21 กันยายน 2554 เวลา 18.00-24.00 น.
ณ ร้านอาหาร เฮือนสุนทรี เวชานนท์ เชียงใหม่ พบกับศิลปิน : สุรชัย จันทิมาธร และกันตรึม จันทิมาธร, ธีร์ ไชยเดช, คณาคำ อภิรดี, สุนทรี เวชานนท์, กิจจา มโนเพ็ชร และบุตรชาย, ลานนา คัมมินส์, ไตรศุลี มโนเพ็ชร, พยัต ภูวิชัย, นรเศรษฐ หมัดคง, ตุ๊ก บราสเซอรี่, สุดสะแนน อ่านบทกวี : เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ และวงคันนายาว, ไพวรินทร์ ขาวงาม และดำเนินรายการโดย จักรกฤษ ศิลปชัย
พร้อมชม นิทรรศการของสะสม จรัล มโนเพ็ชร และภาพถ่ายในอดีตของวงโฟล์คซองคำเมือง รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย สมทบทุนโครงการ ห้องสมุดจรัล มโนเพ็ชร โครงการแรก ณ ห้องสมุด โรงเรียนเมตตาศึกษา เชียงใหม่
สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 053 872 707, 083 860 8196, 087 519 9150
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
พอล เฮง
paulheng_2000@yahoo.com
วัฏจักรทางดนตรีร็อคนั้น หมุนวนเปลี่ยนแปลงผันแปรบิดพลิ้วได้ร้อยแปดพันเก้า มีทั้งขาขึ้น-อยู่ตัว-ขาลง สลับผลัดเปลี่ยนไม่มีที่สิ้นสุด
โลกดนตรีร็อคในยุโรปเหนือก็เป็นอีกโลกหนึ่งที่เป็นเอกเทศของตัวเอง แม้จะมีอิทธิพลจากดนตรีร็อคของสังคมดนตรีกระแสหลักจากอเมริกาเหนือและสหราชอาณาจักรครอบรวมอยู่ก็ตาม นานทีและช่องทางของโอกาสมีน้อยมากที่วงดนตรีจากประเทศแถบนี้จะหลุดออกมาสู่สังคมดนตรีร็อคของโลกในวงกว้าง
วงทริโอสัญชาติเดนิชซึ่งมีชื่อว่า Mew ที่เล่นดนตรีนิว โปรเกรสสีฟร็อค และดนตรีร็อคแนวทดลอง กำลังพาตัวเองมาสู่จุดที่คนฟังเพลงทั่วโลกสนใจ
พวกเขาเป็นวงดนตรีจากเดนมาร์คที่มีสมาชิกประกอบด้วย Jonas Bjerre (นักร้องนำ-กีตาร์), Bo Madsen (กีตาร์) และ Silas Utke Graae Jørgensen (กลอง) โดยมือเบส Johan Wohlert ลาออกจากวงไปเมื่อปี 2006 (2549) โดยทั่วไปแนวดนตรีของพวกเขาถูกเรียกว่า อินดี้ร็อค และบางคราครั้งก็ถูกเรียกว่านิว โปรเกรสสีฟร็อค แต่ก็มีการเหน็บแนมด้วยอารมณ์ขันโดยพวกเขาเองว่า พวกเขาเล่นดนตรีโปรเกรสสีฟร็อคที่เสแสร้งและอวดฉลาด
สมาชิกของวงเริ่มเล่นดนตรีในยุคเริ่มแรกด้วยแนวสเปซร็อค ในตอนที่เรียนอยู่ระดับเกรดเจ็ดที่บ้านเกิด เฮลเลอร์อัพ เดนมาร์ค ด้วยแรงทะเยอทะยานในวัยแรกหนุ่ม โดยชื่อวงดั้งเดิมแรกเริ่มคือ Orange Dog แต่ล้มเหลวในการนำเสนอตัวเองออกสู่คนฟัง ก่อนที่จะมารื้อสร้างกันใหม่จนกลายเป็นวง Mew ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจทางดนตรีมาจากวงดนตรี อย่าง My Bloody Valentine, the Pixies, Dinosaur Jr., the Pet Shop Boys และ Prince
ใน 2-3 ปีที่ผ่านไป วงดนตรีจากเดนมาร์กวงนี้ ถูกคาดหมายและวาดหวังว่า บางทีพวกเขาน่าจะเป็นวงดนตรีที่เล่นในสไตล์นิว โปรเกรสสีฟที่ดีที่สุดในโลกของยุคปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะแฟนเพลงในอังกฤษ สหราชอาณาจักร และยุโรปเหนือต่างเชื่อเช่นนั้น
อัลบั้มชุดที่ 5 Mew พยายามผลักดันเชิงชั้นทางศิลปะดนตรีของพวกเขาให้ก้าวสู่เสียงที่ยิ่งใหญ่ในความสลับซับซ้อนทางดนตรีที่คาบเกี่ยวกัน ท่วงทำนองที่ไม่สามารถคาดเดาได้ รวมถึงเสียงร้องที่ไพเราะอ่อนหวานที่ขยายขอบข่ายไปสู่ระดับของความอบอุ่นใจผ่านบทเพลงที่กลืนกลายเข้าหากันอย่างเป็นเอกภาพทั้งอัลบั้ม
ชื่อของอัลบั้มที่ยาวเหยียดจนน่าตกใจ ก็เป็นแรงท้าทายและให้ค้นหาสำหรับคนฟังเสียแล้ว
‘No More Stories / Are Told Today / I'm Sorry / They Washed Away // No More Stories / The World Is Grey / I'm Tired / Let's Wash Away’
รากเหง้าของดนตรีนิว โปรเกรสีฟร๊อค
โดยภาพรวมของอัลบั้ม ‘No More Stories Are Told Today…’ ของ Mew แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการพัฒนาซาวด์ดนตรีให้เข้าสู่ความยอดเยี่ยม ซึ่งถึงส่วนผสมของจินตนาการและบุคลิกดนตรีที่มีความเป็นตัวของตัวเองอยู่สูง ให้ความรู้สึกถึงความก้าวหน้าทางความคิดและดนตรีที่เข้มแข็งของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
โดยดนตรีนิว โปรเกรสสีฟร็อค ของ Mew เป็นส่วนผสมทางธาตุดนตรีของสไตล์อัลเทอร์เนทีฟร็อค, อินดี้ร็อค, ดรีมพ็อพ, โปรเกรสสีฟร็อค, เอ็กซ์เพอริเมนท์ร็อค และโพสต์-ร็อค
หากพิจารณาถึงคำนิยามทางดนตรีนิว โปรก (New Prog) หรือ นิว โปรเกรสสีฟร็อค จะอยู่ภายใต้โครงสร้างของดนตรีที่หลากหลายเป็นอย่างมากในยุคปัจจุบัน ซึ่งจะพบว่า ดนตรีจะมีความรู้สึกที่เป็นปัจเจกบุคคลหรือความเป็นส่วนตัวอยู่ค่อนข้างสูง ประกอบด้วยแนวดนตรีที่เรียกว่า เอ็กซ์เพริเมนทัลหรือแนวทดลอง ผนวกรวมกับดนตรีอินดี้-ทรอนิก้า ที่นำดนตรีในแนวอินดี้พ็อพร็อคมาผสมรวมกับดนตรีแนวอิเล็กทรอนิก้า และพาวเวอร์พ็อพ รวมถึงแนวดนตรีอื่นๆ ซึ่งมีอยู่ในวงดนตรีร็อครุ่นใหม่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น แมธร็อค/เมทัล, ไซเคเดลิค, โปรเกรสสีฟ, โพสต์-ร็อค, แชมเบอร์/บาโรค, สโลว์คอร์, อาร์ตร็อค ซึ่งหลอมรวมกันอย่างเป็นสไตล์แบบพันทาง
สำหรับแนวดนตรีนิว โปรเกรสสีฟร็อค นั้น มีชื่อเรียกหลากหลายหันไป อย่าง นิว โปรเกรสสีฟร็อคหรือนู โปรก บางทีก็เรียก อัลเทอร์เนทีฟ โปรเกรสสีฟร็อค หรือ โพสต์ โปรเกรสสีฟ ซึ่งโดยรวมก็มีความหมายเดียวกันคือ เป็นแนวดนตรีที่วงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อค ได้นำเอาองค์ประกอบของดนตรีโปรเกรสสีฟร็อคมาผสมผสานกับแนวดนตรีของตัวเอง
วงดนตรีที่เล่นดนตรีในแนวทางนี้ที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงในยุคปัจจุบันก็มรวง อย่าง Coheed and Cambria, Lightning Bolt, The Mars Volta, Muse, Mystery Jets, Oceansize, Pure Reason Revolution, Radiohead, System Of A Down และแน่นอนก็มีวง Mew ร่วมอยู่ด้วยเช่นกัน
จุดต้นกำเนิดที่น่าสนใจของวงดนตรีในสายพันธุ์ดนตรีนี้ โดยความหมายของศัพท์แล้ว ที่มีความเกี่ยวข้องกับคำว่า ใหม่ ซึ่งสืบค้นไปก็จะพบว่า วงดนตรีในยุคต้นๆ ที่เล่นดนตรีในแนวทางนี้ แล้วถูกบัญญัติศัพท์แนวดนตรีนี้ขึ้นมาก็คือ วง Radiohead ซึ่งเป็นความเชื่อมโยงที่ทับซ้อนและคาบเกี่ยวกับกับขบวนการขับเคลื่อนทางดนตรีที่เรียกว่า โพสต์-ร็อคในช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 90
โดยความพิเศษของคำๆ นี้น่าจะเชื่อมโยงกับวงดนตรีแนวบริตพ็อพที่เล่นดนตรีของตัวเอง โดยพยายามนำสัดส่วนดนตรีของโปรเกรสสีฟร็อคเข้ามาผสมผสานจนมีการเรียกวงเหล่านี้ในช่วงต้นว่า วงดนตรีในแนวนีโอ โปรเกรสสีฟร็อค
แน่นอน หากจะทำความเข้าใจของทั้งดนตรีนีโอ โปรก หรือ นิว โปรก ก็ต้องเข้าใจแรงเหวี่ยงทางดนตรีที่มีการสร้างสรรค์กันในช่วงข้อต่อสำคัญ ที่ส่วนมากเรียกวงดนตรีในแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อคและบริตพ็อพที่กำลังแสวงหาเอกลักษณ์ของตัวเอง และเทรนด์ดนตรีที่ท้าทายคือ จินตนาการทางดนตรี ซึ่งนำทิศทางและจริตดนตรีของโปรเกรสสีฟร็อคในยุคก่อนมาใช้
รากฐานดั้งเดิมของวัฒนธรรมดนตรีนี้ คือ โพสต์-ร็อค (Post-Rock) เป็นหัวขบวนการขับเคลื่อนทางดนตรีที่ก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่ปลายยุคทศวรรษที่ 80 ถึงต้นยุคทศวรรษที่ 90 ในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และแคนาดา และเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างเพิ่มมากขึ้น แต่ก็มีอยู่แค่ในแวดวงจำกัดของกระแสดนตรีหลักหรือเมนสตรีมในช่วงยุคทศวรรษที่ 2000 ถึงปัจจุบัน
นับได้ว่าเป็นบุคลิกของดนตรีร็อคที่ใช้เครื่องดนตรีตามปกติสามัญของซาวด์ดนตรีร็อค มาบิดพลิกผันทั้งริธึ่มหรือโครงสร้างของจังหวะ ท่วงทำนอง เมโลดี้ ลักษณะของเสียงร้อง และคอร์ดแบบก้าวหน้าที่ไม่ใช่ทางของดนตรีร็อคในแบบที่เคยนิยมกันมา แต่นำมาใช้ภายใต้จุดประสงค์อย่างที่ต้องการอยากให้เป็น
รากเหง้าของโพสต์-ร็อคนั้น มีพลังการเคลื่อนไหวมาจากแวดวงดนตรีอินดี้และใต้ดินหรืออันเดอร์กราวด์มาก่อน และเป็นฐานเดียวกับดนตรีอินดี้ร็อคในปัจจุบันเช่นกัน โดยมีบทบาทสำคัญมาจากรูปแบบดนตรีร็อคแนวทดลองหรือเอ็กซ์เพริเมนทัล ร็อค ในช่วงกลางยุคทศวรรษที่ 90 ซึ่งจะเห็นได้ถึงขบวนการขับเคลื่อนทางดนตรีที่มีอิทธิพลหลากหลายอย่างกว้างๆ หลวมๆ ไม่มีกรอบที่ชัดเจนตายตัว
โดยเชื่อมโยงเอาเครื่องดนตรีที่เล่นกันในแนวดนตรีร็อคมาตรฐานมาผสมกับดนตรีสังเคราะห์ในแนวอิเล็กทรอนิก้า ซึ่งผ่านงานดนตรีในแนวทดลอง โดยมีซาวด์ดนตรีครางต่ำๆ คล้ายการสะกดจิต และเสียงที่ใสและกระจ่างกว่า ซึ่งแสดงถึงความคิดที่นำเสนอออกมามากกว่าอารมณ์เพลง
โดยทั้งหมดทั้งสิ้นจะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามหรือขัดแย้งกัน ของพลังจากสัญชาตญาณของดนตรีร็อคแบบเดิม ซึ่งความจริงก็เป็นนัยยะของการแสดงออกมาตอบสนองทางดนตรีที่อยู่ในข่ายต่อต้านดนตรีร็อคที่ยึดติดกรอบกันมา โดยเฉพาะแนวดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อคที่มีกรอบเฉพาะทางของยุคทศวรรษที่ 90 ซึ่งเริ่มจะชาชินจนน่าเบื่อหน่าย
กระแสดนตรีโพสต์-ร็อคส่วนมาก จะเน้นย้ำไปที่การกอปรรวมสัญชาตญาณของดนตรีร็อคแอนด์โรลที่สูญเสียวิสัยความเป็นขบถที่แท้จริงให้กลับคืนมา เนื่องจากวงดนตรีร็อครุ่นหลังๆ ต่างทำงานดนตรีเพื่อป้อนรสนิยมของตลาดเป็นหลักใหญ่จนเป็นสูตรสำเร็จ ทำให้เสียบุคลิกและจิตวิญญาณดั้งเดิมของดนตรีร็อคที่ต้องมีความขบถไม่แยแสต่อโลกและคนฟัง เป็นดนตรีของการต่อต้านไม่ใช่เอาใจหรือประนีประนอมกับคนฟัง
ขบวนการผลิตงานดนตรีของแนวร่วมโพสต์-ร็อค จะปฏิเสธและไม่ยอมรับและล้มล้างวิธีคิดเก่าๆ แบบดนตรีร็อคยอดนิยมในท้องตลาด โดยเน้นความเกี่ยวพันของการสร้างงานที่ให้เสียงที่บริสุทธิ์และแก่นสารทางดนตรีและความคิดมากกว่าโครงสร้างของเพลงและท่อนฮุคของเมโลดี้ที่ไพเราะที่ออกมาจากชิ้นดนตรีและเสียงร้อง และเป็นความตั้งใจโดยบังเอิญของบรรดาวงดนตรีที่ผลิตงานออกมาในช่วงเวลานั้น ซึ่งดนตรีแนวนี้ก็ได้ตกผลึกรูปร่างในที่สุด และมีพัฒนาการมาจนถึงทุกวันนี้
การถูกยอมรับจากคนฟัง ความท้าทายจากความนิยมในดนตรีอินดี้ร็อค ซึ่งกลายเป็นจุดศูนย์กลางของคนฟังเพลงร็อครุ่นใหม่ในช่วง 10 ปีแรกของศตวรรษที่ 21 ในทางกลับกันก็มีการประชดประชันว่า ปัจจุบันวงดนตรีในแนวทางนี้ก็เหมือนๆ กัน ซึ่งแสดงถึงความน่าเบื่อแบบปัญญาชนออกมาได้อย่างไร้อารมณ์ มีมูลฐานของการหลอมรวมทางดนตรีที่สามารถคาดเดาทางได้ เรียกได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงน้อยมากจากวงในยุคแรกๆ และก็กลายเป็นจุดอ่อนที่สะท้อนกลับมาอย่างจัง ไม่ผิดกับดนตรีร็อคแบบเดิมที่พวกเขาต่อต้าน ซึ่งวงดนตรีแนวนี้รุ่นหลังๆ พยายามที่จะสร้างซาวด์ที่พิเศษของตัวเองเพื่อให้เป็นที่จดจำ แต่ก็ไม่มีสไตล์ที่ฉีกออกไปจากของเดิมหรือความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ให้น่าตื่นเต้น และเป็นความเหนื่อยใจของคนฟังอีกเปลาะหนึ่ง
แต่วง Mew สามารถแหวกกระแสขาลงของขบวนการขับเคลื่อนทางดนตรีโพสต์-ร็อค โดยสร้างซาวด์ดนตรีแบบนิว โปรกของตัวเองอันข้นคลั่ก คมกร้าวน่าค้นหา โดยไม่สามารถคาดเดาทิศทางได้ แต่มีความลุ่มลึกทางความคิดและจินตนาการแบบปัญญาชนที่ลึกซึ้งออกมา
อัลบั้ม ‘No More Stories Are Told Today…’ จะเป็นคำตอบที่ต้องค้นหา
ดำดิ่งลงลึกสู่บทเพลง
เมื่อความใหม่กับความเก่าย่อมสวนทางและย้อนแย้งกันเสมอ ประวัติศาสตร์ถึงแม้จะมีการซ้ำรอย แต่เรื่องราวทางดนตรีนั้นยากที่จะหวนกลับไปสู่จุดเดิม แม้จะเอาของเก่ามาสร้างใหม่ก็ตาม แต่ก็เป็นแค่การระลึกถึงชั่วครั้งชั่วคราว เป็นการรำลึกถึงวันชื่นคืนสุข แต่จะให้ยืนยงเป็นจำหลักหรือหมุดหมายของยุคสมัยคงเป็นไปไม่ได้
เพราะดนตรีที่แท้จริงแล้ว คือปากคำที่สะท้อนความจริงแท้ของยุคสมัยออกมา
อัลบั้ม ‘No More Stories / Are Told Today / I'm Sorry / They Washed Away // No More Stories / The World Is Grey / I'm Tired / Let's Wash Away’ ชื่ออัลบั้มอันแสนยาวเหยียดของงวง Mew คงบ่งชี้ได้ดีว่า สถานะตรงนั้นพวกเขาข้ามทะลุผ่านมาได้ด้วยทฤษฎีการรื้อสร้างทางดนตรีเพื่อให้เกิดความใหม่และร่วมสมัยขึ้นมา
โดยงานเพลงชุดนี้นับเป็นงานชุดที่ 5 ของวงดนตรีเดนิชอินดี้ร็อค จากเดนมาร์ค ที่ถูกยกย่องว่า สร้างสรรค์และจินตนาการงานดนตรีในแนวนิว โปรเกรสสีฟร็อคที่ดีที่สุดในชั่วโมงนี้ อัลบั้มชุดนี้ได้ Rich Costey ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์, ซาวด์ เอนจิเนียร์ และมิกเซอร์ ที่ทำงานกับวงอินดี้ร็อครุ่นใหม่มากมาย โดยเฉพาะในสายทางนิว โปรเกรสสีฟร็อค ดูเหมือนจะถนัดเป็นพิเศษ มาร่วมทำงานด้วย
วงดนตรีที่ผ่านมือ Rich Costey นั้น ล้วนอยู่ในกระแสชื่นชมและชื่นชอบของคนฟังและนักวิจารณ์เพลงในยุคนี้ อาทิ Muse, Cave In, Thursday, Franz Ferdinand, Glasvegas, The Mars Volta, Doves, Bloc Party, Ontronik (The Apex Theory), Jimmy Eat World, My Chemical Romance, Supergrass, Audioslave, Rage Against the Machine, Nine Inch Nails, Weezer, Philip Glass, Dave Navarro, Fiona Apple, Mastodon, Atreyu, Apocalyptica, System of a Down และ Interpol
เพราะฉะนั้นการทำงานร่วมกันกับ Mew วงดนตรีที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ที่ความน่าค้นหาทางดนตรีที่สดใหม่ จึงเป็นเรื่องที่มาบรรจบลงตัวกันอย่างมาก เพราะเรียกว่ามีธาตุดนตรีที่ตรงกัน จูนพลังสร้างสรรค์ตบให้เข้ารูปเข้ารอยกันได้ง่าย
เมื่อย้อนดูอดีตเส้นทางดนตรีของวง Mew ก็พบว่า ปีนป่ายเส้นทางอย่างยากลำบากมาแสนสาหัสเช่นกัน จากอิทธิพลทางดนตรีในแบบบริตพ็อพที่เล่นกันในสไตล์ชูก๊าซที่มีเสียงสังเคราะห์เข้ามาผสมอย่างอื้ออึง ได้พัฒนาขยับขึ้นสู่ในแนวทางของโปรเกรสสีฟร็อค พัฒนาการอย่างช้าๆ แต่ว่ามั่นคงมุ่งเข้าสู่ทิศทางนี้ ทำให้แนวดนตรีของเขาก้าวข้ามพ้นจุดเดิมสู่คำว่า นิว โปรเกรสสีฟร็อค อย่างสมบูรณ์ เปี่ยมด้วยเสน่ห์เฉพาะตนซึ่งสร้างความน่าฉงนสู่คนฟัง
ด้วยบุคลิกเฉพาะตัวทางดนตรีและเสียงร้องที่ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวไม่เหมือนใคร ซาวด์มวลรวมที่ดีขึ้นและลงตัวจากอัลบั้มชุดก่อนๆ แสดงถึงส่วนผสมของจินตนาการและความเป็นส่วนตัวที่รวมกันเป็นหนึ่ง เป็นความก้าวหน้าที่นำสมัยของดนตรีเพื่อความเพลิดเพลินและความซับซ้อนในการฟังอย่างลงตัว
ความเรียบง่ายที่เติมเต็มเข้ามาในอัลบั้ม ‘No More Stories…’ ทำให้งานของพวกเขาโดดเด่นตกตะกอนมากขึ้น สามารถสลัดหลุดออกจากเสียงที่แสดงทัศนะออกมาอย่างเป็นนามธรรมและน่าขันไปได้ สื่อถึงความลึกซึ้งที่เพิ่มมากขึ้น อัลบั้มชุดนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังนำดนตรีของตัวเองทะยานขึ้นสู่มิติที่เรียกว่า ‘ใบหน้าแห่งจิตวิญญาณของยุคสมัย’ อย่างน่าพอใจ
ความล้ำเลิศของงานเพลงและดนตรีก็คือ การนำความซับซ้อนมาไว้รวมกัน แต่สามารถหยิบมาฟังอย่างเพลิดเพลินได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
จินตนาการและความช่างฝันที่ผสมกับเมโลดี้ ซึ่งไล่ล้อเป็นวงกลมอย่างไพเราะ และสามารถจดจำท่วงทำนองได้ง่าย ทำให้สิ่งที่ซับซ้อนซ่อนเอาไว้ถูกตอกย้ำผ่านด้วยดนตรี ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของบทเพลงของ Mew ที่แข็งแกร่งในการนำความยากมาทำให้ง่ายเพื่อส่งสารสื่อกับคนฟัง โดยมีพาหะคือดนตรีที่จับหูจับจิต
การดูดซึมอย่างหฤหรรษ์ในวิธีความคิดหรือวิธีการซึ่งมีหลากหลายและสัมพันธ์กัน มีผลกระทบต่อเนื่องออกมาอย่างเด่นชัด ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำให้ดนตรีมีทิศทางและชีวิตชีวาใหม่ๆ ขึ้นมา
จากงานเพลงที่สุกสกาวสวยสด-งดงามอย่างประณีต และการมองโลกในแง่ดี นับเป็นสิ่งที่แสดงถึงการพัฒนาขึ้นอีกมิติหนึ่งของ Mew นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ดนตรีและความคิดผ่านเนื้อหาและถ้อยความในบทเพลงของพวกเขาสมบูรณ์แบบมากขึ้น
เท่าที่ผ่าน โดยธรรมชาติในบทเพลงของ Mew จะไม่ใช่บทเพลงที่จำได้ติดหูติดปาก แต่เน้นการประสานเสียงและการเล่าเรื่องผูกร้อยให้ตีความคล้ายนวนิยาย โดยผ่านตัวบทเพลงแต่ละเพลง
จุดที่น่าสนใจกับการตั้งของสังเกตในบทเพลงและดนตรีของวง Mew ซึ่งถูกเรียกว่า นิว โปรเกรสสีฟร็อค นั้น พวกเขาไม่ทะเยอทะยานที่จะทำงานเพลงในระดับมหากาพย์ด้วยความยาวของเพลงที่กินเวลาถึง 17 นาที อย่างวงในระดับตำนาน ซึ่งประกอบไปด้วยการโซโล่ของแต่ชิ้นดนตรีที่ยืดยาว เนื้อร้องที่นำเสนอถึงสารที่พยายามเข้าสู่สภาวะธรรมในการหลุดพ้น หรือแบบแผนของเพลงที่ซับซ้อนยุ่งยาก แต่พยายามนำโน้ตและวิธีคิดและกลิ่นอายทางดนตรีแบบเอเชียเข้ามาสานสวมให้มีความเป็นพ็อพที่รื่นหู
ส่วนที่น่าจดจำอย่างมากคือ ฝีมือในการสร้างสรรค์ซาวด์ดนตรีที่ให้เสียงปรุงแต่งแปลกใหม่ขึ้นมา ด้วยบีทที่แตกต่างออกไป เสียงกีตาร์ที่แหวกขนบเดิมๆ และระดับเสียงที่สร้างความรู้สึกอลังการ ความล่องลอยฟุ้งฝันของเสียงร้อง เสียงพูดที่คล้ายดูล่องลอยมาจากโลกอื่น และเสียงสะท้อนก้องลอยแบบในละคร เปิดเผยให้เห็นการต่อชิ้นส่วนเล็กชิ้นส่วนน้อยกอปรรวมกัน เพื่อร้อยเรียงอารมณ์ให้เป็นเรื่องราวและจินตภาพผ่านการฟัง
ลักษณะของการเขียนเนื้อร้องของวง Mew สังเกตได้ว่ามีความสวยงามจากองค์รวมที่ประกอบเข้าจากถ้อยความที่รวมกันหลายประโยค เชื่อมรวมเข้าอย่างกระชับและได้ใจความ แต่กินความกว้าง และตีความได้ลุ่มลึก ซึ่งเป็นจริตของการเขียนเนื้อเพลงเล่าเรื่องในแบบโปรเกรสสีฟร็อค พวกเขาพาคนฟังเขาสู่เขตแดนของแนวความคิดหรือคอนเซ็ปท์ของผู้คนที่มีความสุขอย่างเปล่งประกาย การนำความรู้สึกของโลกที่จริงแท้ผสมเข้ากับความสลับซับซ้อนของอารมณ์อย่างไร้รอยตะเข็บต่อ
โดยบทเพลงทุกเพลงทั้ง 14 เพลงในอัลบั้มชุดนี้สามารถเชื่อมโยงนำไปสู่เพลงต่อไปที่เรียงกันไว้อย่างกลมกล่อม
ความชัดเจนของเสียงก้องสะท้อนของรีเวิร์บกีตาร์ที่สามารถควบคุมการสร้างอารมณ์เพลงได้อย่างอยู่มือ รวมถึงเบสที่เต้นกระเพื่อมส่งจังหวะสอดคล้องอารมณ์เพลงและการร้องได้อย่างกลมกลืนและกระชับเด้งโดดออกมาอย่างน่าฟัง ส่วนลูกริฟฟ์กีตาร์ดูเหมือนจะมีซาวด์ที่แห้งดิบขัดแย้งและไม่กลมกลืนกับมวลรวมของชิ้นดนตรีอื่นๆ ที่นุ่มฉ่ำหู และลอยล่องด้วยเสียงสังเคราะห์แบบแอมเบรียนต์ที่ปูบรรยากาศของอารมณ์เพลงไว้
แม้ว่าจะพิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรมแล้ว ก็ยังต้องบอกว่า เสียงร้องนำของ Jonas Bjerre นั้น ช่างอ่อนแรงเรื่อยเปื่อยไร้น้ำหนักเไม่หมาะกับนักร้องนำในวงดนตรีร็อค ซึ่งต้องอาศัยเสียงแปดหลอดนรกแตก แต่จุดด้อยอันนี้ถูกเติมเต็มด้วยการร้องประสานเสียงที่มาโอบอุ้มให้คลอเลาะไล่กับดนตรี ซึ่งเป็นส่วนที่ถูกให้ความสำคัญในบทเพลงของพวกเขามากกว่าเสียงร้อง
อีกจุดที่พวกเขานำมาใช้มากเกินไปจนเกือบจะพร่ำเพรื่อ คือ อินเทอร์ลูดหรือดนตรีบรรเลงสั้นๆ สลับฉาก จาก 14 บทเพลง พบว่ามีบทเพลงจริงแท้เพียง 9 เพลงเท่านั้น นอกนั้นเป็นดนตรีเพื่อเชื่อมและเปลี่ยนอารมณ์ ทั้งการขึ้นต้นเพื่อโยงเข้าสู่ตัวเพลงต่อไปหรือส่งท้ายเพื่อปิดฉากจากเพลงที่จบไป ทำให้ดูเหมือนจงใจในความไม่จงใจ เป็นอารมณ์ที่ตะขิดตะขวงใจของคนฟังอยู่พอสมควร
การทบทวนความคิดหรือความรู้สึกของตัวเองของวง Mew นั้น ปรากฏชัดในบทเพลงของพวกเขา โดยมีบทเพลงในแต่ละเพลงลากไล่เรื่อยไปจนบทเพลงสุดท้าย ‘Reprise’ จะพบได้ถึงความสามารถของเชิงชั้นและลีลาทางดนตรีที่สวยงามและเรียงร้อยอารมณ์กันอย่างชาญฉลาด โดยคนฟังไม่รู้สึกเฉลียวใจเลยถึงการแทรกซึมของเมโลดี้ของความเป็นพ็อพ จากในเวลาทั้งหมด 53.36 นาที
‘Hawaii’ กับ ‘Hawaii Dream’ เป็นสองบทเพลงที่จงใจวางเรียงไว้คู่กัน
บทเพลงอย่าง ‘Hawaii’ แสดงให้เห็นถึงวิธีคิดที่มีความร่วมสมัยเพียงเล็กน้อยของพวกเขาเท่านั้น เพราะบทเพลงนี้วางธีมของดนตรีไว้คล้ายการปะทุของลาวาภูเขาไฟที่ผุดพุ่งขึ้นมา เป็นการเล่าเรื่องสร้างอารมณ์พุ่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเดินขึ้นบันได ซึ่งเป็นแนวทางการเล่าเรื่องผ่านเนื้อหาของตัวเพลงในรูปแบบของดนตรีโปรเกรสสีฟร็อค
บทเพลงนี้เป็นผลพวงที่ต่อเนื่องมาจากเพลงก่อนหน้าคือ ‘Hawaii Dream’ ที่คล้ายเป็นเพลงเชื่อมเป็นลำนำแผ่วเบาลอยฟุ้งคล้ายสร้างอารมณ์เพื่อเปิดเข้าสู่บทเพลง ‘Hawaii’ ที่เข้มข้นขึ้น โดยมีโครงสร้างของจังหวะที่ค่อนข้างดิบ กีตาร์ลีดที่มีบทบาทในการกรีดอารมณ์ ผนวกด้วยเสียงจากระนาดเหล็กที่คลอเคล้าเป็นพลังขับเคลื่อน
บทเพลง ‘Sometimes Life Isn't Easy’ ชื่อเพลงก็บ่งบอกถึงความหมายของการค้นพบชีวิตว่า บางเวลาชีวิตก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป การขึ้นต้นดนตรีด้วยความอ่อนโยน ก่อนที่จะลากบีบนุ่มนวลคลอเคล้าด้วยแซ็กโซโฟน ผนวกกับเสียงซินธิไซเซอร์ที่อบอุ่นให้ความรู้สึกละม้ายคล้ายสายลมหวูหวิว โดยมีฉากหลังเป็นเสียงร้องคลอด้วยภาษากวีอันอ่อนโยนจากการประสานเสียงของทีมคอรัสเด็ก ซึ่งให้ความรู้สึกที่รื่นรมย์สวยงาม
หัวใจของอัลบั้ม ‘No More Stories…’ คือฟังได้สนุกเพลิดเพลิน โดยมีลักษณะของทั้งความเป็นกวีนิพนธ์ และชอนไชอารมณ์ด้วยความยะเยือกเย็น ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่และงดงาม รวมถึงการบันทึกเสียงที่ยอดเยี่ยม
Mew เป็นวงดนตรีที่ได้ทำการรื้อสร้างดนตรีโปรเกรสสีฟร็อค เพื่อต่อยอดไปข้างหน้าด้วยจริตของคนยุคโพสต์โมเดิร์น (หลังสมัยใหม่) นับได้ว่าถูกใจทั้งแฟนเพลงที่เป็นฐานเดิมเก่าก่อนของพวกเขา และแฟนเพลงใหม่ที่ฟังงานชุดนี้เป็นครั้งแรกจะได้รู้ซึ้งถึงคำว่า ดนตรีนิว โปรเกรสสีฟร็อค ที่เจือความเป็นพ็อพได้อย่างมีคุณภาพเป็นเช่นไร...
……….
รายชื่อบทเพลงในอัลบั้ม ‘No More Stories Are Told Today…’
1.‘New Terrain’
2.‘Introducing Palace Players’
3.‘Beach’
4.‘Repeaterbeater’
5.‘Intermezzo 1’
6.‘Silas The Magic Car’
7.‘Cartoons and Macramé Wounds’
8.‘Hawaii Dream’
9.‘Hawaii’
10.‘Vaccine’
11.‘Tricks of the Trade’
12.‘Intermezzo 2’
13.‘Sometimes Life Isn't Easy’
14.‘Reprise’
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ฟังมาแล้ว
...............
‘Project Love Pill ยาดีมีไว้ฟัง’ : ฟองเบียร์ / รวมนักร้อง
บทเพลงพ๊อพสมัยนิยมสำหรับยุคนี้ ต้องมีมือแต่งเพลงที่ถือว่ามาแรงติดอยู่ในสารบบอย่างแน่นอน นั่นก็คือ ฟองเบียร์ หรือ ปฏิเวธ อุทัยเฉลิม ซึ่งปัจจุบันนับได้ว่าเป็นกระบี่มือหนึ่งของคนเขียนเพลงพ๊อพในชายคาจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ก็ว่าได้ หลังจากที่พี่ดี้ของน้องๆ หรือ นิติพงษ์ ห่อนาค ต้องระเห็จถอนยวงออกไป
โปรเจคท์อัลบั้มชุดนี้เป็นการต่อย้ำวิธีคิดและเขียนเพลงของเขาที่พ่วงมากับดนตรีพ๊อพ อีซี่ลิสซึ่นนิ่งฟังสบาย มีกลิ่นอายความหนักแน่นของพ๊อพร๊อคและซอฟต์ร๊อคเข้ามาผสมอยู่บ้าง ดนตรีไพเราะฟังสบาย เนื้อหาโดนใจ ใช้ภาษาเป็นการเล่าเรื่องที่มีมุมมองง่ายๆ แต่โดนใจในมุมของความรัก ทั้งรักที่เบ่งบานสวยงามตามอุดมคติของคนสองคน แอบรัก รักเขาข้างเดียว เป็นต้น
การเลือกคนร้องก็เอามาจากหลายสาขาอาชีพ แต่ก็เป็นคนที่ร้องเพลงได้ทั้งหมด ทำให้งานออกมาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ถือว่าเป็นคนแต่งเพลงรุ่นใหม่ที่เข้าใจหูคนฟังในตลาดเพลงพ๊อพกระแสหลักแบบไทยๆ ที่เข้าถึงคนยุคนี้เป็นอย่างยิ่ง...
Rock ‘n’ Roll Party Honoring Les Paul / Jeff Beck
เอตทัคคะทางด้านกีตาร์แห่งเกาะอังกฤษ ผู้เยี่ยมยอดวรยุทธ์ด้านกีตาร์ที่อยู่ยั่งยืนยงเหนือยุคสมัย ไม่หวือหวาตามกระแสนิยม ทว่ามั่นคงหนักแน่นในการสร้างสรรค์งานดนตรีผ่านเสียงกีตาร์ของตัวเอง
การแสดงความคารวะต่อ เลส พอล ผู้บุกเบิกสร้างกีตาร์ยุคใหม่ที่ส่งอิทธิพลต่อดนตรีร๊อคแอนด์โรล กับ 20 บทเพลงที่แสดงสดหวนกลับสู่ยุคโอลด์ แฟชั่น สวิง แจ๊ซ และสแตนดาร์ด พ๊อพ กับวง ดิ อีเมลดา เมย์ นั้นสร้างความรู้สึกถึงงานปาร์ตี้ที่สนุกสนานย้อนหลังกลับไปในความรื่นรมย์ ยุคเก่าก่อนที่เสียงแห่งดนตรีร๊อคจะแผดกร้าวเท่ายุคนี้
Them Crooked Vultures / Them Crooked Vultures
วงดนตรีซูเปอร์กรุ๊ปที่ระดมยอดฝีมือในชิ้นดนตรีของโลกดนตรีร๊อคต่างยุคสมัยมาเล่นดนตรีสร้างสรรค์งานร่วมกัน จอห์น พอล โจนส์ มือเบสวงเลด เซพพลิน, เดฟ โกรห์ล มือกลองวงเนอร์วน่า, จอช โฮมม์ นักร้องนำและมือกีตาร์วงควีน ออฟ เดอะ สโตน เอจ
13 บทเพลงที่บรรจุอยู่ในอัลบั้ม และคว้ารางวัลแกรมมี่ไป 1 รางวัล สะท้อนให้เห็นพลังของดนตรีร๊อคที่เชื่อมโยงดนตรีฮาร์ร๊อค เฮฟวี่เมทัล อัลเทอร์เนทีร๊อค และอินดี้ร๊อค ในโลกคนฟังสมัยใหม่ได้อย่างเต็มไปด้วยทักษะและกึ๋นทางดนตรี เชิงชั้นลูกเล่นที่สวิงสวาย และความเท่ของเผ่าพันธุ์ร๊อคที่ข้ามเส้นกาลเวลาได้เสมอ ฟังสนุกหนักแน่นและสะใจ
Living With The Past / Jetho Tull
เอียน แอนเดอร์สัน กับลีลาการเป่าฟลุ๊ตที่เป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของวงโปรเกรสสีฟร็อค อย่าง เจโทร ทัลล์ กับการแสดงที่แฮมเมอร์สมิธ อพอลโล่ เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นยุคร่วงโรยของเขาและวง ซึ่งชื่องานก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า อยู่กับอดีต กับ 21 บทเพลงที่นำมาเล่นสดอย่างจุใจทำให้ระลึกวันชื่นคืนสุขตอบสนองคนฟังที่รักพวกเขาได้เป็นอย่างดี
>>>>>>>>>>>
ชีพจรดนตรี
....................
คอนเสิร์ต เพราะคุณคือคนสำคัญ อมตะบทเพลงสุนทราภรณ์ในใจคุณ
จาก 2,000 กว่าบทเพลงของสุนทราภรณ์ ที่ตราตรึงอยู่ในใจผู้ฟังมาตลอดมากกว่าหลายทศวรรษ กำลังจะถูกเลือกมาขับร้องในคอนเสิร์ตครั้งนี้ จากความประทับใจของท่านผู้ชมเอง ผ่านการถ่ายทอดจากศิลปิน อาทิ อรวี สัจจานนท์, บอย AF2, ตี๋ AF4, อิ๋งอิ๋ง AF4, โบว์ AF5 และศิลปินคลื่นลูกใหม่สุนทราภรณ์
แสดงในวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2554 14.00 น. ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน จำหน่ายบัตรที่ Thai Ticket Major บัตรราคา 2000/ 1500/ 1200 และ 800 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-262-3456 หรือ www.royalparagonhall.com, soontaraporn@gmail.com
‘MAO & DANG’
คอนเสิร์ตสุดฮอต...จากสองสาวสุดฮา เม้า...สุดา ชื่นบาน & แดง...ฉันทนา กิติยพันธ์
ควงคู่ 2 หนุ่มรับเชิญ ศิลปินดัง สุทธิพงษ์ วัฒนจัง (ชมพู ฟรุ๊ตตี้) & สุชาติ ชวางกูร มาร้องเพลงฮิตในคอนเสิร์ต
พบกับคอนเสิร์ตยอดเยี่ยม ในคอนเส็ปท์เด็ดๆ ที่คัดสรรบทเพลงฮิตติดชาร์ตที่ฮอตสุดๆ ทุกยุค ทุกสมัย มาเรียงร้อยเล่าเรื่องเพลงดัง ถ่ายทอดผ่านเสียงสวยๆจาก 2 นักร้องดูโอ เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพตลอดโชว์กับเพลงสุดฮิตและลีลามันๆ ให้แฟนเพลงได้รับความบันเทิงอย่างสมบูรณ์แบบ สนุกสนานกับ มุขเด็ด! มุขฮา! มีมาขายหัวเราะเพียบ หนึ่งปีพบกันทีกับคอนเสิร์ตงานเพลงดีๆ ที่แฟนเม้า&แดง พลาดไม่ได้ เพราะคอนเสิร์ตครั้งนี้ตามจีบ 2 หนุ่มศิลปินรับเชิญ แต่เป็นขวัญใจแฟนเพลงทุกรุ่นอย่าง สุทธิพงษ์ วัฒนจัง(ชมพู ฟรุ๊ตตี้) และ สุชาติ ชวางกูร มาควงคู่ร้องเพลงฮิตในคอนเสิร์ต ร่วมขยับความมันโดย เบิร์ด แดนเซอร์ ทีมนักเต้นมืออาชีพ สร้างสีสันงานเพลงด้วยคอรัสคุณภาพ ปอ..วรภัทร วิทโยภาส - น้อง..นัฏฐ์นลี สุรพลานันท์ (จากเวที The Star) บรรเลงโดย วงดนตรี BIG BAND เฉลิมราชย์ ควบคุมวงโดย อ.วิรัช อยู่ถาวร
แสดงวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2554 ณ ศาลาเฉลิมกรุง (2 รอบการแสดง) รอบ 14.00 และ 19.00 น. บัตรราคา 1,000 บาท 700 บาท และ 500 บาท จำหน่ายบัตรแล้ววันนี้ที่ศาลาเฉลิมกรุง โทร. 0-2225-8757-8, 0-2623-8148-9 และไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา www.thaiticketmajor.com โทร. 0-2262-3456
happening@house*2
หลังจากปีที่แล้วงาน happening@house ได้รับความสำเร็จไปอย่างท่วมท้น มีผู้คนและศิลปินเข้าร่วมงานกันแน่นเอี้ยดจนทำให้โรงภาพยนตร์ House RCA ถึงกับอบอ้าว จากที่ปกติได้ชื่อว่าแอร์เย็นมาก!
ในวันที่ 8 ตุลาคมปีนี้ งานเทศกาลดนตรี หนัง และศิลปะดีๆ ที่นิตยสารศิลปะบันเทิง happening และโรงภาพยนตร์อาร์ตเฮาส์ House RCA จับมือจัดร่วมกันก็กลับมาอีกครั้ง ในงานhappening@house*2 คราวนี้ทวีความเข้มข้นของโชว์สุดพิเศษจากศิลปินหลายหลาก อาทิ วงดนตรีคอนเซปต์ที่กำลังมาแรง ติ๋วเดย์ จะมาเล่นคอนเสิร์ตเปิดงานพร้อมเอา ‘หนัง’ ของตัวเองมาฉายในโรงภาพยนตร์ให้ดูด้วย วง Friday จะมาเล่นคอนเสิร์ตอะคูสติกย้อนอดีตเพลงเก่าๆ ของพวกเขา ไล่มาจนถึงเพลงใหม่ล่าสุดจากอัลบั้มใหม่เอี่ยมที่จะเอามาขายพร้อมแจกลายเซ็นในงานนี้ ส่วนวงปัจฉิมลิขิต ที่เป็นการรวมตัวกันของ ปอย พอร์เทรต, หนึ่ง ฟรายเดย์ และนรเทพ มาแสง (เครสเชนโด้) ก็จะมาพร้อมกับแขกรับเชิญพิเศษ มิวสิค AF ที่ร่วมงานกันจากหนัง "รักจัดหนัก" มาแล้ว และวงสุดพิเศษที่นานทีปีหนจะมารวมกันสักครั้งก็คือ นิ้วแบนด์ ที่เป็นการร่วมงานของ แสตมป์ กับ นิ้วกลม!
นอกจากนี้ยังมีโชว์จากวงอีกมากมายทั้งวงเท่ๆ ที่หาดูยากอย่าง เมธี & พราย, ละอองฟอง, Lullaby, บุดดิสฮอลิเดย์, Plot, Lonely Lego และวงสุดป๊อปขวัญใจแฟนเพลงอย่าง แป้งโกะ, O-Pavee, Ten to Twelve, พัดชา, ต้อล AF, Lemonsoup, Penguin Villa, The Jukks, The Yers, จุ๋ย จุ๋ยส์ แถมด้วยวงรุ่นสุดแนวรุ่นใหญ่ที่กลับมาดังระเบิดในปีนี้อย่าง Paradox
ในงานยังมีการออกร้านของขนมน่ารักๆ ค่ายเพลง ค่ายหนัง สำนักพิมพ์ ที่จะเอาสินค้ามาลดราคากัน อาทิ Believe Records, Spicy Disc, ไต้ฝุ่น, ฮิกาซีน, Bioscope, Smallroom, ชายขอบ และนานาสินค้าดีไซน์ยอดนิยมจากร้าน ค้าทาง Facebook อาทิเครื่องประดับและนาฬิกาทำมือจาก Mink's, ผลิตภัณฑ์ผ้าและสมุดจาก 140 bpm, กระเป๋าผ้าจาก Bun-Ju, เสื้อยืดย้อมสีธรรมชาติจาก Walk on the Wild Side และผลิตภัณฑ์สุดอาร์ตทั้งเสื้อยืด ผ้าพันคอ และสมุดทำมือจาก The Brown Bunny Factory, โปสการ์ดวาดมือที่รอวาดให้ลูกค้าสดๆ ในงานโดย ชิงชิง กฤชเทียมเมฆ รวมทั้งสินค้าแปลกๆ ฮาๆ จาก ต้า พาราด็อกซ์ และผองเพื่อน!
และแน่นอนว่างานจัดที่โรงหนัง ดังนั้นต้องมีการฉายหนังเกิดขึ้นแน่ๆ ที่มาแน่นอนคือ "รักจัดหนัก" ที่เราจะเอาผู้กำกับฯ มาพูดคุยกันด้วย, หนังสั้นที่เป็นต้นกำเนิดของ ยอด กับ บอล แห่ง ‘หนังพาไป’, หนังสารคดีเพื่อสังคม "ฉันอยู่นี่ เธออยู่ไกล" ของ ตั้ม พัฒนะ จิรวงศ์, หนังของ โดนัท มนัสนันท์ โปรแกรมเฉพาะกิจของชมรมดูหนังสั้น Third Class Citizen และการกลับมาฉายให้ดูเต็มๆ ในโรงอีกครั้งของ “ขุนรองปลัดชู”
ทั้งหมดนี้ ยังเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในงานนี้เท่านั้น! เอาเป็นว่าถ้าอยากมาเห็นการแปลงกายจากนิตยสารน่ารักๆ ของ happening มาเป็นงานอีเวนต์น่ารักๆ งานนี้ไม่ผิดหวังแน่นอน ใครอยากรู้ตารางเวลาของโชว์คอนเสิร์ตและฉายหนัง เข้าไปเช็กได้ที่เว็บไซต์ www.happenningeveryday.com และ www.facebook.com/happeningmagazine ได้เลย
happening@house*2 จะจัดในวันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม 2554 นี้ เวลา 11.00 - 22.00 น. เข้าฟรีตลอดงาน!
>>>>>>>>>
คอนเสิร์ต ‘จรัลในดวงใจ’
The Legend of Lanna Folk Song Concert วันพุธที่ 21 กันยายน 2554 เวลา 18.00-24.00 น.
ณ ร้านอาหาร เฮือนสุนทรี เวชานนท์ เชียงใหม่ พบกับศิลปิน : สุรชัย จันทิมาธร และกันตรึม จันทิมาธร, ธีร์ ไชยเดช, คณาคำ อภิรดี, สุนทรี เวชานนท์, กิจจา มโนเพ็ชร และบุตรชาย, ลานนา คัมมินส์, ไตรศุลี มโนเพ็ชร, พยัต ภูวิชัย, นรเศรษฐ หมัดคง, ตุ๊ก บราสเซอรี่, สุดสะแนน อ่านบทกวี : เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ และวงคันนายาว, ไพวรินทร์ ขาวงาม และดำเนินรายการโดย จักรกฤษ ศิลปชัย
พร้อมชม นิทรรศการของสะสม จรัล มโนเพ็ชร และภาพถ่ายในอดีตของวงโฟล์คซองคำเมือง รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย สมทบทุนโครงการ ห้องสมุดจรัล มโนเพ็ชร โครงการแรก ณ ห้องสมุด โรงเรียนเมตตาศึกษา เชียงใหม่
สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 053 872 707, 083 860 8196, 087 519 9150
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
พอล เฮง
paulheng_2000@yahoo.com