“หนุ่ม” ลูกชาย “ผกก.มานพ” ออกโรงแจงผู้ใหญ่ดาราวีดีโอช่วยเหลือเต็มที่แล้ว ส่วนกรณีเงินค่าเล่าเรียน 4.5 แสน ที่แม่เลี้ยง “ไก่ ภารดี” ซึ่งเป็นแม่ของ “น้องวิว” ออกมาเรียกร้องนั้น เจ้าตัวยันที่ไม่ให้เป็นก้อนเพราะอยากให้เงินถึงมือน้องโดยตรง อีกทั้งแม่เลี้ยงก็แต่งงานมีลูกใหม่ไปแล้ว จึงอยากเซฟเงินไว้ให้น้องวิวได้เรียนจริงๆ ส่วนเงินช่วยงานศพพ่อ 1 แสนที่แบ่งให้เป็นของน้องวิว ไม่ใช่ให้แม่เลี้ยง ฉะนั้นจะบอกว่ายังไม่ให้ไม่ได้
ยังคงอยู่ในความสนใจ สำหรับกรณีที่ “ไก่ ภารดี ตรีสมุทร” ภรรยาของ “มานพ สัมมาบัติ” ผู้กำกับมือทองค่ายดาราวีดีโอผู้ล่วงลับ ออกมาให้สัมภาษณ์ถึง กรณีที่ค่ายดาราวีดีโอรับปากจะให้เงินช่วยเหลือค่าเล่าเรียนจำนวน 4.5 แสนบาท กับ “น้องวิว กัญญา ชื่นชม” ลูกสาวของตนที่เกิดกับผู้กำกับมานพ แต่พอเข้าไปเบิกกลับทำเหมือนตนเป็นขอทาน หนำซ้ำยังมีคนในบริษัทใช้คำพูดที่รุนแรง พร้อมกับทวงถามถึงเงินงานศพที่แบ่งให้ตน 1 แสน ให้ “หนุ่ม วัชระ สัมมาบัติ” ลูกชายคนโตของมานพที่เกิดกับภรรยาเก่า 1 แสน และ “ป้าแดง” พี่สาวของมานพอีก 8 หมื่น แต่ในส่วนของน้องวิวจนป่านนี้ยังไม่ได้เงินส่วนแบ่งเลยแม้แต่บาทเดียว จนกลายเป็นประเด็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ อยู่ในขณะนี้
โดยก่อนหน้านี้ทีมข่าว “บันเทิงASTVผู้จัดการออนไลน์” ได้ต่อสายตรงสัมภาษณ์ “หลุยส์ สยาม สังวริบุตร” ผู้บริหารค่ายดาราวีดีโอ ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าไม่เคยเอาเปรียบใคร ส่วนเงินที่ให้ไปก็เป็นเจตนาดีที่อยากช่วยเหลือ เพียงแต่ที่ไม่ได้ให้เงินก้อนก็เพราะอยากให้เงินถึงมือน้องวิวโดยตรง และไม่อยากให้คนอื่นมาข้องเกี่ยว ล่าสุด “หนุ่ม วัชระ” ซึ่งขณะนี้ทำงานเป็นฝ่ายบันทึกเสียง ของบริษัทสามเศียร จำกัด ก็ได้ออกมาเปิดใจเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว โดยเจ้าตัวขอเคลียร์เรื่องเงินช่วยงานศพของผู้เป็นพ่อก่อนว่า…
“เรื่องเงินจำนวน 2 แสน รู้สึกว่ามันมีปัญหาตั้งแต่เผาศพพ่อเสร็จ เงินจำนวนนี้เป็นเงินช่วยงานศพ ไม่ได้เป็นเงินของพ่อครับ แต่ผมไม่ทราบจำนวนเงินที่แน่ชัด แต่ก็น่าจะประมาณ 2 แสนบาท ซึ่งบริษัทไม่ได้หักอะไรเลย เงินจำนวนนี้พอได้ซองมา ได้เท่าไหร่ก็มาเปิดให้เห็นตรงนั้นเลย รวมซองแล้วก็นับกันตรงนั้น ก็น่าจะได้ประมาณ 2 แสนกว่าบาท ทางบริษัทเขาก็ไม่ได้หักค่าใช้จ่ายในงานศพอะไรเลย เขาจัดการให้เสร็จครับ”
“พอเปิดซองเสร็จทางผู้ใหญ่ก็ปรึกษาว่า เงินตรงนี้ใครควรได้บ้าง สรุปก็คือมีพี่สาวพ่อคือป้าแดง เพราะป้าแดงเป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ของพ่อ ส่วนผมคือลูกคนโต แล้วก็น้องวิว แบ่งออกมา 3 ส่วน ตกแล้วคนละ 8 หมื่นกว่าบาท แล้วก็มีเงินโบนัสของพ่ออีก ที่ผมกับน้องวิวได้ 2 คน จำนวนหนึ่ง สรุปแล้วผมกับน้องวิวได้ไปคนละแสนนิดๆ แต่ป้าแดงได้ 8 หมื่น”
“ซึ่งเงินจำนวนนี้น้องวิวก็ได้เงิดสดไปแล้ว วันนั้นก็มีหลายๆ คนที่ช่วยกันนับช่วยกันดู ซึ่งที่เขา(ไก่ ภารดี)บอกว่าน้องยังไม่ได้อีก 2 แสนมันไม่ใช่ครับ เพราะที่เขาบอกว่าเขาได้มา 1 แสนบาท ก็ตรงนั้นแหละครับ คือส่วนของน้องวิว นั่นคือเงินของน้องวิวนะ คือเราไม่ได้แบ่งให้พี่ไก่ เพราะว่าเขาพูดเลยว่าไม่ขอยุ่งเรื่องเงินหรือเรื่องอะไร”
แจงผู้ใหญ่ยินดีส่งเสียให้น้องวิวได้เรียนเต็มที่ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนั้น แค่ต้องมีใบเสร็จเบิกตามขั้นตอนเท่านั้น
“เรื่องจำนวนเงิน 4 แสนหรือ 4.5 แสนบาท ซึ่งเป็นเงินในส่วนที่เป็นค่าเล่าเรียนของน้องวิว พี่ไก่เขาเคยโทรมาคุยกับผมแล้ว ว่าให้ผมช่วยคุยกับผู้ใหญ่ คือผมขอชี้แจงว่า ผู้ใหญ่ไม่ได้กำหนดว่าจะให้เท่าไหร่ แต่เท่าที่คุยกันคร่าวๆ ว่าค่าเรียนของน้องตกปีละเท่าไหร่ ตอนนั้นทางผู้ใหญ่ก็รับปากว่าจะส่งเสียเรื่องเรียน แต่เท่าที่คุยคร่าวๆ น่าจะปีละแสน และจำนวนเงิน 4 แสนตรงนี้ ไม่ใช่เป็นเงินก้อนที่เขาจะได้ไปด้วยนะ แต่เป็นการพูดคุยกันมากกว่าว่าเด็กคนหนึ่งเวลาเรียนหนึ่งปีจะเรียน ต้องใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ไม่ได้บอกว่าเดี๋ยวจะให้เป็นจำนวนเงินเท่านี้ๆ ผู้ใหญ่ยังบอกจะเรียนสูงเท่าไหร่ก็เรียนไป จะส่งจะจบตรีหรือโทก็ให้เรียนไป แต่ถ้าไม่เรียนเขาก็ไม่ส่ง”
“ในวันงานผู้ใหญ่เลยถามว่าน้องวิวเรียนถึงไหนแล้ว สรุปกันคือเรื่องเรียนทางบริษัทเขาจะดูแล แต่ว่าเวลามีค่าใช้จ่ายอะไรทางบริษัทขอแค่อย่างน้อยขอรับรู้ ว่ามีค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ที่เกี่ยวกับเรื่องเรียน ทางบริษัทก็พร้อมที่จะดูแล จริงๆ แล้วคนในบริษัทก็ทราบว่าพี่ไก่กับคุณพ่อเลิกกันนานแล้ว จนทางพี่ไก่ไปมีครอบครัวใหม่แล้วก็มีลูก เพียงแต่วิวยังอยู่ที่บ้านกับพ่อ ส่วนพี่ไก่จะไปๆ มาๆ เพราะวิวติดตากับยายมาก คราวนี้ก็เลยกลายเป็นว่าตากับยายก็ต้องอยู่ด้วยกันบ้านเดียวกับพ่อด้วย”
ส่วนที่ “ไก่ ภารดี” ติดใจกรณีมีการประชุมกันแต่กลับไม่เรียกตนเข้าไปด้วยนั้น “หนุ่ม วัชระ” ชี้แจงว่าเป็นการขอพูดคุยกับผู้ใหญ่แบไม่เป็นทางการ แต่ไม่ได้เจตนาจะทำอะไรลับหลังอยากที่เข้าใจ
“ที่เขาบอกว่าเวลาประชุมทำไมไม่เรียกเขาไปด้วย คือผมประชุมกันเรื่องงานกับผู้ใหญ่ แล้วพอเสร็จการประชุมผมก็ขออนุญาตคุยกับผู้ใหญ่ ขอคุยเรื่องนี้ ทางผู้ใหญ่ก็บอกว่าถ้าน้องอยากจะเรียนก็พร้อม คือถ้าเรียนก็ส่ง แต่ถ้าไม่เรียนเขาไม่ส่งแล้วนะ แต่เรื่องติดที่ว่าที่พี่ไก่โทรมาคุยกับผม และอยากให้ผมช่วยคุยกับผู้ใหญ่ก็คือ พี่ไก่อยากได้เงินก้อน แล้วเอาไปดูแลกันเอง ผมก็เลยเอาเรื่องนี้ไปคุยกับผู้ใหญ่ อย่างน้อยในฐานะพี่คนหนึ่ง ผู้ใหญ่ก็ถามว่าสมควรไหม ผมก็บอกผู้ใหญ่ว่าอันนี้ก็แล้วแต่ทางผู้ใหญ่ เพราะเงินตรงนี้เป็นเงินของผู้ใหญ่ ว่าสมควรหรือไม่สมควรที่จะให้เป็นเงินก้อนเขาไป”
“ถามว่ามีเหตุผลอะไรที่ไม่ให้เงินก้อนพี่ไก่ไป จริงๆ มันมีเงื่อนไขแบบนี้มาตั้งแต่แรกครับ คือถ้ามีค่าใช้จ่ายอะไรก็เข้าเอาใบเสร็จไปเบิก เหมือนให้เขารับรู้ว่ามีค่าใช้จ่ายตรงไหน เราทราบว่าพี่ไก่เป็นแม่ของน้องวิว แต่เท่าที่เราปรึกษากัน เราห่วงน้อง ถึงไม่ใช่แม่เดียวกัน ตัวผมเองถึงแม้ไม่ใช่พี่แท้ๆ แต่ก็พ่อเดียวกัน ผมก็ห่วง ถ้าสมมติได้เป็นเงินก้อนไปแล้ว ถ้าสมมติพี่ไก่เขาลงทุนทำธุรกิจหรืออะไรสักอย่าง แล้วมันไม่ได้ผลขึ้นมา แล้วใครจะส่งน้องเรียนต่อ ผมก็เลยเอาตรงนี้ปรึกษาผู้ใหญ่ ความจริงผู้ใหญ่ก็อยากให้เงินก้อนไปเลย คือเขาพูดในลักษณะที่ว่าถ้าปัญหามันเยอะ เขาก็อยากจะให้นะครับ แต่ผมไม่ไปปรักปรำนะ ว่าเขาจะเอาเงินก้อนไปทำอะไร”
“ถ้าจะเอาเงินก้อนไป เรายอมรับว่าห่วงเรื่องเงินก้อนตรงนี้ เพราะทางพี่ไก่ก็เลิกกับพ่อไปแล้ว แต่ไม่รู้ตอนนั้นได้จดทะเบียนกับพ่อหรือเปล่า พูดง่ายๆ ในฐานะของพี่ไก่ผมรู้แค่ว่าพี่ไก่เป็นแม่ของลูก ผมว่าตรงนี้มันเซฟที่สุดว่ายังไงน้องเราจะได้เรียนแน่นอน แล้วผมก็เข้าใจพี่ไก่นะ ว่าเขาต้องการเงินก้อน แล้วไปบริหารกันเอง เขาไม่อยากเข้าไปเพราะมันมีขั้นตอนต้องเซ็นเอกสาร ผมก็เข้าใจ ส่วนที่เขารู้สึกว่าเขาเหมือนขอทาน ผมคิดว่าจริงๆ แล้วเงินตรงนี้ผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องให้อะไรสักบาทก็ได้เลย ถ้าสำหรับผมนะ”
“แต่ก็ไม่รู้ผมเป็นตัวแปรเรื่องนี้หรือเปล่าที่ผมเข้าไปพูด คือผมรู้ว่าพี่ไก่ต้องดูแลลูกอยู่แล้ว เพราะความเป็นแม่ แต่ผมก็เชื่อว่าอย่างน้อยถ้าเงินมันยังอยู่ตรงนี้ อย่างน้อยน้องก็ได้เรียน มันเป็นการเซฟที่สุด คือผมไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคนนอกไปแล้ว แต่คิดแค่ว่ามันเป็นสิ่งที่เซฟที่สุด ผมมั่นใจว่าน้องผมได้เรียนจบ และน้องผมจะเรียนถึงไหนน้องก็จะได้เรียน และก็ไม่คิดว่าเขาจะเอาเงินไปทำอะไรในทางไม่ดี แต่ถ้าเขาคิดว่าส่วนตรงนี้เป็นส่วนที่เขาจะได้หรือผู้ใหญ่จะให้ก็แล้วแต่ ผมแค่เสนอความเห็นเท่านั้น หรือถ้าผู้ใหญ่จะให้ ผมก็ห้ามไม่ได้ ผมแค่เสนอความเห็นและปรึกษาผู้ใหญ่เท่านั้นเอง เรื่องนี้ผมก็เล่าให้พี่ไก่ฟัง แต่เขาคงเข้าใจผิดว่าผมเอาเรื่องนี้ไปที่ประชุมด้วย”
“เขาคงรู้สึกยุ่งยากว่าทำไมไม่ให้เงินก้อน ถามว่าผมคิดว่าเขาเป็นคนนอกไปแล้วหรือเปล่า ผมต้องบอกว่าขอยืนยันคำเดิมว่าผมต้องการเซฟจำนวนเงินตรงนั้นมากกว่า ผมก็ยังนิดๆ เพราะห่วงเรื่องเงิน หรือบางทีให้ไปแล้วเขาอาจบริหารดีก็ได้ เพราะผมห่วงเรื่องนี้ และมันมีปัญหาตั้งแต่วันงาน พี่ไก่ก็ไม่พอใจว่าทำไมต้องแบ่งเงินให้ทางป้าด้วย ทำไมไม่ให้แค่ผมกับวิว ทางผู้ใหญ่ก็อธิบายว่าเท่าที่ปรึกษาว่าญาติหรือทายาทที่เหลือคือมีแค่ 3 คนเท่านั้น เพราะญาติพี่น้องพ่อตายหมดแล้ว คือเรามีการถามความเห็นกันนะวันนั้น”
“สำหรับตัวผมเองก็คิดว่าป้าผมเขาก็ไม่มีอาชีพอะไร และเงินจำนวนนี้เขาควรได้ไว้ให้เขาใช้จ่ายดูแลตัวเองหรือค่าใช้จ่าย ความจริงเราก็ได้ตกลงเรียบร้อยตั้งแต่วันงานแล้ว ปรึกษากันแล้วว่าจะแบ่งอย่างนี้ก็ไม่มีใครแย้ง ส่วนตัวพี่ไก่เขาบอกเองว่าจะไม่ยุ่งเรื่องเงิน จะให้กันยังไงตรงไหน เขาจะไม่ยุ่งเลย ซึ่งเขาไม่บอกว่าไม่เห็นด้วย ผมจำได้ว่าพี่ไก่ฝากผู้ใหญ่ว่ายังไงก็ขอฝากลูก ว่าให้ลูกได้เรียนจบเท่านั้นเอง ผู้ใหญ่ก็รับปากครับ”
เผยทาง “ไก่ ภารดี” ยังได้โทรไปหา “ไพรัช สังวริบุตร” เพื่อขอค่าใช้จ่ายรายเดือนให้ลูกสาว แต่ตนเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องช่วยเหลืออีก จึงตัดสินใจดูแลค่าใช้จ่ายให้น้องเองเดือนละ 5 พันบาท
“ก่อนหน้านี้ทางพี่ไก่ก็โทรไปหาคุณลุงไพรัช ลักษณะว่าน้องวิวต้องมีค่าใช้จ่ายรายเดือนอีก ทางผู้ใหญ่ก็ถามผมว่าน้องต้องมีค่าใช้จ่ายรายเดือนนะ ต้องอะไรยังไง เขาก็เลยช่วยดูแลทางนี้ผ่านทางผม แต่ทางผู้ใหญ่เขาแค่ปรึกษาผม ผมเลยสรุปว่าโอเค เดี๋ยวผมจะช่วยดูแลน้อง ผมขอทางผู้ใหญ่เอง เพราะเห็นว่าทางผู้ใหญ่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องเรียนแล้ว ผมก็เลยขอเรื่องดูแลค่าใช้จ่ายรายเดือนเอง”
“คุณไก่ก็รู้ว่าเงินที่ให้น้องแต่ละเดือนเป็นเงินของผม เพราะผมพูดให้พี่ไก่ฟังเองแต่มันไม่ใช่แค่นั้น พอผู้ใหญ่บอกว่าผมจะดูแลเรื่องตรงนี้ ผู้ใหญ่เขาก็ปรับเงินในส่วนตรงนี้ของผมขึ้น ส่วนที่ว่าผมจะไปช่วยน้องเท่าไหร่ ให้ผมคิดดูแล้วกัน แต่อย่าให้หนักตัวเอง สรุปผมก็คุยกับวิวว่าพี่ช่วยได้เดือนละ 5 พันนะ แต่เงินพี่จะออกเป็นวีคนะทุกๆ 15 วัน จะให้วิววีคละ 2,500”
“ซึ่งเรื่องค่าใช้จ่ายรายเดือนทางผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ผมก็ไม่ได้ปรึกษาผู้ใหญ่คือคิดเองว่าเงินค่าใช้จ่ายส่วนตัวยังจะต้องให้ผู้ใหญ่ช่วยเหลืออีกเหรอ ซึ่งบางเรื่องก็เข้าใจพี่ไก่ บางเรื่องก็ไม่เข้าใจ จริงๆ ผู้ใหญ่ไม่ต้องให้อะไรก็ได้ ที่เขาให้แค่นี้ก็สมควรแล้ว และเขาอาจจะเข้าใจว่าก็พ่อทำงานมานาน สมควรจะได้ตรงนี้ก็เป็นได้ พอมามีเรื่องนี้พี่ไก่ก็บอกว่าเงินจำนวนนี้จริงๆ ผมไม่จำเป็นต้องออก หรืออะไรนะ แต่น่าจะเป็นทางผู้ใหญ่ออกทั้งหมด ผมก็ไม่รู้จะพูดหรืออธิบายกับทางพี่ไก่ว่ายังไง ผมก็อยากอธิบายว่า จริงๆ เงินส่วนนี้ไม่น่าไปรบกวนเขา เพราะเรื่องเรียนผู้ใหญ่เขาช่วยแล้ว คือเขาก็คุยกับผมแล้ว เรื่องนี้ว่าถ้าไม่ได้เงินก้อนจริงๆ ก็จะไปบอกข่าว”
“ผมพูดตรงๆ ว่าเงินตรงนี้อยากให้เป็นเงินที่น้องควรจะได้ใช้อยากทยอยให้ ไม่อยากให้ทีเดียวตู้มไป อยากทยอยให้มากกว่า ครั้งที่ให้ล่าสุดประมาณกลางเดือนที่แล้ว แต่ก็เพิ่งจะมีอาทิตย์นี้ที่ไม่ได้ให้ คือผมให้น้องมาตั้งแต่หลังเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ประมาณ 3 เดือน”
ส่วนหนี้สิ้นของพ่อจำนวน 2 แสนบาท ที่กู้ยืมเงินนอกระบบนั้น เจ้าตัวยันไม่เคยทราบเรื่องมาก่อน และไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดจึงไม่ได้สะสางให้
“เรื่องหนี้ของพ่อที่พี่ไก่บอกว่าทำไมไม่ใช่หนี้ให้พ่อก่อน แต่กลับเอาไปให้คนอื่นก่อน คือเรื่องหนี้สิน ผู้ใหญ่ถามผมตั้งแต่งานศพแล้ว ว่าพ่อมีหนี้สินตรงไหนบ้าง ผมก็ไม่รู้จำนวนเงิน เราไม่รู้ว่าพ่อมีหนี้ที่ไหนบ้าง แต่สุดท้ายก็มีจำนวนหนี้ขึ้นมา 2 แสนบาท คือเท่าที่คุยบางส่วนกันนั้น ผมก็ให้เขาบอกมาสิว่าพ่อเป็นหนี้ตรงไหนบ้าง ไหนว่ามา แล้วปรากฏว่ามันเป็นหนี้นอกระบบซึ่งไม่มีหลักฐาน”
“แต่หนี้ของบริษัทที่มีหลักฐานมันมีจริงๆ เราก็เห็น หนี้ของบริษัทเท่าที่ทราบก็หลักแสน และก็มีเงินของน้องสาวคุณลุงไพรัชด้วย ซึ่งเขาก็ยกให้ไปเลยเพราะถือว่าคนตายไปแล้ว คือหนี้ 2 แสนเราไม่รู้ว่าพ่อเป็นหนี้จากไหน จริงหรือเปล่า ตรงไหนยังไง อย่างที่พี่ไก่บอกว่ามีพวกทวงหนี้ขี่มอเตอร์ไซค์มาทวงทุกวันเลย ทางเราไม่ทราบว่าทางพ่อเป็นหนี้ตรงไหน แล้วเงินที่ว่าเป็นหนี้พ่อเอามาทำอะไร ส่วนคำพูดที่มีคนพูดไม่ดีที่ว่า ตอนเอากันมันไม่เห็นบอก แต่พอตอนนี้อยากให้คนรับรู้ อันนี้ผมไม่ทราบครับ ไม่รู้ว่าใครพูด”
เผยเรื่องที่ “น้องวิว” ขอย้ายที่มหาวิทยาลัยนั้น ตนเป็นคนให้คำแนะนำ แต่จะเรียนที่ไหนก็สุดแล้วแต่จะตัดสินใจ
“ส่วนเรื่องเรียนของน้องวิวเขาจะย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งเรื่องนี้ผมเป็นคนแนะนำ และให้คำปรึกษาน้องวิวเอง ผมเป็นคนให้คำปรึกษาน้องไป เราก็ถามน้องว่าน้องอยากเรียนอะไร เขาบอกว่าเขาอยากเรียนนิเทศฯ ผมก็เลยให้คำปรึกษากับน้องว่า ถ้าวิวจะมาทางสายนิเทศฯ ผมแนะนำไปว่าน้องวิวน่าจะลงเรียนที่รามหรือสุโขทัย เพราะน้องวิวน่าจะมีเวลาเข้ามาฝึกงานจริงๆ ที่บริษัท ไม่ว่าจะสามเศียร หรือดาราวีดีโอ ดีด้า น้องวิวสามารถเข้ามาฝึกงานได้เลย อย่างน้อยก็เป็นการช่วยเหลือผู้ใหญ่บ้าง ตอบแทนเขาบ้าง”
“อีกอย่างยังมีรายได้ส่วนตัวน้องวิวเองด้วย อันนี้ผมเป็นคนให้คำปรึกษาน้องครับ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับตัวน้องเองว่าน่าจะเป็นลักษณะนั้นนะ เพราะน้องจะได้มีเวลาไปเรียนรู้กับของจริงเลย ได้ไปฝึกงานจริงๆ ทำงานจริงๆ มีรายได้นอกเหนือจากที่บริษัทช่วยเหลือ ที่สำคัญคือเรายังมีโอกาสได้ทำอะไรให้ผู้ใหญ่บ้าง ผมคิดว่าตัวน้องเข้าใจ ผมไม่ได้บอกว่าน้องต้องอย่างนี้นะ แต่น้องต้องไปตัดสินใจเองว่าจะยังไง"
ทั้งนี้เจ้าตัวย้ำว่าทางผู้ใหญ่ดูแลจัดการเรื่องงานศพพ่ออย่างดีที่สุด ซึ่งความจริงเงินจำนวน 4.5 แสนบาท ผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องช่วยเลยก็ได้
“วันที่ลอยอังคารพ่อ ผมกับน้องวิว 2 คนเป็นคนที่เข้าไปกราบคุณลุงไพรัช เพราะตั้งแต่พ่อผมเข้าโรงพยาบาลเขาจัดการให้เสร็จเรียบร้อย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย และผมคิดว่ามันมากพอ เขาทำให้พ่ออย่างดีที่สุด ดีจนคิดว่าถ้าเราทำเองคงไม่ดีเท่าขนาดนี้ และถ้าการที่ผู้ใหญ่เขาจะไม่ให้อะไรเลย มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดเพราะพ่อผมไม่ได้ไปฝากเงินไว้ที่ลุง ไม่ได้มีมรดกอะไร ตรงนั้นเขาก็แค่เป็นคนหนึ่งที่ทำงานให้ทางบริษัท จนวันพ่อผมเสียทางบริษัทไม่เคยทิ้งพ่อผมหรือผม บริษัทดูแลตลอด”
“ผมอยากอธิบายให้พี่ไก่ได้ฟัง ไม่ว่าจะผมได้หรือพี่ไก่ได้ เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาหยิบยื่นให้ แต่เขาช่วยเหลือให้ ไม่ใช่เขาต้องให้ แต่ผมก็เข้าใจเขาว่าเขาติดขัด บางทีเขาอาจจะไม่ชอบเรื่องการเบิกเงิน อย่างน้อยถ้าเรามองเรื่องนี้มันเป็นความอนุเคราะห์ให้ เขาไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้ ไม่ใช่เขาติดค้างเงินพ่อผมซะเมื่อไหร่”
“ส่วนเรื่องมีคนมาซื้อตัวพ่อไปทำงานด้วยจริงครับ แต่มันมีเหตุผลว่า ทำไมพ่อถึงยังอยู่ที่นี่ มันไม่ใช่แค่บริษัทหรือนายจ้าง ยิ่งกับคุณลุงไพรัช มันไม่ใช่แค่นายจ้าง ผมอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เด็กทั้งคุณลุง พี่ลอร์ด พี่หลุยส์ ไม่ใช่แค่ทำงานได้เงินเดือน ก่อนหน้านี้พ่อมีเรื่องมากกว่านี้อีก แต่ก่อนซึ่งทางเขาก็ช่วยเหลือมาตลอด มันมีคำตอบอยู่แล้วว่าทำไมเขาไม่ไป ทั้งๆ ที่มีคนมาให้ล้านสองล้าน”
“ผมว่าสิ่งที่เขาได้จากที่นี่มันคงมีอะไร จึงทำให้ไม่น่าจะไปไหน จะบอกว่าคุณลุงไพรัชเขาพูดกับผมว่า ให้มาอยู่ด้วยกัน ให้มาทำงานด้วยกัน ที่ผมพูดไม่ใช่ว่าเพราะผมทำงานในบริษัทหรืออะไร แต่ผมเหมือนเป็นลูกหลานและทุกวันนี้เขาก็ให้ผมเยอะแล้วครับ”