xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องของ 'แม่' จากสายตา 'หมา' ผ่านปากกา 'เขมวิช ภังคานนท์'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เขมวิช ภังคานนท์ กับ ตี่ตี๋ หมาอ้วน
(1)
เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวชนชั้นกลางที่อาศัยอยู่ในคอนโดมีเนียมใจกลางเมืองครอบครัวนี้คงไม่สามารถบอกเล่าครอบคลุมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัว 'พ่อ-แม่-ลูก ต่างสายพันธุ์' ครอบครัวอื่นได้ แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็น่าจะฉายภาพความรักความผูกพันที่เกิดขึ้นจนเกือบจะเป็นปกติระหว่างคนกับสัตว์ซึ่งงอกงามเติบโตกลายเป็นความรักความผูกพันระหว่างแม่กับลูกได้ หากอยากสัมผัสว่าความรักระหว่างแม่(มนุษย์)กับลูก(สุนัข) ของครอบครัวนี้งดงามขนาดไหน นั่งลงแล้วเปิดใจต้อนรับความรักที่คุณอาจจะเคยหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินใครสักคนเรียกสัตว์เลี้ยงของพวกเขาว่า "ลูก" และแทนตัวเองว่า "แม่" เช่นนี้

มันเป็นบ่ายของวันอาทิตย์ที่อากาศร้อนแล้ง ณ ตลาด อตก. ใกล้ตลาดนัดจตุจักรไม่ต่างไปจากหลายวันก่อนหน้านี้ 'เขม -เขมวิช ภังคานนท์' และคู่ชีวิตที่เขาเรียกเธอว่า 'ฟ้า' กำลังเดินเตร่ดูสุนัขมาเรื่อยๆ เขมวิชกับฟ้าปักใจว่าต้องการมาเดินดูสุนัขพันธุ์บูลเทอเรียซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เขาประทับใจมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ไปศึกษาวิชากฏหมายอยู่ที่บอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา

"วันนั้นผมออกไปเดินเล่นในสวน" เขมวิชเล่าย้อนถึงความประทับใจแรกที่มีต่อสุนัขพันธุ์ดังกล่าว "ผมไปนั่งสบายๆ ในสวนสาธารณะ มีผัวเมียพังก์คู่นึง ซึ่งน่ากลัวมากเลยนะ มีเหล็กอะไรยื่นออกมาเต็มไปหมด เขาจูงหมาบูลเทอเรียคู่นึง สวมปลอกคอมีหนามๆ เหี้ยมมาเลย ผมเห็นว่าหมาสองตัวนี้หน้าตาแปลกดี มันก็เดินเข้ามาหาผม ผมก็จับหัวมัน ตอนแรกไม่ได้จับหรอกครับ ผมกลัวเขาน่ะครับ เพราะสองคนนี้เหน็บทุกอย่างที่เหน็บได้ เขาบอกยูลูบหัวมันได้เลย สบาย ผมก็ เฮ้ยจริงเหรอ ท่าทางมันดุมากเลยนะ แล้วจากนั้นมันก็ยิ้ม ยิ้มแบบแหกปากให้ผมเลยน่ะครับ"

เขมวิชกับฟ้าเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านจำหน่ายสุนัขพันธุ์บูลเทอเรียแห่งหนึ่ง สายตาของทั้งคู่สะดุดอยู่ที่สุนัขบูลเทอเรียเพศเมียวัยสองเดือนตัวหนึ่ง มันสวยงาม ขนเกรียนนุ่ม สรีระใหญ่หนาตรงตามที่ตำราสุนัขพันธุ์นี้ว่าไว้ทุกประการ ฟ้าถามคนขายว่าสุนัขตัวนี้ราคาเท่าไหร่ คนขายตอบกลับมาว่าตัวนี้มีคนจองแล้ว ซึ่งเขาจะมารับในวันถัดไป

ตลอดการสนทนาของคนขายกับชายหญิงคู่นี้ มีลูกสุนัขพันธุ์บูลเทอเรียเพศผู้อีกตัวนั่งมองพวกเขาผ่านขี้ตาที่เกรอะกรัง เขมวิชกับฟ้าเบนความสนใจไปที่มัน ท่าทางที่เซื่องซึมทำให้ทั้งคู่ต้องเอ่ยถามคนขายว่ามันเป็นอะไร คนขายตอบสั้นๆ ว่าไม่เป็นอะไรมากแล้วก็นำบูลเทอเรียเพศเมียอีกตัวมาวางไว้ใกล้ๆ กัน สุนัขหงอยตัวนั้นยื่นขาออกมาเขี่ยเล่นเพียงชั่วครู่ แล้วมันก็ถ่ายอุจจาระเหลวๆ ออกมาจนเปรอะพื้น เขมวิชหันไปมองฟ้า เขาเห็นแววตาที่บอกความรู้สึกอะไรบางอย่างของเธอ จึงพูดกับเธอว่าถ้าซื้อสุนัขป่วยตัวนี้ไปเลี้ยงก็เสี่ยงต่อการที่มันจะต้องจากพวกเขาไปในเวลาอันรวดเร็ว

แต่ก่อนจะเดินจากมา ทั้งสองขอนามบัตรของร้านเอาไว้ ด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่า
"เผื่อเขาไม่มารับสุนัขเพศเมียสวยๆ ตัวนั้น"

แต่ทว่าความรู้สึกลึกๆ ในใจทั้งเขมวิชและฟ้าต่างรู้กันดีว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้พวกเขาต้องขอนามบัตรของร้านนั้นมาหรอก

"วันนั้นผมกับแฟนกลับมาบ้าน แฟนผมนอนไม่หลับ ผมเองก็นึกถึงหมาป่วยตัวนี้เหมือนกัน ผมเลยบอกแฟนว่าโทรไปสิว่าร้านเขายังเปิดอยู่หรือเปล่า ตอนนั้นสี่ทุ่มแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าถ้าเลี้ยงไม่รอดเราจะยิ่งทรมานนะ เราเป็นคนเลี้ยงหมา การที่หมาเสียชีวิตผมก็ผ่านมาแล้วหลายครั้งเหมือนกัน ซึ่งผมก็รู้สึกสะบักสะบอมเหมือนกัน แต่สรุปว่าคืนนั้นเราก็ออกไปแล้วพาเขามา"

ห้องโถงที่ใหญ่ที่สุดในห้องชุดคอนโดมีเนียมย่านชิดลมอ้าแขนต้อนรับสุนัขพันธุ์บูลเทอเรียขี้ตากรังตัวหนึ่ง เขมวิชยืนดูมันอยู่พักใหญ่ ฟ้าจัดแจงที่นอนให้ก่อนจะลูบหัวแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนให้สุนัขป่วยคลายกังวล นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปมันจะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวภังคานนท์ที่มีเขมวิชเป็นพ่อ และมีฟ้าเป็นแม่ เป็นสถานะที่ไม่ได้เกิดจากการสืบทอดรหัสทางพันธุกรรม แต่เกิดจากการยอมรับและหยิบยื่นให้ด้วยหัวใจ

สุนัขบูลเทอเรียตัวนี้มีชื่อว่า 'ตี๋' เป็นชื่อที่เขมวิชบอกว่าประทับใจตั้งแต่แรกทีได้ยินและเหมาะกับมันมากที่สุดแล้ว

เวลาเกือบแปดปีเดินผ่านอย่างเร็วรี่ หลากเรื่องเกิดขึ้น สุขและทุกข์ผ่านมาแล้วจากไป ตี๋โยน 'สุนัขขี้โรค' หายไปกับกาลเวลา หลังจากที่มันได้รับการรักษาจากสัตวแพทย์ และได้รับความรักจากพ่อเขมกับแม่ฟ้า มันก็กลายเป็นสุนัขบูลเทอเรียที่แข็งแรง ซุกซน ฉลาดเฉลียว และครุ่นคิด

เขมวิชเดินผ่านการทำงานด้านการเงินในองค์กรที่ใหญ่โตมาหยุดอยู่ที่การเป็นศิลปินธรรมดาๆ คนหนึ่ง เขาผลิตงานเพลงออกมาปีเว้นปี ผลงานของเขาได้รับเสียงชื่นชมจากคนฟังเพลงและนักวิจารณ์ (ได้รางวัลศิลปินยอดเยี่ยม, เพลงบรรเพลงยอดเยี่ยม และอัลบั้มยอดเยี่ยม จากคมชัดลึกอวอร์ด) ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เพลงที่มีเนื้อร้องติดหู ท่วงทำนองติดหัวดังเช่นบางเพลงที่ได้รับการประชาสัมพันธ์แบบเข้มข้นจากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ แต่เพลงของเขมวิชก็เต็มไปด้วยเรื่องราวที่กลั่นออกมาจากชีวิตของเขาจนคนฟังรู้สึกได้

กระทั่งถึงวันที่งานเพลงอัลบั้มล่าสุดของเขมวิชทิ้งช่วงห่างมาครบหนึ่งปี หัวสมองของเขาตีบตัน คิดไม่ออกว่าจะ 'พูด' เรื่องอะไรเป็นลำดับถัดไป ในขณะที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น บ้านเมืองรอบตัวของเขาก็เปลี่ยนไปจากเดิม ควันไฟพวยพุ่งห่างจากห้องที่เขาอาศัยอยู่เพียงไม่กี่กิโลเมตร หมอกสีดำสนิทแผ่ปกคลุมท้องนภาที่เคยมีสีฟ้าใสจนมืดมิด โทรทัศน์ซึ่งเปิดทิ้งเอาไว้เกือบจะ 24 ชั่วโมงปรากฏภาพการชุมนุมที่รุนแรงขึ้นทุกขณะติดต่อกันนานหลายวัน เขานั่งลงมือ ใช้ข้างหนึ่งกุมขมับส่วนมืออีกข้างถูกกอบประคองโดยผู้หญิงข้างกาย ลูกชายของเขาและเธอหมอบนอนอยู่บนพื้นไม่ห่างไกล หางแข็งแรงของมันนิ่งสงบไร้ซึ่งการแกว่งไหว

"สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าธีมของสิ่งที่เราอยากจะพูดยังพอมีอยู่นะ" เขมวิชกล่าว "มันคือเรื่องการให้อภัยน่ะ"

ท่ามกลางควันไฟ เสียงปืน และคราบน้ำตา เขมวิชจับแก่นของเรื่องที่จะพูดในครั้งใหม่ของเขาเอาไว้แน่น แต่ช่องทางการสื่อสารด้วยเสียงเพลงที่เขาเคยใช้มาตลอดยังคงตีบตัน ณ ช่วงเวลานั้นเองที่เขานึกถึงการสื่อสารด้วยตัวหนังสือซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเคยคิดฝันตั้งแต่เยาว์วัย

แต่กำแพงความกลัวที่เขาสร้างขึ้นมาล้อมรอบตัวเขาตั้งแต่เด็กก็ส่งเสียงขู่คำรามไม่ให้เขาก้าวข้ามไปจับปากกาถ่ายทอดเรื่องในหัวลงแผ่นกระดาษ

(2)
ใกล้จะสิ้นปีแล้ว เขมวิชกับฟ้าพาตี๋ไปพบญาติผู้ใหญ่ที่เคารพเหมือนเช่นทุกปีที่พ้นไป กระเช้าใส่ผลไม้และอาหารเพื่อสุขภาพถูกยื่นให้คนที่เขารักและเคารพใบแล้วใบเล่า กระทั่งถึงบ้านของคุณอาท่านหนึ่งที่ได้เปลี่ยนมุมมองของเขมวิชที่มีต่อการเขียนหนังสือไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

"คุณอาถามเราว่า เขมทำไมไม่เขียนหนังสือล่ะ เราก็บอกว่า ใครจะเป็นคนอ่านล่ะครับ คุณอาก็บอกว่าปกติเขมจะเขียนเชิงวิชาการอะไรแบบนั้นใช่ไหม จริงๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นหรอกนะ ที่ผ่านมาเรามีเกราะไงครับ เกราะเหล่านี้เป็นอีโก้ของเราว่าถ้าเราเขียนหนังสือแล้วจะต้องออกมามีสาระ แล้วคุณอาเป็นคนดึงเราออกไปจากเกราะนี้"

"ท่านบอกว่าตราบใดที่มีเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเอง มีเจตนาที่ดี คนเขียนแล้วก็คนอ่านได้รับความบันเทิงก็พอแล้ว อย่าไปคิดว่ามันเป็นเรื่องซีเรียสอะไรมาก มันก็เหมือนหน้าต่างอันนึงที่ทำให้เราได้มองเห็นมุมมองของคนอื่นว่าเขาคิดอะไรกันอย่างไร เหมือนเวลาเราอ่านหนังสือนั่นแหล่ะ"
การสนทนาระหว่างอาหลานในครั้งนั้นได้ทุบทำลายกำแพงความกลัวที่เขมวิชสร้างขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย แก่นของเรื่องที่จะพูดยังคงแจ่มชัดอยู่ในความรู้สึก เขารู้ว่าประเทศชาติที่เขาอาศัยอยู่บอบช้ำหนักหน่วงจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงกลางปี ความคิดเดียวที่เกิดขึ้นในหัวของเขาก็คือ 'การให้อภัย' จะปลดปล่อยความเกลียดชังที่กำลังเกาะกุมและกัดกินหัวใจของพวกเราให้จางหายไป

"ผมคิดว่าสัญลักษณ์ของการให้อภัยที่ดีก็คือเรื่อง 'แม่กับลูก' เพราะว่าทุกคนมีแม่เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็เข้าใจได้ เราทุกคนเคยทำอะไรให้แม่เหวอมาแล้วทุกคน แต่ไม่มีเรื่องอะไรที่แม่จะรับไม่ได้ ผมก็เลยรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์นี่แหล่ะ"

ความรักยิ่งใหญ่ที่ผู้หญิงข้างกายของเขามีต่อลูกชายต่างสายพันธ์ มีพลังท่วมท้นจนทำให้เขาอยากจะบอกเล่า และก้าวสุดท้ายของการข้ามผ่านความหวาดกลัวต่อการเขียนหนังสือของเขมวิชก็คือการ "ใช้ตัวละครพูดแทนตัวของเขา"

"พอเรายกมันออกไปจากเรื่องของเรา พอผมใช้ตี๋เป็นตัวละครเล่าเรื่องปุ๊บ ตรงนี้ก็ช่วยได้เยอะเลยนะครับ เแบ่งเบาผมได้เยอะเลย ว่าในประเด็นนี้เขาสงสัยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมก็คอยสังเกตน่ะครับ เพราะเรื่องที่เป็นเรื่อง First Person จะมีปัญหาเรื่องโทนน้อยกว่าเรื่องที่เป็นตัวละครว่าในเวลานี้คนนั้นทำอย่างนั้นอย่างนี้ นักเขียนที่ผมชอบอย่าง 'ฮารูกิ มูราคามิ' เรื่องส่วนใหญ่ที่ผมชอบของเขาคนเล่าจะเป็น First Person คือฉันเป็นคนเล่า บางทีจนจบเรื่องไปแล้วเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้คนนี้ชื่ออะไร วิธีเล่าแบบนั้นจะอิงกับเทรนด์เมื่อสัก 10 ปีที่ผ่านมา เพราะในความบันเทิงของคนเมื่อสัก 10 ปีที่ผ่านมาเปลี่ยนไปจากการประดิษฐ์ การประกอบ มาเป็นการสังเกตการณ์สิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นความเป็นจริง นั่นคือเรียลลิตี้"

สุดท้าย เขมวิชได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าจะเขียนหนังสือโดยใช้นามปากกา 'ตี่ตี๋ หมาอ้วน 'ที่ไม่ใช่เพียงแค่การยืมชื่อของ 'ลูกชาย' มาใช้ในการเล่าเรื่อง แต่เป็นการยืมวิญญาณความรู้สึกด้วยการคาดเดาความนึกคิดชนิดที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการปล่อยร่างให้ตี๋เข้ามาสิงเพื่อเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ผนวกรวมกับเรื่องบางเรื่องที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องในจินตนาการอีกด้วย

"หนังสือเล่มนี้เป็นอัตชีวประวัติของหมาที่เขียนโดยหมาครับ ดังนั้นจึงเป็นนวนิยาย ธีมของเรื่องก็คือเรื่องที่แม่กับลูกมีให้กัน ความรักในครอบครัวแล้วก็การให้อภัย"

เวลาผ่านไปเกือบ 4 เดือน เขมวิชได้ต้นฉบับหนังสือชื่อ 'สิ่งที่ตี๋ไม่มีวันลืม'หลังจากนั้นเขาก็นำมันไปเสนอกับสำนักพิมพ์เพื่อกำหนดรายละเอียดในการตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือที่มีความหนา231 หน้าและมีเพลงประกอบหนังสือออกมาถึง 4 บทช่วยให้อรรถรสในการอ่านเรื่องของตี๋เพิ่มพูนขึ้นได้อย่างประหลาดล้ำ

ปัจจุบันกำแพงความกลัวของเขมวิชถูกทุบทำลายลงไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เขานำต้นฉบับ 'สิ่งที่ตี๋ไม่มีวันลืม' ไปให้นักเขียนรุ่นพี่อย่าง 'พลอย จริยะเวช ' และ 'วิภว์ บูรพาเดชะ' อ่าน ทั้งคู่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเรื่องเล่าของตี๋ให้กลิ่นและรสที่หวานละมุนอ่อนละไม เป็นเรื่องเล่าที่ชวนติดตามและสร้างความรู้สึกเพลิดเพลิน นักเขียนหญิงบอกว่าอ่านจบไปนานแล้วแต่ยังรู้สึกเหมือนมีคลื่นรบกวนแทรกเข้ามาเป็นระยะๆ ส่วนนักเขียนชายบอกว่าเรื่องเล่าอันน่าติดตามในหนังสือเล่มนี้ได้เล่นสนุกกับหัวสมองของคนอ่านอย่างมีสีสันและชั้นเชิง

“ตอนนี้สิ่งเดียวที่จะหยุดผมได้ก็คือขายไม่ออกแล้วเขาเอามาคืนหมดทุกก็อปปี้” เขมวิชพูดถึงอนาคตการเขียนหนังสือของเขา “ถ้าไม่อย่างนั้นผมคงเขียนต่อแน่ๆ ครับ ผมยังนึกโปรเจคอยู่เลยว่าจะทำโปรเจคนั้นโปรเจคนี้ดีหรือเปล่า ”

ส่วนคนที่ติดตามผลงานเพลงของเขมวิช นักเขียนน้องใหม่คนนี้บอกว่าไม่ต้องกังวลเพราะเขาจะยังคงทำงาน 'ศิลปะเพื่อการสื่อสาร' ออกมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเสียงเพลงหรือตัวหนังสือ

“แก่นของมันคือการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นภาพและเสียง ตัวหนังสือหรืออะไรต่างๆ ภาพประกอบในหนังสือเล่มนี้ที่ผมวาดเองก็มี ถ้าอะไรที่เราทำได้เราก็จะทำครับ เหลืออะไรอีกล่ะ หนังผมก็ไม่มีงบทำนะ จะยุ่งยากเกินไปหรือเปล่า แต่เป็นนักเขียนจะว่าไปก็เข้ากับจริตของผมที่เป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ไกลคน แล้วเขียนหนังสือเป็นอะไรที่ผมรู้สึกโอเคมาก”

“ไม่เลิกหรอกครับงานเพลงน่ะ มันอดไมได้ เห็นไหมทำหนังสือยังมีเพลงอยู่เลย หลังจากทำเพลงโอยะซึมิ(หนึ่งในเพลงประกอบหนังสือสิ่งที่ตี๋ไม่มีวันลืม) แล้วเพลงอื่นๆ จะเป็นบรรยากาศนี้เลย ในเมื่อตรงนี้ทำให้การสื่อสารมีมิติ มีสี มีรสมากขึ้น เราก็จะให้เขา”

(3)
รอยกัดแทะที่ขาโต๊ะยังคงอยู่ แต่ความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจได้มลายไปจากหัวใจของแม่ฟ้านานแล้ว เช่นเดียวกับบาดแผลและร่องรอยอีกสิบอีกร้อยแห่งที่ลูกชายตัวนี้ทำให้เกิดขึ้นซึ่งยังคงอยู่เพียงแค่การมองเห็นของดวงตาเพราะร่องรอยเหล่านั้นได้จางหายไปจากความรู้สึกทางหัวใจของผู้เป็นแม่แทบจะทันทีที่มันเกิดขึ้นแล้ว

ตี๋นอนหลับอยู่บนโซฟานุ่ม ในตัวอาคารที่มีพ่อเขมวิชกับแม่ฟ้าเป็นดั่งร่มเงากันแดดป้องฝน ความอบอุ่นใจแผ่ซ่านตั้งแต่ใบหูไปจนถึงปลายหาง ก่อนหน้านี้ไม่นานนักตี๋ได้พูดถึงการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมนุษย์ไว้ในหนังสือเล่มแรกของเขา ซึ่งเป็นการเล่าผ่านปลายปากกาของพ่อว่า

“หมาไม่เหมือนคนหรอกนะ อย่างน้อยก็คงจะเรื่องครอบครัวนี่แหละ ตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงหรือสายเลือดผูกพันอะไรเนี่ย ตี๋ว่าตลกชะมัด มีแต่คนเท่านั้นแหละที่ชอบคิดอะไรฟุ้งซ่านอย่างนั้น ตี๋เป็นหมา เพราะฉะนั้นตี๋จึงเข้าใจดีว่าถึงจะไม่ได้ผูกพันกันทางสายเลือดหรือสายพันธุ์ ความอบอุ่นของครอบครัวก็เกิดขึ้นได้”

“ ว่าไปแล้วนะ ไม่รู้มันจะมีอะไรดีไปกว่าความอบอุ่นนี้ ถ้ามีใครที่อยากต้อนรับเรา ให้เราเป็นสมาชิกในกลุ่มของเขา ให้ความไว้ใจเราด้วยความเต็มใจ เวลาเราไม่สบายเขาก็ดูแลรักษา เวลาเราปกติ เราก็ให้กำลังใจเขา จะเล่นด้วยหรือกระดิกหางอะไรก็ว่ากันไป ถ้าจะต้องทำแบบนี้ไปตลอดชีวิตจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็คงจริง แต่ถ้าเราทำไปเพื่อความอบอุ่นนี้ มันก็เหมือนกับเราได้ทำสิ่งที่ควรทำแล้ว ตี๋ว่านะ”

ตลอดแปดปีที่ผ่านไป ตี๋ก็ได้ทำในสิ่งที่สุนัขอย่างตี๋ควรกระทำ เขมวิชกับฟ้าก็ทำในสิ่งที่มนุษย์ซึ่งมอบสถานะลูกให้แก่สิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์พึงกระทำ ในวันปกติธรรมดาแม่ฟ้าจะพาตี๋ขึ้นไปเดินเล่นที่ดาดฟ้าชั้นบน มองดูพระอาทิตย์ที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาค่อยๆ เปล่งแสงด้วยกัน ก่อนที่พ่อเขมวิชจะตื่นขึ้นมารับช่วงดูแลลูกชาย นำอาหารและความรักมอบให้แก่เขาแบบขอเพิ่มได้เรื่อยๆ

เมื่อมานั่งนิ่งๆ หน้าคอมพิวเตอร์ เขมวิชจึงมีโอกาสทบทวนเรื่องราวของครอบครัว โดยเฉพาะในด้านความรักที่แม่ฟ้ามอบให้แก่ลูกตี๋ ข้อความตอนหนึ่งที่หนังสือสิ่งที่ตี๋ไม่มีวันลืมได้กล่าวถึงเป็นข้อความขนาดไม่ยาวที่บอกเล่าความรู้สึกของตี๋ที่มีต่อแม่ฟ้าผ่านการถ่ายทอดของพ่อเขมวิช

“ตาของคนมีขนาดไม่ใหญ่โต แต่ตาของแม่ที่ตี๋มองเข้าไปช่างเป็นที่ที่กว้างขวาง ตี๋อยากจะเข้าไปวิ่งเล่น ตี๋อยากจะเข้าไปพักผ่อน ตี๋อยากจะทำอะไรก็ได้ แม้แต่ทำผิดโดยไม่ตั้งใจ ก็มีช่องว่างเหลือไว้ให้ทำถูก ถ้าจะต้องหนีภัยอันตรายมาจากที่ไหน ตี๋ก็รู้สึกว่ามันจะเป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับตี๋เสมอ เป็นที่ที่ปลอดภัยตลอดไป”

ที่ที่ปลอดภัยตลอดไป ที่ของลูกที่แม่แบ่งปันให้เสมอ พื้นที่ที่มีขนาดซึ่งไม่อาจคะแนหรือวัดได้ พื้นที่ซึ่งความกว้างขวางของมันไม่ได้สร้างความรู้สึกอ้างว้างหนาวเหน็บแต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น พื้นที่เดียวกันกับที่คุณและเพื่อนร่วมโลกได้รับจากใครคนหนึ่ง พื้นที่ที่คุณละเลยหรือไม่ใส่ใจ ตี๋กับคุณยังคงวิ่งเล่นร่าเริงอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้นเหมือนเดิมและตลอดไป
 
 + จากเขมวิชถึงตี๋
"รู้สึกดีใจที่เราได้มาเจอกัน ตี๋ได้เอาความเป็นหมาของมันมาขัดเกลาความเป็นคนของผมให้ดีขึ้น เพราะว่าพฤติกรรมหลายๆ อย่าง ความอดกลั้นหลายๆ อย่าง อย่างเขายอมไปฉี่เป็นเวลา เป็นที่เป็นทาง หรือเวลาที่เขารู้ว่าเราซึมเขาก็จะมาเกาะให้กำลังใจ เขาค่อนข้างเซนซิทีฟกับความรู้สึกคน เขาเป็นส่วนประกอบในครอบครัวที่นึกไม่ออกน่ะว่าถ้าเขาไม่อยู่จะเป็นยังไง แต่วันนั้นต้องมาถึง"

 "เนื้อหาของเพลงโอยะสึมิจะเป็นเนื้อหาแบบนั้นไง ถ้าเราฟังเพลงนี้ดีดีก็คือเพลงกล่อมเด็กที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเด็กคนนั้นแล้ว ก็เป็นลักษณะที่ว่าวันนั้นจะต้องมาถึง แต่ไม่ต้องกลัวหรอกนะ มีสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ แล้วสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั้นไม่ใช่อะไรที่ฟิสิคัล แต่เป็นอะไรที่อยู่ในใจ ก็ดีใจน่ะที่มาเจอกัน  ก็อยากให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ มีคนบอกผมว่าหลังจากสัตว์เสียชีวิตไปมันจะได้เกิดเป็นคนแต่บางคนก็บอก All Dogs Go to Heaven ซึ่งไม่ว่าอะไรหลังจากที่ตี๋ได้ทำหน้าที่ของตี๋บนโลกนี้เรียบร้อยแล้ว มันต้องได้ไปเกิดในที่ที่ดีแน่ๆ เลย เพราะผมรู้สึกว่าเขาได้ช่วยผมมากๆ ทั้งผมทั้งแฟนก็รู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา ได้ให้เรามากๆ มากกว่าที่เราให้เขาครับ”

                        ...........................................................


พ่อกับลูกชายอยู่บ้านร่วมกันมานานแล้ว เพราะคุณพ่อทำงานเพลงอยู่ที่บ้าน

หลังจากขึ้นไปเดินเล่นบนดาดฟ้า กลับลงมาต้องเช็ดเท้าก่อนเดินในบ้าน
ตี๋ในวันวาน
ตี๋ในวันนี้
คุณพ่อเขมวิชกับลูกชายที่โตเป็นหนุ่มเต็มตัว
หน้าปกหนังสือ สิ่งที่ตี๋ไม่มีวันลืม
กำลังโหลดความคิดเห็น