ต้องบอกว่า มันเป็นอะไรที่ “กวนโอ๊ย” และดู “ขี้เล่น” อยู่ในที เพราะในขณะที่ชื่อของหนัง บอกว่า “ก้านคอกัด” แต่ในโปสเตอร์แบบหนึ่งของหนัง กลับนำเสนอภาพแห่งการกัดในอีกรูปแบบ เพราะสิ่งที่กัด (หรืองับ) กลับไม่ใช่ “ก้านคอ” หากแต่เป็นหน้าอกหน้าใจขนาดบิ๊กไซส์บะลึ่มฮึ่มของหญิงสาวที่แลบลิ้นยาว ซ่อนดวงตาอยู่ใต้แว่นสีดำ มองดูขำขันอยู่ในที
แต่นี่เป็นเพียงน้ำจิ้มเล็กๆ น้อยๆ เพราะสิ่งที่เราจะได้เห็นในหนังฉบับเต็มโดยการกำกับครั้งแรกของแร็พเพอร์ตัวพ่อของเมืองไทยอย่างโจอี้บอย นั้นมีความกวนโอ๊ยและขี้เล่น บวกกับช่างคิดกว่านี้อีกหลายเท่า
ในความเป็นผู้กำกับมือใหม่ ผมคิดว่า โจอี้บอย สอบผ่านแล้วกับการรับบทบาทไดเร็กเตอร์ในผลงานชิ้นแรกอย่าง “ก้านคอกัด” แน่ล่ะว่า หลายคนอาจจะบอก...ก็ไปลอกผีซอมบี้ของฝรั่งมา แต่เอาเข้าจริง ผมว่านั่นไม่ใช่ส่วนที่ควรหยิบยกมาพินิจ เพราะสิ่งที่ต้องตรวจสอบกันจริงๆ ก็คือ “ศักยภาพ” ของหนังนั่นต่างหาก
เนื้อเรื่องย่อๆ ของก้านคอกัดนั้นเริ่มต้นขึ้นภายหลังการหนีตายจากป่าคำชะโนดมาหมาดๆ แปดหนุ่มฮิปฮอปในนามก้านคอคลับต้องมารับภารกิจใหม่ นั่นคือการลงเรือไปถ่ายแฟชั่นกับบรรดานางแบบสาวสุดเซ็กซี่จากนิตยสารปลุกใจเสือป่าชั้นนำ แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเรือดันมาดับอับปางที่เกาะร้างแห่งหนึ่ง แต่ถึงกระนั้น ความสนุกสนานยังดำเนินไปได้ในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนเหตุการณ์เหนือความคาดหมายจะมาเยือน เมื่อมีบรรดาชาวเกาะจอมโหดออกมาไล่ฆ่าผู้คนเป็นผักปลา เท่านั้นยังไม่พอ ในยามที่ฝนลงเม็ด ยังมีผีดิบจากท้องทะเลโผล่ขึ้นมาไล่กัดบรรดาสมาชิกวิ่งหนีกันป่าราบ...
จากภาพรวมทั้งหมด ผมไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยกับคำให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อก่อนหน้านี้ของโจอี้บอยที่บอกว่า ก่อนเขาจะมากำกับหนังเรื่องนี้ เขาต้องดูหนังมาหลายร้อยเรื่อง เรียกว่า ศึกษาทำการบ้านมาอย่างดีแล้ว พูดง่ายๆ ว่า ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นไม่ขี้เหร่เลย อย่างน้อยที่สุด ผมว่า หนัง “เล่าเรื่อง” ของมันเองได้ ไม่ใช่กระโดดไปตรงโน้นทีตรงนี้ทีจนหา “เส้นเรื่อง” ไม่เจอ เหมือนปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นกับหนังตลกบางเรื่อง
เหนืออื่นใด คือ ความกล้าที่จะแหวกแหกกรอบออกไปจากเดิม เหมือนที่บอกว่าไปหยิบเอาผีซอมบี้ของฝรั่งมา แต่นั่นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง เพราะพอหยิบมาใส่องค์ประกอบและบรรยากาศแบบบ้านเมืองของเราลงไป ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะให้ความรู้สึกประดักประเดิดหรือแปลกประหลาดขาดความน่าเชื่อถือแต่อย่างใด
ที่สำคัญ คือหนังไม่น่าเบื่อเลยครับ และถ้าจะให้พูดกันตรงๆ ผมว่า ครึ่งปีที่ผ่านมาของการดูหนังตลกไทย ผมว่าเรื่องนี้นี่แหละที่ไม่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่าอยากให้มันจบเร็วๆ เพื่อที่จะได้รีบกลับบ้าน ตรงกันข้าม ก้านคอกัดมีสีสันเรื่องราวที่ทำให้เราอยู่กับหนังได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ใช่สาวเซ็กซี่หุ่นสะบึมหรอกนะครับ (แต่ถ้าใครจะชอบแบบนั้น ก็ไม่ว่ากัน) หากแต่เป็นเรื่องของอารมณ์ขัน มุกตลก ที่เกลี่ยวางอยู่ตามรายทางเป็นระยะๆ และหลากหลายในมุกตลก โดยเฉพาะการล้อเลียนเสียดสีวัฒนธรรมร่วมสมัย เช่น การคุยมือถือในโรงหนัง, เอสเอ็มเอสกิ๊กก๊อกในรายการข่าว หรือแม้กระทั่งการวิจารณ์หนังของคุณพวกนักวิจารณ์ที่โดนหนัง “วิจารณ์” ตั้งแต่ต้นเรื่อง (ฮา)
ผมชอบมุกในช่วง “เห็ดมาริโอ้” แล้วมีแอนนา ชวนชื่น โผล่มาแบบ “ไม่คาดหมาย” มากที่สุด นี่คือสูตรที่คนทำหนังตลกต้องศึกษาเลยล่ะครับ เพราะไอ้ที่พูดกันว่าตลกๆ นั้น มันก็เพราะเหตุนี้นี่เอง คือ มันนอกเหนือไปจากความคาดหมายของเรานั่นล่ะ (แน่สิ ถ้าเดาได้ ก็ไม่ตลกแล้ว)
โดยพื้นฐาน โจอี้บอยนั้น เป็นนัก “ด้นแร็พ” มาก่อน ดังนั้น มันจึงไม่แปลกที่เราจะเห็นเขาใช้ทักษะนั้น มา “ด้นเรื่อง” ในหนัง และเป็นการด้นซึ่งฉูดฉาดประหลาดพิสดารแบบที่ต้องยอมรับว่าเป็นความกล้าคิดกล้าจินตนาการ เอาโน่นผสมนี่ จนบางทีเกือบจะออกทะเลไปเลย (ออกทะเลจริงๆ ก็มี) ขณะเดียวกัน เนื้อเรื่องบางจุดหรือพฤติกรรมบางอย่างของตัวละครอาจไม่ได้มีที่มาที่ไปหรือสมเหตุสมผลมาก แต่กระนั้น ก็ไม่ถึงกับทำให้ภาพรวมของเรื่องเสียศูนย์
สุดท้าย ท้ายสุด ก้านคอกัด เป็นหนังเพื่อความบันเทิง ดูเพื่อความสนุก โดยแท้จริง แม้หนังจะพยายามหาเหลี่ยมหามุมคมๆ ให้ดูมีแง่คิด อย่างเช่น ตอนที่ให้ตัวละครพร่ำพูดโน่นนี่พร้อมทั้งหลั่งน้ำตาหน้ากล้องดิจิตอล แต่ก็มิอาจคมไปได้
ดังนั้น เมื่อดูหนังไปจนจบ เราก็อาจจะพบว่า สมองของเราจดจำไม่ได้เลยว่า อะไรคือเนื้อหาสาระหรือประเด็นที่เป็นแก่นแกนของหนัง
แล้วก็ไม่ต้องไปนั่งระลึกหรอกนะครับว่ามันคืออะไร เพราะมันไม่มีอยู่จริง