“ก้อย” ตื้นตันใจวินาที “โย่ง” คุกเข่าขอแต่งงานกลางคอนเสิร์ต ปัด ฤกษ์แต่งยังไม่ใช่ 12 พ.ย.นี้ แต่คงใกล้เคียงเพราะอยากแต่งปลายปี มั่นใจฝากชีวิตกับผู้ชายคนนี้ได้ ด้าน “โย่ง” เผย อยากมีลูกทันที ลั่น จะทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวดูแลทุกอย่างเอง ส่วนแฟนสาวให้อยู่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว
หลังจากทำเซอร์ไพรส์ขอแฟนสาว “ก้อย วลัยลักษณ์ มุสิกโปฎก” แต่งงานกลางงานคอนเสิร์ตครบรอบ 10 ปีวง “อาร์มแชร์” นักร้องหนุ่ม “โย่ง อนุสรณ์ มณีเทศ” ก็เหมือนได้โชค 2 ชั้นเพราะทั้งคู่ยังได้งานพรีเซ็นเตอร์ให้กับสายการบินบางกอกแอร์เวย์อีกด้วย ล่าสุดมีโอกาสเจอทั้งคู่ที่งานเปิดตัวโฆษณาดังกล่าว ผู้สื่อข่าวจึงถามความรู้สึกสาวก้อยในวินาทีที่แฟนหนุ่มคุกเข่าขอแต่งงานกลางงานคอนเสิร์ต ทำเอาเจ้าตัวยิ้มแก้มปริ บอก รู้สึกตื้นตันใจกับเซอร์ไพรส์ครั้งนี้มาก
ก้อย : “วันนั้นที่เขามาขอแต่งงานก็ตกใจนิดหน่อยค่ะ ก็ตื่นเต้นด้วย พอดีวันนั้นก้อยเองต้องดูแลเสื้อผ้าของงานโชว์คอนเสิร์ตในวันนั้นอยู่แล้วด้วยก็เลยวิ่งวุ่น แต่ระหว่างนั้นก็รู้สึกผิดสังเกตอยู่เหมือนกัน เพราะทีมงานหรือทุกคนก็จะพยายามให้ไปนั่งกับคุณแม่ของโย่งหน่อยได้มั้ย ก้อยก็บอกโอเคอีกสักพักนะคะ เพราะก้อยเองก็อยากจะไปนั่งดูแลท่านอยู่แล้ว แต่พอออกไปคุณโย่งเขาก็ทำเซอร์ไพรส์ ก็ตกใจค่ะ”
“ต้องบอกว่ารู้สึกปลื้มมากกว่า มันตื้นตัน เราคบกันมาก็ 9 ปี แต่มันเป็น 9 ปีที่ก้อยรู้สึกว่ามันดีมากๆ มันไม่มีอะไรที่จะทำให้เรารู้สึกว่าเราจะปฏิเสธเขา เพราะเขาก็น่ารักตลอดทั้ง 9 ปี เขาแสดงความรักในแบบที่ค่อนข้างสุภาพบุรุษ เราเองก็รู้สึกชื่นชมเขา”
โย่ง : “ตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ ก็ประมาณ 3 เดือน มันเป็นอะไรที่พิเศษสำหรับผมและวงอาร์มแชร์อยู่แล้ว ผมก็เลยรู้สึกว่าอยากมอบความพิเศษนี้ให้กับคุณก้อยด้วย เพราะว่าคุณก้อยเองก็เป็นคนที่น่าจะสมควรได้รับสิ่งที่ดีๆ มากกว่าใคร เพราะตลอดเวลาที่คบกันมา คุณก้อยไม่เคยร้องขออะไรที่น่าลำบากใจเลย ไม่ว่าจะเป็นของแพงๆ กระเป๋าแบรนด์เนม คุณก้อยไม่เคยให้ความสำคัญกับของนอกกายมากไปกว่าการที่เราได้อยู่ด้วยกัน ผมก็เลยรู้สึกว่าอยากจะมอบอะไรให้คุณก้อย ส่วนเรื่องฤกษ์ยามนี่ยังไม่ได้กำหนดเลยครับ แต่ตั้งใจว่าจะจัดภายในปีนี้ครับ เพราะปีนี้เราเองก็ทำงานหนักมาแล้ว ไหนๆ ก็จะหนักแล้วก็เอามารวมให้หนักไปเลยปีเดียว”
ก้อย : “เขาเองก็เพิ่งจะทำเซอร์ไพรส์ ซึ่งเป็นวันที่เขามาขอเราอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ หลังจากวันนั้นก็มีโอกาสได้คุยกับคุณแม่ ก็คิดว่าคงเป็นหลังจากช่วงนี้สักพัก ทางผู้ใหญ่ของคุณโย่งก็คงกำลังดูเวลาที่เหมาะสมอยู่ค่ะ แล้วที่มีกระแสว่าเราจะมีงานในวันที่ 12 พฤศจิกายน ขอยืนยันว่ายังไม่ใช่นะคะ แต่คิดว่าน่าจะอยู่ใกล้ๆ ช่วงนั้น”
โย่ง : “ผมเองก็เคยเกริ่นไว้ว่าอยากจะแต่งงานภายในปีนี้ แต่ยังไม่ได้บอกวันที่แน่นอน ก็คงต้องรอดูอีกพักนึง”
ด้านสาว “ก้อย” บอก ตอนนี้พร้อมเป็นเจ้าสาวแล้ว หลังจากที่ต้องคอยดูแลแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม เผยช่วงเวลานี้เองที่ทำให้ตนรู้สึกไว้วางใจและตัดสินใจที่จะฝากชีวิตไว้กับอีกฝ่าย ด้านฝ่ายชายลั่น แต่งงานแล้วอยากมีลูกทันที และพร้อมดูแลให้แฟนสาวอยู่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว
ก้อย : “พร้อมเป็นจ้าสาวมั้ยก็คงต้องบอกว่าพร้อมค่ะ จริงๆ ตั้งแต่เราคบกันมาเราแฮปปี้มาโดยตลอด แต่ติดที่ก้อยเองที่ช่วงก่อนหน้านี้คุณแม่ก้อยไม่สบายเป็นมะเร็งเต้านม ก็ต้องดูแลรักษา แต่ช่วงนี้เป็นช่วงสุดท้ายที่จะให้เคมีบำบัดและเป็นช่วงที่คุณแม่ก้อยค่อนข้างที่จะอาการดีขึ้น และน่าจะหายในเร็วๆ นี้ ก็คิดว่าน่าจะเป็นอีกหนึ่งอย่างที่คุณโย่งตัดสินใจที่จะใช้ช่วงเวลานี้”
“ก้อยเองก็สนิทกับทางบ้านคุณโย่ง คุณแม่ท่านก็จะน่ารักทำกับข้าวให้ทานตลอด ส่วนคุณแม่ก้อยเองตอนนี้ป่วยอยู่ ท่านเองก็รักคุณโย่งมาก เพราะช่วงที่ท่านป่วย คุณโย่งเองก็ไปดูแล ไปนอนเฝ้า ก็ทำให้เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจกันช่วงนั้นด้วย ต้องบอกก่อนว่าคนที่คบกัน 2 คนช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะดูใจกัน คือช่วงเวลาที่แต่ละคนไม่ได้แฮปปี้ ที่ผ่านมามันเป็นช่วงเวลาที่ก้อยค่อนข้างเป็นกังวล จริงๆ แล้วเขาก็อยู่เคียงข้างเรามาตลอด ก็เลยรู้สึกว่าเขาก็น่าจะเป็นคนที่จะดูแลเราได้ต่อไป”
โย่ง : “ผมเองเคยคุยกับคุณก้อยคร่าวๆ ไว้ว่าถ้าเราต่างงานกัน ก็ขอมีลูกเลยนะ เพราะอยากมีลูกทันใช้ ผมอยากมีลูกไว้เป็นเพื่อน อีกอย่างก็ไม่อยากให้คุณก้อยเขาเหนื่อย อยากให้เขาอยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว ทุกวันนี้ผมเข้าใจว่าหลายๆ คนก็ต้องช่วยกันทำงาน แต่ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรเกินความสามารถผม ผมอยากให้เขาอยู่บ้านเฉยๆ มากกว่า ซึ่งคงไม่มีอะไรเกินความสามารถเขาเหมือนกันในการเลี้ยงลูก”
เผย แพลนจัดวิวาห์กลางแจ้ง บรรยากาศอบอุ่นไม่เน้นเอิกเกริก ส่วนเรื่องสินสอดฝ่ายหญิงเผยให้ความสำคัญเป็นเรื่องสุดท้าย ลั่น แค่ทุกวันนี้แฟนหนุ่มดูแลตนและครอบครัวของอย่างดี ก็เป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุดแล้ว
โย่ง : “ธีมงานก็ตั้งใจไว้ว่าอยากจะจัดงานกลางแจ้ง ก็เลยจะจัดปลายปีเพราะคิดว่าฝนคงจะไม่ตก เราเองคงไม่จัดให้มันเอิกเกริกมากนักด้วยความที่เราใช้ชีวิตกันแบบพอเพียง เราไม่ได้ต้องการให้การแต่งงานกลายเป็นค่านิยมที่ต้องใช้ของแพง ฟู่ฟ่า หรูหรา มาตัดเค้กอะไรพวกนี้ เราอยากให้มันเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นมากกว่าในแบบพี่น้อง เพื่อน และครอบครัว แล้วก็อาจจะมีคอนเสิร์ตเล็กๆ แต่คุณก้อยบอกว่าจะขี่ช้างเข้ามาในงาน แต่ผมว่ามันดูเอิกเกริกไปนิดนึง(หัวเราะ)”
ก้อย : “เรื่องสินสอดขอบอกก่อนเลยว่าก้อยไม่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ก้อยให้ความสำคัญน้อยที่สุดค่ะ อยากจะบอกว่า แค่ทุกวันนี้เขาดูแลเรา ดูแลคุณแม่ ดูแลครอบครัวก้อยเป็นอย่างดีก้อยก็แฮปปี้ที่สุดแล้วค่ะ เรื่องสินสอดเป็นเรื่องที่ก้อยไม่เคยสนใจค่ะ”