เดินทางมาถึงภาคสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนฮอกวอร์ตสกันไปแล้ว ท่ามกลางเสียงถอนใจของใครหลายๆ คนที่บอกว่า “เฮ้อ จบซะที” (555) หลังจากที่ต้องตามดูตามชมมาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปี นับตั้งแต่พ่อมดแฮร์รี่และผองเพื่อนยังตัวกระเปี๊ยก จนกระทั่งแต่ละคนเติบโตเป็นหนุ่มสาวสะพรั่ง แน่ละว่า ด้วยความที่เป็นภาคสุดท้าย ความคาดหวังในใจของคนดูผู้ชม ย่อมอยากจะเห็นการปิดฉากจบตำนานพ่อมดที่สมศักดิ์ศรีและอยู่ในใจไปตลอดกาล
หนังภาคจบของแฮร์รี่ พอตเตอร์ อย่าง 7.2 ยังคงอยู่ในการกำกับของเดวิด เยสท์ ที่เริ่มเข้ามารับบทบาทนี้ตั้งแต่ภาคที่ 6 ซึ่งตอนแรกนั้น ดูจะไม่เป็นที่ถูกตาต้องใจแฟนคลับพ่อมดแม่มดเท่าไรนัก อาจจะเพราะยังจับทางไม่ถูก และมุ่งมั่นแต่จะเดินตามต้นฉบับนวนิยายจนขาดไร้เอกลักษณ์ทางจินตนาการของตัวเอง
แต่ถึงกระนั้น ผมคิดว่าเดวิด เยทส์ นั้น ยอมรับและปรับเปลี่ยนจุดด้อยของตัวเองได้ เพราะพอถึงภาค 7.1 เสียงอึงคะนึงในด้านครหานินทา ก็พลิกกลับมาเป็นเสียงชื่นชม หลักๆ ก็คือว่า จากคนที่เคร่งเครียดในการ “เป๊ะ” กับต้นฉบับ เดวิด เยสท์ กล้าที่จะเปลี่ยน ปรับ และเติมแต่ง ให้เรื่องราวมีความสนุกในแบบของ “หนัง” ซึ่งแตกต่างไปจากต้นฉบับหนังสือ
ครับ, แน่นอนที่สุด ผมว่าฝีมือของเดวิด เยสท์ นั้น เราสามารถมองเห็นพัฒนาการได้ขึ้นมาอีกขีดขั้น ในภาค 7.2
สิ่งที่ผมรู้สึกชอบมากที่สุดสำหรับแฮร์รี่ พอตเตอร์ ภาคนี้ ก็คือ ความสามารถในการรักษาบรรยากาศและอารมณ์ของหนังให้ดูมีความลึกลับน่าค้นหา ซึ่งก็เหมาะกับการกุมปริศนาที่รอการเปิดเผยของเรื่องราว หนังไม่โฉ่งฉ่าง ไม่รีบเร่ง แต่ค่อยๆ พัฒนาอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครหลัก (แฮร์รี่ พอตเตอร์) ไปทีละเล็กทีละน้อย กับภารกิจในการค้นหาฮอครักซ์ที่เหลืออยู่
ผมว่า หนังภาคนี้ของเดวิด เยสท์ ดูจริงจังและมุ่งมั่นเอาการอยู่ ขนาดอารมณ์ขันที่เคยมีค่อนข้างมากในภาคที่แล้ว ก็น้อยลง ความสนุกของการดูแฮร์รี่ภาคจบ น่าจะอยู่ที่ความอยากรู้อยากเห็นและการร่วมเดินทางไปค้นหาปริศนาที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังของเรื่องราว
ขณะเดียวกัน ความแอ็กชั่นนั้น ก็มีการจัดวางจังหวะได้ดี หมายถึง มีแทรกแซมอยู่ตลอดทั้งเรื่อง พอไม่ให้เงื่องซึม แต่ถ้าจะถามความน่าเสียดาย ผมว่า มันยัง “ไม่ถึงใจ” เท่าที่ควร ยิ่งเมื่อหากย้อนกลับไปดู “ตัวอย่าง” ที่หนังปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ด้วยแล้ว จะยิ่งพบว่า ในตัวอย่าง มีเนื้อหาที่โน้มน้าวให้เราคาดหวังว่าหนังคงจะแอ็กชั่นกันสนั่นหวั่นไหวแน่นอน หรืออย่างน้อยๆ ฉากต่อสู้สุดท้าย น่าจะอลังการ แต่ที่สุดแล้ว เราก็ไม่ได้เห็นอะไรมากไปกว่าการใช้ไม้จี้ใส่กันจึ๊กสองจึ๊กแล้วก็จบ
ซึ่งว่ากันตามจริง องค์ประกอบของหนังนั้น หนุนส่งมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ลอร์ดโวลเดอร์มอร์ ขนพลพรรคนับพันนับหมื่นเข้าไปบุกฮ็อกวอร์ตส์นั้น ดูขึงขังจริงจัง น่าก่อเกิดฉากการต่อสู้ที่วินาศสันตะโรมาก แต่สุดท้าย ก็กลายเป็นการต่อสู้ก๊อกๆ แก๊กๆ ที่ปีดดีลด้วยไม้กายสิทธิ์ จบลงอย่างรวบรัดและรวดเร็ว
มองอย่างพยายามทำความเข้าใจ ผมคิดว่า ถ้าไม่ใช่เพราะห่วงงบประมาณในการเนรมิตฉากต่อสู้อลังการจะบานปลาย ก็อาจเป็นไปได้ว่า เดวิด เยสท์ นั้น ไม่มีเซ้นส์ในด้านการทำแอ็กชั่นที่เข้าขั้นเพียงพอ ผลลัพธ์ก็เลยออกมาอย่างที่เห็น คือ “มี” แบบพอให้มันผ่านๆ ไป
และในขณะที่บางคนอาจจะบ่นๆ กับเรื่องภาพสามมิติ สำหรับผม กลับรู้สึกว่าหนังทำออกมาได้ดีนะครับ แน่ล่ะ มันอาจจะไม่ใช่สามมิติตั้งแต่กระบวนการถ่ายทำ (เพราะหนังมาเติมเทคนิคใส่ทีหลัง) แต่ผมว่าภาพโดยรวม ดูสวย และมีความเป็นสามมิติที่มองเห็นได้ชัด ไม่ใช่ในแง่ของการทะลุจอ แต่ความลึกนั้น ผมว่าเจ๋งดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมดูในโรงไอแม็กซ์ที่ขนาดของจอใหญ่กว่าปกติด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกว่า มันน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นเป็นเท่าตัว (เฉพาะอย่างยิ่ง ภาพเหวนั้น ให้ความรู้สึกถึงความลึกของก้นเหวได้น่าหวาดเสียวมาก)
พูดกันอย่างถึงที่สุด มันอาจจะไม่มีสาระอะไรให้เก็บรับมากมายนัก เท่ากับได้รู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมด อย่างไรก็ดี ผมว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์ ภาคนี้ ก็เป็นการส่งท้ายที่ไม่ด้อยแต่อย่างใด แต่ที่ใครหลายๆ คนบอกว่า หนังเรื่องนี้จะไปไกลถึงออสการ์นั้น ผมว่า อาจจะเป็นความคิดที่ไกลเกินไปสำหรับหนังแฟนตาซีเรื่องนี้...