โดย อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
Facebook...teelao1979@hotmail.com
เดินทางมาถึงภาคที่สี่เป็นที่เรียบร้อยสำหรับ Pirates of the Caribbean หนังแฟรนไชส์ที่ต่อยอดมาจากเครื่องเล่นในสวนสนุกของดิสนี่ย์แลนด์ ซึ่งก็น่าจะทำให้แฟนๆ คลายความคิดถึงได้ไม่มากก็น้อย ถึงแม้ว่าในท้ายที่สุด ด้วยคุณภาพทั้งหมดมันอาจจะไม่ได้ดีมากมาย เมื่อเทียบกับแฟรนไชส์ในภาคที่ผ่านๆ มา
Pirates of the Caribbean ในภาค 4 ซึ่งมีชื่อว่า On Stranger Tides หนังยังคงใช้โจทย์แบบเดิม คือกำหนดภารกิจให้บรรดาตัวละครออกเดินทางค้นหาอะไรบางสิ่งเพื่อจุดมุ่งหมายบางประการ ขณะที่ในภาคนี้ สิ่งที่เหล่าโจรสลัดและตัวละครอีก 2-3 กลุ่ม ต้องผจญภัยไปค้นหา คือ “น้ำพุแห่งความเยาว์วัย” ซึ่งอยู่ไกลออกไปถึงดินแดนสเปน และในระหว่างทางก่อนจะไปยังจุดหมายแห่งนั้น ก็ต้องไปรวบรวมสิ่งของโน่นนี่ และพบผ่านสถานการณ์เสี่ยงๆ ตามสูตรของหนังแฟนตาซีผจญภัยสายพันธุ์โจรสลัดนี้
ในความเป็นหนังที่เน้นขายความสนุก ผมคิดว่า ไพเรทออฟเดอะแคริบเบี้ยนภาคนี้ก็ยังทำคะแนนได้ดีเป็นที่น่าพอใจ โอเคล่ะ แม้ว่าในส่วนลึก ผมจะยังนึกชอบผลงานการกำกับใน 3 ภาคแรกของ “กอร์ เวอร์บินสกี้” มากกว่าที่ “ร็อบ มาร์แชล” ทำ ทั้งนี้ เพราะรู้สึกว่า ความคมของมุกหรือลูกเล่นนั้น ภาคนี้ไม่ค่อยมีอะไรที่น่าจดจำนัก
คงคล้ายๆ กับที่เรือแบล็กเพิร์ลไม่ได้ออกมาแผลงฤทธิ์เดช ความหรูหราฟู่ฟ่าแห่งเทคนิคเอฟเฟคต์หรือเทคนิคซีจีอย่างที่เราได้เห็นในภาคก่อนๆ (อย่างเช่น หนวดและหน้าปลาหมึกอันอลังการ) ก็ไม่มีอะไรจะโชว์มากมายนัก ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่สะดุดตาบ้างก็คงเป็นแม่นางเงือกน้อยนั่นล่ะครับ หนังทำออกมาได้เนียนและดูดีมาก มันต่างจากนางเงือกที่ประเทศเราทำอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเหมือนเอากระดาษเงินกระดาษทองไปแปะๆ ตัวของนางเงือก อันนี้ไม่ได้ดูแคลนนะครับ เพียงแค่จะเปรียบเทียบให้เห็นภาพเท่านั้น เพราะถ้าเรามีเงิน มีงบ มีเครื่องมือดีๆ งานของเราก็อาจจะดีด้วยก็ได้ เพราะเรื่องแบบนี้ บางที มันก็ไม่ได้อยู่แค่ว่ามีฝีมืออย่างเดียว แต่อุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือต้องพร้อมด้วย
ขณะที่ความน่าตื่นตาตื่นใจของเทคนิคงานด้านภาพ ถูกลดทอนลงไปค่อนข้างเยอะ แต่ On Stranger Tides ก็ไม่มีข้อเสียหายในแง่ของการดำเนินเรื่อง การปูตัวละครมาจากหลากหลายทิศทางแล้วให้พวกเขามาเผชิญหน้ากันในตอนจบ หนังทำได้ดีและแบ่งพาร์ทให้แต่ละกลุ่มได้อย่างเท่าเทียม มีความสำคัญ ไม่มีใครหลุดออกไปจนเราลืม และเหนืออื่นใด ผมชอบปรัชญาที่หนังพยายามจะสื่อในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการให้อภัย การเสียสละ หรือแม้กระทั่งความเป็นอมตะของชีวิต
กัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ ในภาคนี้ อาจจะไม่ได้มีจังหวะประกาศวาทะเอกลักษณ์ อย่าง “จำไว้เลยว่า วันนี้ เกือบเป็นวันที่พวกเจ้าจับกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ ได้" แต่ถ้อยคำอย่าง "ชีวิตมีความหมายตรงไหนนายรู้ไหม? การไม่รู้วันตายของเราไงล่ะ เพราะชีวิตที่มีคำตอบในทุกเรื่องคงไร้ซึ่งความสนุก" ก็ทำให้กัปตันเรือแบล็กเพิร์ลคนนี้ดูดีมีราคาขึ้นมาอย่างมากมาย
“เพเนโลเป้ ครูซ” ที่เปิดตัวมาเป็นนักแสดงหน้าใหม่ของแฟรนไชส์ชุดนี้ กับบทบาทของ “แองเจลิกา” หญิงสาวที่จะมาลูบคมของกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ นั้น ไม่มีอันใดให้ต้องสงสัย (หลายคนอาจจะจับจ้องว่าจะได้เห็นอะไรวับๆ แวมๆ หรือเปล่า ก็ต้องบอกว่า นี่มันหนังครอบครัวครับ จะให้มาเปิดนู่นโชว์นี่ก็ดูกระไรอยู่) ผมชอบนักแสดงหญิงคนนี้และดูหนังที่เธอเล่นมาทุกเรื่อง และหวังว่าสักวันหนึ่ง เธอจะได้บทที่เหมาะสมกับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมกับเขาสักที หลังจากก่อนหน้านี้ เคยแต่ได้รางวัลในสาขานักแสดงสมทบหญิง
ส่วนบทบาทของจอห์นนี่ เด็ปป์ ก็ยังคงรักษาความเก๋าแห่งกัปตันเรือแบล็กเพิร์ลไว้ได้เป็นอย่างดี ที่คนส่วนมากติดหนังชุดนี้อย่างหนึ่ง ก็คงต้องบอกว่าเป็นเพราะบทของจอห์นนี่ เด็ปป์ นี่แหละครับ เรียกว่า แค่ได้ดูนักแสดงคนนี้ เดินง็อกๆ แง็กๆ กระด็อกกระแด็ก เอนซ้ายเอียงขวา ก็ฮาแล้วล่ะครับ
อย่างไรก็ดี ถ้าจะมีอะไรที่ติดขัดบ้าง ก็คงเป็นเสียงพากย์ไทยของกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ นั่นแหละครับ ปกติ ผมจะดูหนังซับไตเติ้ล แต่คราวนี้ ด้วยความรีบ และไม่มีรอบตามที่ต้องการ ก็เลยจำใจดูพากย์ไทย และในใจก็คิดนะครับว่า หนังฟอร์มเบิ้มขนาดนี้ ทีมพากย์ต้องปึ้กแน่ๆ แต่แล้วก็ต้องรู้สึกผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่พากย์เสียงกัปตันแจ็คนั้น ไม่ได้อารมณ์เอาซะเลยครับ
ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนพากย์ แต่ในความเข้าใจของผม น้ำเสียงของกัปตันแจ็ค ตามคาแร็กเตอร์ น่าจะออกไปในโทนที่เจ้าเล่ห์แสนกล ต้องล็อกแล่กเป็นเอกลักษณ์ แต่นี่น้ำเสียงที่พากย์ มองแง่ดี ผมว่ามันดูหล่อไป สุขุมไป นิ่งไป มองในแง่ร้าย ผมว่ามันฟังดู “อืดๆ เอื่อยๆ” ชีวิตชีวาไม่มี ฟังแล้วไม่รู้สึกหมอนี่มันจอมเจ้าเล่ห์เพทุบายเพียงไหน
ดูไปก็สงสารกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ ไปล่ะครับ เพราะต้นฉบับคาแร็กเตอร์เขาเจ๋งจะตาย แต่กลับถูกพี่ไทยเราเอามาพากย์ซะสิ้นลายกัปตันเรือแบล็กเพิร์ลผู้ยิ่งใหญ่กันไปเลย