xs
xsm
sm
md
lg

'ไม้หน้าสาม' กระหน่ำโล้นเสื่อม : ศพไม่เงียบ/อภินันท์

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


แม้จะเป็นหนังที่เข้าฉายตั้งแต่ช่วงต้นเดือน พร้อมกับกระแสตอบรับจากคนดูที่ไม่สู้ดีนัก หลายๆ คนอาจจะงุนงงสงสัยซะด้วยซ้ำไปครับว่า มีหนังชื่อนี้เข้าฉายด้วยเหรอ ซึ่งผมคิดว่า นี่เป็นโจทย์ที่ทางค่ายเอ็ม พิคเจอร์ส ซึ่งเพิ่งกระโดดเข้ามาสู่การเป็นผลิตภาพยนตร์ได้ไม่นาน จะต้องกลับไปทำการบ้านกันหน่อยว่า จะทำอย่างไรในการทำให้ผลงานของตัวเองเป็นที่รู้จักในวงกว้าง...กว้าง

กระนั้นก็ดี ผมคิดว่า มันก็ยังมีประเด็นบางประการที่น่าพูดถึงมากเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้อย่างน้อยก็หนึ่งประเด็น นั่นยังไม่ต้องนับรวมว่า “ศพไม่เงียบ” (Mindfulness of Murder) น่าจะเป็นผลงานที่ “เข้าท่า” ที่สุดแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับหนังไทยที่เข้าฉายในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้ง “ฮาศาสตร์” และ “หนังผี”

“ศพไม่เงียบ” เป็นผลงานการกำกับ “ทอม วอลเลอร์” ชื่อไม่คุ้นแน่นอนสำหรับคนดูหนังวงกว้าง แต่คนทำหนังลูกเสี้ยวไทย-อังกฤษ คนนี้ก็เคยทำหนังมาก่อนหน้าแล้วหนึ่งเรื่อง คือ Monk Dawson ขณะที่รับตำแหน่งโปรดิวเซอร์ให้กับอีกหลายต่อหลายเรื่อง เช่น Butterfly Man, Ghost of Mae Nak, The Elephant King, Soi Cowboy สังเกตว่า ผลงานที่เขามีส่วนร่วมส่วนใหญ่ ล้วนเกาะเกี่ยวกับสังคมไทยเราทั้งสิ้น ขณะที่หนังเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง “ศพไม่เงียบ” ก็เลาะเลียบตัวเองไปตามตะเข็บของเมืองไทยเช่นเดียวกัน เพียงแต่คราวนี้ สายตาของหนังโฟกัสสอดส่องมองเข้าไปในรั้ววัดวาอาราม สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ในความคิดของคนไทยชาวพุทธ

โดยพื้นฐานที่มาของ “ศพไม่เงียบ” นั้น ดัดแปลมาจากนิยายแนวสืบสวนสอบสวนของ “นิค วิลกัส” ตัวหนังบอกเล่าถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมในวัดแห่งหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งผู้ตาย เป็นเด็กไร้บ้านที่อยู่ในความอุปถัมภ์ของโครงการมูลนิธิซึ่งวัดทำขึ้นโดยการสนับสนุนทางการเงินของบุคคลภายนอก และอาจเพราะเป็นความตายของเด็กไร้หัวนอนปลายตีน ไร้ความสำคัญ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่ได้สนใจที่จะเข้ามาทำคดีนี้ แต่ “หลวงพ่ออนันดา” (วิทยา ปานศรีงาม) ผู้เป็นอดีตตำรวจสืบสวนมาก่อน กลับไม่เพิกเฉยที่จะปล่อยให้การตายอย่างมีเงื่อนงำนี้ผ่านไปอย่างลอยๆ ท่านจึงเริ่มต้นปฏิบัติการสืบล่าหาความจริงด้วยตนเอง

แต่ยิ่งสืบสาวราวเรื่องลึกลงไปเท่าไหร่ ท่านก็ยิ่งพบกับปมปริศนาที่ยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นเท่านั้น ขณะที่ตัวฆาตกรอาจจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งพระลูกวัด

ในความเป็นหนังนั้น ความรู้สึกของผมจริงๆ บอกว่า “ศพไม่เงียบ” เป็นหนังที่ผมชื่นชมคนตัดต่อ “ตัวอย่าง” ออกมาโปรโมตมากๆ ครับ ตัดต่อตัวอย่างได้เจ๋ง หรืออย่างน้อยที่สุด มันก็ทำให้ลูกค้าอย่างผมอยากดูขึ้นมาจับจิตตั้งแต่แรกเห็น

ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนต้นๆ ครับว่า นี่คือหนังที่ “เข้าท่า” ที่สุดในบรรดาหนังไทยครึ่งแรกของเดือนเมษายน ในแง่ที่หนังจัดวางตัวเองไว้ว่าเป็นแนวสืบสวนสอบสวน ก็ทำได้ชวนติดตามพอสมควร จับเกาะความอยากรู้อยากเห็นของคนดูที่อยากจะรู้ตัวฆาตกรได้ค่อนข้างดี แต่ถ้าจะมีสิ่งที่ต้องแสดงความคิดเห็นกันนิดหน่อย ผมก็จะบอกว่า หนังแบบนี้ “การหลอกล่อ” คนดูสำคัญมากเลยนะครับ คือหลอกล่อให้คนดูคิดไปทางโน้นทางนี้ พูดง่ายๆ คือปั่นหัวผู้ชมให้สับสนอลหม่าน ถ้าทำได้จะดีมาก แต่เท่าที่เห็น หนังทำหน้าที่เป็นเพียง “ผู้นำทาง” พาคนดูเดินไปข้างหน้าเพื่อคลี่ปมทีละเปลาะเท่านั้น

เทคนิคบางอย่างก็อย่าไปใช้ให้มันซ้ำซากหรือเยอะเกินไปก็ได้นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแฟลชแบ็กน่ะ เกือบๆ จะมาทุกๆ 5 หรือ 10 นาทีด้วยซ้ำ การแฟลชแบ็กแต่ละครั้ง มันต้องมี “ความหมาย” หรือความสำคัญต่อการคลี่คลายปมมากๆ ครับ ไม่ใช่ว่าแฟลชแบ็กไปแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรงอกเงยขึ้นมาเลย แล้วใช้มากเกินไป มันก็เฝือและออกจะหนักไปทาง “น่ารำคาญ” ซะอีกด้วย

ขณะเดียวกัน สรรพนามที่พระภิกษุในเรื่องใช้เรียกกันในเรื่องนั้น ก็ฟังดูห่างไกลจากโลกแห่งความเป็นจริงเหลือเกิน เพราะพระเมืองไทย เวลาเรียกขานกัน เขาก็เรียกชื่อเล่นกันธรรมดาๆ นี่แหละครับ เช่น พระเจี๊ยบ พระจ้อย หลวงตาคล้อย หลวงพี่คล้าว ไม่มีหรอกครับที่จะมาเรียกขานกันด้วย “ฉายา” (พระทุกรูปจะมี “ฉายา” ของตัวเอง เหมือนเป็น “นามสกุล” นั่นแหละครับ เช่น พระจ้อย ชยสาโร) แต่ในหนัง เรียกกันเป็นว่าเล่นเลย ท่านชยสาโร ท่านสัจจพาโล ท่านชุตินธโร ฟังแล้ว ชวนให้งุนงงเป็นยิ่งนักว่าใครเป็นใคร

ถ้าเป็นความตั้งใจของทีมงาน ก็อยากจะบอกว่า เป็นความตั้งใจที่ “ไม่ค่อยได้ใจ” เอาซะเลยครับ พวกคนชาติอื่นได้ยินได้ฟังแล้ว ก็อาจจะรู้สึกว่ามันแปลกดี Exotic ดี (เท่าๆ กับที่จะตื่นตาไปกับบรรยากาศภายในวัดไทย) แต่สำหรับคนในพื้นที่อย่างไทยพุทธเรา ฟังแล้ว ก็ให้รู้สึกแปลกๆ แปร่งๆ อย่างไรชอบกล เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก ก็เพราะมันไม่ใช่คำเรียกที่เราใช้สอยกันจริงๆ

แต่กระนั้น ที่พูดมาทั้งหมด ผมก็ไม่ได้บอกว่านี่เป็นหนังเลวนะครับ (หนังเลว ในความหมายของผม ไม่ใช่หนังชั่วร้าย แต่หมายถึงหนังห่วยๆ ดูไม่สนุก ไม่รู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป) ตรงกันข้าม “ศพไม่เงียบ” เป็นหนังที่ดูได้ แม้จะไม่สมกับที่คิดไว้ตอนดูตัวอย่าง แต่ก็ไม่ถือว่า “พลาดท่า” ที่เดินเข้าไปดู

พูดถึง “หนังชั่วร้าย” ก็มีหลายเสียงหลายคนเหมือนกันนะครับที่บอกว่า ต้องประณามหนังเรื่องนี้ โทษฐานที่นำเสนอเรื่องไม่ดีในวงการพระสงฆ์ “ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมเสีย มัวหมอง” ที่พูดแบบนี้ก็มีอยู่เยอะ ก็เป็นความคิดที่เลอะเทอะกันทั้งหมดนั่นแหละครับ เพราะผมดูแล้ว สังเกตสังกาเจตนาของผู้กำกับที่สื่อออกมาผ่านผลงานแล้ว ผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะจงใจบ่อนทำลายศาสนาพุทธอีตรงไหน

ในทางตรงกันข้าม ผมกลับมองว่า นี่เป็นอีกก้าวที่สำคัญมากกว่าสำหรับบ้านเมืองของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วงการสื่อ อย่างภาพยนตร์ ที่สามารถมีอิสระในการที่จะสืบค้นและตีแผ่ “สิ่งอันไม่พึงปรารถนา” ในแวดวงต่างๆ ออกมาได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งแวดวงพระสงฆ์

ใครที่เคยดู “นาคปรก” แล้วตกใจเป็นผีเข้า ผมขอบอกว่า “ศพไม่เงียบ” นี่ไปไกลกว่าหลายกิโลเลยล่ะครับ เพราะนอกจากเรื่อง “พระเก๊” ที่มีเหมือนกับนาคปรกแล้ว ยังมีพระใบ้หวย พระดูดวง พระสูบบุหรี่เต๊ะจุ๊ยยังกับนักเลงค้ายา ไปจนถึงพระตุ๊ดพระกะเทย และพวก “มารศาสนา” ที่มาอาศัยวัดวาอารามทำมาหากินโดยอ้างโครงการการกุศล สิ่งเหล่านี้มันนอกเหนือจากพุทธศาสน์ทั้งนั้นล่ะครับ แล้วมันก็มีแฝงอยู่ในวัดวาอารามที่เราเคารพศรัทธาอยู่ทุกวันนี้นั่นแหละ

หรือใครจะเถียง?

ผมชอบท่าทีของหนังที่แม้จะนำเสนอภาพ “ที่ไม่น่าเคารพนับถือ” ของพระสงฆ์องค์เจ้า แต่ก็ด้วยน้ำเสียงแบบ “ประโยคบอกเล่า” ซึ่งไม่ได้ตัดสินหรือทำให้ดูต่ำต้อยน่าเหยียดยาม คนดูต่างหากที่จะต้องกลับไปทบทวนเองว่า ภาพที่เห็นกับโลกแห่งความเป็นจริงนั้น มันห่างไกลหรือใกล้กันสักเพียงไหน

ขณะเดียวกัน หนังก็ส่งเสียงบอกด้วยความรู้สึกชื่นชมว่า ในขณะที่อะไรๆ มันดูเหมือนจะมีแต่ด้านที่เสื่อมทรามนั้น วงการพระสงฆ์ก็ยังมีบุคลากรที่มีคุณค่าน่ากราบไหว้ ผ่านตัวละครอย่างหลวงพ่ออนันดาที่แม้จะทำในสิ่งที่นอกเหนือจากกิจของสงฆ์ แต่ในขณะที่พระรูปอื่นๆ ไม่พากันทำอะไรสักอย่าง (ไม่เว้นแม้กระทั่งท่านเจ้าอาวาสที่ “แหย” เพราะกลัวจะสูญเสียอะไรบางอย่าง) การสืบสวนอันไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่ท่านกระทำ ก็เกิดจากเจตจำนงที่ดีงามและน่ายกย่องในความรับผิดชอบอันกล้าหาญ

แน่ล่ะว่า ในขณะที่ชาวพุทธคงจะปลื้มอกปลื้มใจไปกับวีรกรรมของศาสนิกรุ่นเด็กอย่าง “ไอ้แจ็ค” เด็กวัดผู้เป็นดังนักสืบคู่หูดูโอของหลวงพ่ออนันดา “ศพไม่เงียบ” ก็สะท้อนให้เห็นว่า ในบ้านนี้เมืองนี้ มันยังมีศาสนิกที่ใช้ไม่ได้อีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

ความเสื่อมของศาสนาที่หนังเรื่องนี้ฟาดไม้หน้าสามลงไปแสกหน้า มันจึงไม่ได้มาจากทิศทางเดียว คือ “พระเสื่อม” เท่านั้น หากแต่ศาสนิกอย่างเราๆ ท่านๆ หลายต่อหลายท่านนี่แหละ ที่ก็มีส่วนมากบ้างน้อยบ้างในการร่วมออกแรงรุมสะกรำบวรพุทธศาสนาให้มัวหมอง

จริงหรือไม่ ก็ถามใจตัวเองดูครับ!






กำลังโหลดความคิดเห็น