เพิ่งจะเขียนถึงรื่อง "อสมท." ไปเมื่อชิ้นที่แล้ว ก็มีเรื่องให้ผมอยากจะเขียนถึงองค์กรนี้อีกครั้ง
ต้องบอกว่าน่าสนใจไม่น้อยครับกับการออกมาให้สัมภาษณ์ของกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท อสมท. จำกัด อย่างนายธนวัฒน์ วันสม ถึงกรณีที่ "ไอ้ตู่" จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทยที่ได้ขึ้นไปปราศรัยบนเวที ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมาว่าตนก็อยากจะไปออกรายการ "วู้ดดี้เกิดมาคุย" บ้าง โดยบอกว่า...
“ส่วนที่อีกด้านนึงอย่างคุณจตุพรที่อยากจะมาออกรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยด้วยนั้น เรียนตามตรงว่าเราเป็นสื่อที่วางตัวเป็นกลางอยู่แล้วในด้านนี้ ถ้าจะมาเพราะประเด็นทางการเมืองในด้านใดด้านหนึ่งอาจจะไม่เหมาะสมนัก แต่ถ้าจะมาเพราะอยากเสนอแนวคิดที่มีความหลากหลายตรงนี้เราไม่ปิดกั้นครับ”
“สำนักข่าวไทยเรามีมาตรฐานในการนำเสนอข่าวให้ครอบคลุมทุกมุม ยืนยันว่าข้อมูลที่เรานำเสนอก็คงไม่มีการเซ็นเซอร์ตัดออกใดๆ ตัวผมไม่เคยไปสั่งห้ามลูกน้องห้ามคนนั้นคนนี้มาออก หรือปรับตรงนั้นตรงนี้ผมยืนยันได้เราไม่ปิดกั้นแน่นอน แต่ขอดูที่เจตนาและเนื้อหาแนวคิดที่ต้องการจะนำเสนอมากกว่าครับทางอสมท. นั้นไม่ปิดกั้น และพร้อมให้มาออกรายการได้ถ้าเนื้อหาไม่มีเจตนาร้ายแอบแฝง" (คลิกอ่าน ผอ.ช่อง 9 ไฟเขียว ยินดี "ตู่ จตุพร" อยากออก "วู้ดดี้ฯ"
ทันทีที่อ่านข่าวนี้จบ บอกตรงๆ เลยครับว่าอารมณ์ผมปรี๊ดขึ้นมาทันทีเป็นระยะเวลา 10 วินาทีด้วยกัน
จากนั้นจึงค่อยๆ ดึงสติกลับมา แล้วก็พร่ำบ่นบอกกับตนเองว่าคำพูดที่ท่านกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัทอสมท. ให้สัมภาษณ์ไปนั้นหาได้มีความหมายตามที่กล่าวแต่อย่างใด
เพราะอะไร?
เพราะทั้งท่านเองและคนส่วนใหญ่ย่อมจะรู้ดีว่าการพูดว่าอยากไปออกรายการวู้ดดี้ เกิดมาคุยของหนึ่งในแกนนำนปช.คนนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงประทานพระวโรกาสพิเศษให้สัมภาษณ์แก่รายการดังกล่าวนั้น คนพูดเองย่อมมีความหมายหรือเจตนาในการพูดเพื่ออะไร? คิดดีหรือไม่ดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์?
ต่อให้อมพระมาพูดผมยอมตกนรกครับที่จะไม่ขอเชื่อว่านี่เป็นการพูดด้วยความรักเคารพเทิดทูนสถาบัน
และครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเสียเมื่อไหร่ที่หนึ่งในแกนนำนปช. มีการพูดจาปราศรัยให้สัมภาษณ์พาดพิงเฉียดๆ ไปยังสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งยืนยันว่าผมเองไม่ได้ใส่ร้ายนะครับ เพราะมันได้ปรากฏเป็นข่าวออกมาหลายต่อหลายครั้ง
ผมเชื่อนะครับว่าอย่างไรเสียมันคงจะแทบเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปไม่ได้เลยที่ไอ้ตู่จะมีโอกาสไปออกรายการที่ว่านี้ และผมก็เชื่อด้วยว่าท่านกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท อสมท. จำกัด พูดด้วยความปรารถนาดีจริง เพียงแต่ผมรู้สึกว่าหากท่านมีความรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์จริงๆ การที่มีใครมาพูดกระแนะกระแหนประชดประชันไปถึงสถาบันฯ ให้ได้ยินมาเข้าหูในลักษณะเช่นนี้ อย่างน้อยๆ ท่านก็น่าจะแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นว่า เฮ้ย ฉันไม่ชอบใจเลยนะ ฉันไม่เห็นด้วยนะ
คือไม่ใช่ว่าท่านจะต้องมาแสดงด้วยท่าทีโมโหโกรธา เสียงดังโผงเผงโวยวายด่าทอเหมือนเวทีปราศรัยที่ไหนๆ เขาทำกัน หรือเวลาพูดถึงคุณจตุพรว่า "ไอ้ตู่" แบบคนหยาบคายอย่างผมหรอกครับ เพราะมันมีวิธีการให้สัมภาษณ์ การพูดอย่างอื่นที่ไม่จำเป็นต้องหยาบ เอะอะโวยวาย ขึงขัง แต่ขณะเดียวกันก็แสดงถึงความใจกว้าง เป็นกลาง ดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่สมกับฐานะของท่าน ที่สำคัญคือชี้ให้ให้เห็นถึงจุดยืนที่มีต่อสถาบันฯ ด้วย
เช่น อาจจะบอกว่า...ส่วนที่อีกด้านนึงอย่างคุณจตุพรที่อยากจะมาออกรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยด้วยนั้น ผมเองไม่มีหน้าที่ตัดสินใจ ต้องแล้วแต่ทีมงานของรายการ แต่ถ้าถามผมโดยส่วนตัวผมว่าคงจะไม่เหมาะเป็นอย่างมาดด้วยเหตุผลซึ่งผมคิดว่าหลายคนคงรู้ดีว่าเพราะอะไร...แค่นี้ก็พอ จะดีกว่ามั้ยครับ
ไม่ใช่มาทำเป็นพูดในลักษณะอวดความใจใหญ่ ความเป็นคนกลางของตัวเองพร้อมกันนั้นก็เป็นการให้ราคาค่างวดกับคนพรรค์อย่างนี้ไปอย่างไม่รู้ตัว ผ่านคำพูด เช่น มาได้ถ้ามาเสนออยากเสนอแนวคิดที่มีความหลากหลาย-จตุพรเนี่ยนะ / มาออกรายการได้ถ้าไม่พูดเรื่องที่เป็นประเด็นทางการเมืองทางด้านใดด้านหนึ่ง-รู้ก็รู้อยู่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย / พร้อมให้มาออกรายการได้ถ้าเนื้อหาไม่มีเจตนาร้ายแอบแฝง-แค่อ้าปากว่าอยากมาออกรายการเจตนามันดีนักนี่?
ว่าไปแล้วก็คงจะเป็นเพราะด้วยบทบาทรวมถึงตำแหน่งที่นั่งอยู่นั่นเองที่ทำให้ท่านกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท อสมท. ต้องให้สัมภาษณ์ในลักษณะดังกล่าว เนื่องจากอาจจะกลัวว่าจะถูกตำหนิหาว่าไม่เป็นกลาง เป็นพวกที่แบ่งแยก เข้าข้างสีโน่นนู่นนี่
ระยะหลังๆ มีผู้ใหญ่หลายคนในบ้านเรามักจะเป็นเช่นนี้ครับ คือจะพูดจะอะไรก็เกรงว่าจะถูกลากไปอยู่สีโน่นนั่นนี่
อย่าโกรธกันนะครับที่ว่าบางครั้งผมเองก็รู้สึกว่าน่ารำคาญอยู่เหมือนกัน
แต่ทั้งนี้อะไรก็เท่ากับคนบางคนที่ตัดสินคนอื่นด้วยเหตุผลเรื่อง "สี" อย่างเดียวเลย ประมาณว่า มันคิดอย่างนั้นเพราะมันเป็นสีนั้น มันพูดอย่างนี้เพราะมันเป็นสีนี้ มันทำอย่างโน้นเพราะมันเป็นสีโน้น หรือไม่ก็ เพราะมันสีนั้นมันเลยคิดแบบนั้น เพราะมันสีนี้มันเลยพูดอย่างนี้ เพราะมันสีโน้นมันเลยทำแบบโน้น...ฯ โดยไม่มองหรือพิจารณาเลยว่าสิ่งที่คนนั้นคิด สิ่งที่คนนี้พูด และสิ่งที่คนนั้นทำมันดีไม่ดี เพราะอะไร? ควรไม่ควร อย่างไร? หรือเหมาะหรือไม่เหมาะ เช่นไร?
จะเกิดประโยชน์มากกว่ามั้ยครับ หากเราจะพากันมองข้ามเรื่อง "สี" แล้วพิจารณากันด้วยเหตุและผลจริงๆ ในสิ่งที่แต่ละคนได้กระทำลงไป?
เห็นด้วยไม่เห็นด้วยแสดงความคิดเห็นได้เลยครับ
ต้องบอกว่าน่าสนใจไม่น้อยครับกับการออกมาให้สัมภาษณ์ของกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท อสมท. จำกัด อย่างนายธนวัฒน์ วันสม ถึงกรณีที่ "ไอ้ตู่" จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทยที่ได้ขึ้นไปปราศรัยบนเวที ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมาว่าตนก็อยากจะไปออกรายการ "วู้ดดี้เกิดมาคุย" บ้าง โดยบอกว่า...
“ส่วนที่อีกด้านนึงอย่างคุณจตุพรที่อยากจะมาออกรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยด้วยนั้น เรียนตามตรงว่าเราเป็นสื่อที่วางตัวเป็นกลางอยู่แล้วในด้านนี้ ถ้าจะมาเพราะประเด็นทางการเมืองในด้านใดด้านหนึ่งอาจจะไม่เหมาะสมนัก แต่ถ้าจะมาเพราะอยากเสนอแนวคิดที่มีความหลากหลายตรงนี้เราไม่ปิดกั้นครับ”
“สำนักข่าวไทยเรามีมาตรฐานในการนำเสนอข่าวให้ครอบคลุมทุกมุม ยืนยันว่าข้อมูลที่เรานำเสนอก็คงไม่มีการเซ็นเซอร์ตัดออกใดๆ ตัวผมไม่เคยไปสั่งห้ามลูกน้องห้ามคนนั้นคนนี้มาออก หรือปรับตรงนั้นตรงนี้ผมยืนยันได้เราไม่ปิดกั้นแน่นอน แต่ขอดูที่เจตนาและเนื้อหาแนวคิดที่ต้องการจะนำเสนอมากกว่าครับทางอสมท. นั้นไม่ปิดกั้น และพร้อมให้มาออกรายการได้ถ้าเนื้อหาไม่มีเจตนาร้ายแอบแฝง" (คลิกอ่าน ผอ.ช่อง 9 ไฟเขียว ยินดี "ตู่ จตุพร" อยากออก "วู้ดดี้ฯ"
ทันทีที่อ่านข่าวนี้จบ บอกตรงๆ เลยครับว่าอารมณ์ผมปรี๊ดขึ้นมาทันทีเป็นระยะเวลา 10 วินาทีด้วยกัน
จากนั้นจึงค่อยๆ ดึงสติกลับมา แล้วก็พร่ำบ่นบอกกับตนเองว่าคำพูดที่ท่านกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัทอสมท. ให้สัมภาษณ์ไปนั้นหาได้มีความหมายตามที่กล่าวแต่อย่างใด
เพราะอะไร?
เพราะทั้งท่านเองและคนส่วนใหญ่ย่อมจะรู้ดีว่าการพูดว่าอยากไปออกรายการวู้ดดี้ เกิดมาคุยของหนึ่งในแกนนำนปช.คนนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงประทานพระวโรกาสพิเศษให้สัมภาษณ์แก่รายการดังกล่าวนั้น คนพูดเองย่อมมีความหมายหรือเจตนาในการพูดเพื่ออะไร? คิดดีหรือไม่ดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์?
ต่อให้อมพระมาพูดผมยอมตกนรกครับที่จะไม่ขอเชื่อว่านี่เป็นการพูดด้วยความรักเคารพเทิดทูนสถาบัน
และครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเสียเมื่อไหร่ที่หนึ่งในแกนนำนปช. มีการพูดจาปราศรัยให้สัมภาษณ์พาดพิงเฉียดๆ ไปยังสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งยืนยันว่าผมเองไม่ได้ใส่ร้ายนะครับ เพราะมันได้ปรากฏเป็นข่าวออกมาหลายต่อหลายครั้ง
ผมเชื่อนะครับว่าอย่างไรเสียมันคงจะแทบเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปไม่ได้เลยที่ไอ้ตู่จะมีโอกาสไปออกรายการที่ว่านี้ และผมก็เชื่อด้วยว่าท่านกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท อสมท. จำกัด พูดด้วยความปรารถนาดีจริง เพียงแต่ผมรู้สึกว่าหากท่านมีความรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์จริงๆ การที่มีใครมาพูดกระแนะกระแหนประชดประชันไปถึงสถาบันฯ ให้ได้ยินมาเข้าหูในลักษณะเช่นนี้ อย่างน้อยๆ ท่านก็น่าจะแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นว่า เฮ้ย ฉันไม่ชอบใจเลยนะ ฉันไม่เห็นด้วยนะ
คือไม่ใช่ว่าท่านจะต้องมาแสดงด้วยท่าทีโมโหโกรธา เสียงดังโผงเผงโวยวายด่าทอเหมือนเวทีปราศรัยที่ไหนๆ เขาทำกัน หรือเวลาพูดถึงคุณจตุพรว่า "ไอ้ตู่" แบบคนหยาบคายอย่างผมหรอกครับ เพราะมันมีวิธีการให้สัมภาษณ์ การพูดอย่างอื่นที่ไม่จำเป็นต้องหยาบ เอะอะโวยวาย ขึงขัง แต่ขณะเดียวกันก็แสดงถึงความใจกว้าง เป็นกลาง ดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่สมกับฐานะของท่าน ที่สำคัญคือชี้ให้ให้เห็นถึงจุดยืนที่มีต่อสถาบันฯ ด้วย
เช่น อาจจะบอกว่า...ส่วนที่อีกด้านนึงอย่างคุณจตุพรที่อยากจะมาออกรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยด้วยนั้น ผมเองไม่มีหน้าที่ตัดสินใจ ต้องแล้วแต่ทีมงานของรายการ แต่ถ้าถามผมโดยส่วนตัวผมว่าคงจะไม่เหมาะเป็นอย่างมาดด้วยเหตุผลซึ่งผมคิดว่าหลายคนคงรู้ดีว่าเพราะอะไร...แค่นี้ก็พอ จะดีกว่ามั้ยครับ
ไม่ใช่มาทำเป็นพูดในลักษณะอวดความใจใหญ่ ความเป็นคนกลางของตัวเองพร้อมกันนั้นก็เป็นการให้ราคาค่างวดกับคนพรรค์อย่างนี้ไปอย่างไม่รู้ตัว ผ่านคำพูด เช่น มาได้ถ้ามาเสนออยากเสนอแนวคิดที่มีความหลากหลาย-จตุพรเนี่ยนะ / มาออกรายการได้ถ้าไม่พูดเรื่องที่เป็นประเด็นทางการเมืองทางด้านใดด้านหนึ่ง-รู้ก็รู้อยู่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย / พร้อมให้มาออกรายการได้ถ้าเนื้อหาไม่มีเจตนาร้ายแอบแฝง-แค่อ้าปากว่าอยากมาออกรายการเจตนามันดีนักนี่?
ว่าไปแล้วก็คงจะเป็นเพราะด้วยบทบาทรวมถึงตำแหน่งที่นั่งอยู่นั่นเองที่ทำให้ท่านกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท อสมท. ต้องให้สัมภาษณ์ในลักษณะดังกล่าว เนื่องจากอาจจะกลัวว่าจะถูกตำหนิหาว่าไม่เป็นกลาง เป็นพวกที่แบ่งแยก เข้าข้างสีโน่นนู่นนี่
ระยะหลังๆ มีผู้ใหญ่หลายคนในบ้านเรามักจะเป็นเช่นนี้ครับ คือจะพูดจะอะไรก็เกรงว่าจะถูกลากไปอยู่สีโน่นนั่นนี่
อย่าโกรธกันนะครับที่ว่าบางครั้งผมเองก็รู้สึกว่าน่ารำคาญอยู่เหมือนกัน
แต่ทั้งนี้อะไรก็เท่ากับคนบางคนที่ตัดสินคนอื่นด้วยเหตุผลเรื่อง "สี" อย่างเดียวเลย ประมาณว่า มันคิดอย่างนั้นเพราะมันเป็นสีนั้น มันพูดอย่างนี้เพราะมันเป็นสีนี้ มันทำอย่างโน้นเพราะมันเป็นสีโน้น หรือไม่ก็ เพราะมันสีนั้นมันเลยคิดแบบนั้น เพราะมันสีนี้มันเลยพูดอย่างนี้ เพราะมันสีโน้นมันเลยทำแบบโน้น...ฯ โดยไม่มองหรือพิจารณาเลยว่าสิ่งที่คนนั้นคิด สิ่งที่คนนี้พูด และสิ่งที่คนนั้นทำมันดีไม่ดี เพราะอะไร? ควรไม่ควร อย่างไร? หรือเหมาะหรือไม่เหมาะ เช่นไร?
จะเกิดประโยชน์มากกว่ามั้ยครับ หากเราจะพากันมองข้ามเรื่อง "สี" แล้วพิจารณากันด้วยเหตุและผลจริงๆ ในสิ่งที่แต่ละคนได้กระทำลงไป?
เห็นด้วยไม่เห็นด้วยแสดงความคิดเห็นได้เลยครับ