โดย เวสารัช โทณผลิน
แรกเห็นลายเส้นพร้อมเรื่องราวในช่องสี่เหลี่ยมที่ชื่อ hesheit ของนักเขียนการ์ตูนชาวไทย 'วิศุทธิ์ พรนิมิตร' ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ด้วยความที่ไม่เคยเห็นสิ่งที่สังคมไทยเรียกขานว่า 'การ์ตูน' ของใครจะมีลายเส้นดิบเถื่อนขนาดนี้ ตัวหนังสือบางวรรคตอนถูกขีดฆ่าด้วยปากกาซะดื้อๆ ไม่มีการใช้สีขาวป้ายทับตามวิธีที่นักเขียนการ์ตูนส่วนใหญ่นิยมปฏิบัติ แต่สิ่งที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือ ผมรู้สึกสนุกอย่างประหลาดเมื่ออ่านจบ มารู้ตัวอีกทีก็พลิกเปิดอ่านการ์ตูนของเขาเป็นลำดับแรกทุกครั้งที่ซื้อนิตยสารเล่มนั้น
ผ่านมาหลายปี วิศุทธิ์กลายเป็นนักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดคนหนึ่ง เขามีผลงานอยู่ในนิตยสาร a day มีผลงานรวมเล่ม(หลายเล่ม) สร้างเรื่องสั้น เรื่องยาว และคาแรกเตอร์ตัวละครเป็นที่จดจำพร้อมทั้งเนื้อหาลุ่มลึกที่เจือเคล้าไปด้วยปรัชญาการดำเนินชีวิตที่ต้องหยุดคิดทุกครั้งที่อ่านจบ เขาเดินทางไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น กลายเป็นการ์ตูนนิสต์ชื่อดังและเป็นชาวไทยคนแรกที่มีผลงานรวมเล่มตีพิมพ์ที่ประเทศซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของมังงะ
ลายเส้นของวิศุทธิ์ทำให้ผมนึกถึงการ์ตูนของตัวเอง ผมจำไม่ได้ว่าวางปากกาไปตั้งแต่เมื่อใด คลับคล้ายคลับคลาว่าห่างหายไปจากการขีดเขียนเมื่อเดินก้าวเข้ามาสู่วัยที่พบว่าสังคมยกย่องภาพเขียนที่สมจริง และหัวเราะเยาะใส่หน้าของผู้ใหญ่ที่ยังมีลายเส้นการ์ตูนขยุกขยุยเหมือนเด็กประถม
การ์ตูนของวิศุทธิ์ทำให้ผมหยุดก้าวชั่วขณะแล้วเอื้อมไปจับมือเด็กผู้ชายที่ได้ปล่อยให้เขานั่งอยู่ในมุมมืดของอดีตกาลให้กลับมาร่วมทางกันอีกครั้ง ผมกลับมาใช้ปากกาวาดการ์ตูนซึ่งยังมีลายเส้นที่ไม่ต่างจากสมัยประถมอีกครั้งตามแต่วาระโอกาสจะอำนวย เรื่องของวิศุทธิ์ เสี้ยวชีวิตของผม สอดคล้องต้องตรงกับภาพสะท้อนที่ 'ฮิวจ์ แมคลาวด์' นักวาดการ์ตูนที่ดังที่สุดในโลกอินเทอร์เน็ตเวลานี้สื่อออกมาในหนังสือของเขาที่ชื่อ Ignore Everybody
แมคลาวด์อาจจะตั้งชื่อหนังสือรุนแรงเกินสภาวะความรู้สึกของเขาไปสักนิด แต่หากคิดอีกมุมหนึ่ง เขาอาจจะต้องการกระตุกเตือนให้ผู้คนในสังคมค้นหาตัวเองให้พบ เพื่อที่จะได้เลิกเดินตามก้นคนอื่น และยุติการฟังเสียงสังคมส่วนใหญ่ที่มักจะตบหัวให้เราเข้าไปนั่งแหยอยู่ในคอกเล็กๆ แล้วกลับมาหาตัวตนที่แท้จริงซึ่งคุณอาจจะปล่อยให้เขานั่งอยู่ในซอกอดีตอันมืดมนเหมือนผมก็เป็นได้
หนังสือของแมคลาวด์นำเสนอมุมมอง(หรือวิธีคิด) จำนวน 40 บทที่รวบรวมมาจาก gapingvoid.comบล็อคส่วนตัวของเขาที่มีผู้เข้าไปเยี่ยมชมเป็นจำนวนกว่าล้านคน และนั่นก็ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาจากการเป็นบล็อคเกอร์ที่ดิ้นรนหาช่องทางในการผ่องถ่ายพลังความคิดสร้างสรรค์ที่อัดแน่นอยู่ในหัวของเขา เขาใช้เวลาว่างในบาร์ใกล้ที่พักเพียงลำพัง ดื่มเบียร์แก้วโต หยิบนามบัตรที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาขีดเขียนภาพการ์ตูนอะไรไปเรื่อยเปื่อย
แล้วแมคลาวด์ก็พบว่าเขารู้สึกสนุกเพลิดเพลินกับสิ่งที่กำลังทำยิ่งกว่าการทำงานประจำเสียอีก!!
แมคลาวด์ไม่ได้คิดถึงเรื่องการค้าขาย ไม่ได้ต้องการเงินทองของมีค่าหรือลาภยศใดใดจากการเขียนการ์ตูนหลังนามบัตร เขาเพียงแต่ต้องการจะระบายอะไรบางอย่างที่อยู่ในหัวด้วยการวาดการ์ตูนและใช้ถ้อยคำสื่อสะท้อน แต่แล้วภาพหลังนามบัตรจำนวนเกือบหมื่นใบที่เขาทุ่มเวลาให้กับมันก็กลายมาเป็นธุรกิจที่ทำเงินพร้อมสร้างชื่อเสียงให้แก่เขาอย่างมหาศาลในเวลาต่อมา
การ์ตูนนิสต์รายนี้เริ่มต้นหนังสือของเขาด้วยบทที่บอกว่า "อย่าฟังความเห็นของผู้อื่น" ซึ่งต่างไปจากวิธีปฏิบัติของคนส่วนใหญ่ในสังคมที่แม้จะย้อมสีผมก็ยังต้องถามความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานว่าเหมาะกับหล่อนไหม(ซึ่งหมายความว่าคุณคิดอย่างไรกับสีผมของชั้น)
ผมเข้าใจเหตุผลของแมคลาวด์ เขาบอกว่าคนที่รู้จักตัวของเราดีที่สุดก็คือตัวของเรา หากเพียงแค่เราสนใจที่จะรับฟังและสังเกตตัวเองสักหน่อย เราก็จะกลายเป็นเราอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่หุ่นมนุษย์ที่ออกมาจากสายพานการผลิตของโรงงานที่ชื่อสังคมส่วนใหญ่
Ignore Everybody หรือที่ใช้ชื่อภาษาไทยซึ่งขายความเป็น How to แบบสุดโต่ง(จนไม่น่าสนใจ)ว่า 'มองมุมกลับ ลับคมความคิด' อาจจะเป็นเพียงหนังสือ "บอกวิธีทำ" ที่ฮิตอย่างถล่มทลายในตลาดหนังสือแค่เพียงเล่มหนึ่ง เพราะหลายวิธีที่บรรจุอยู่ในนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกคุณทั้งหลายรู้กันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การทำงานให้หนัก , ให้เวลากับงานนั้น, ใช้ชีวิตอย่างสมถะ, มองโลกในแง่ดี สร้างโอกาสด้วยตัวเอง หรือทำทุกอย่างให้เรียบง่าย
แต่บางมุมมองก็ชวนให้หยุดคิด ทั้งการแนะนำให้ยึดงานประจำเอาไว้พร้อมๆ กับการสร้างสรรค์งานที่คุณหลงใหลไปด้วย เพื่อที่จะไม่ต้องกดดันตัวเองให้เบ่งคลอดงานเหล่านั้นออกมาเพียงเพราะไม่มีจะกิน หรือการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบแล้วภูมิใจที่จะร้องเพลงด้วย "เสียงของตัวเอง" ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้เห็นด้วยคล้อยตามกับทุกแนวความคิดของแมคลาวด์ แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็ทำให้ผมได้กลับมาทบทวนชีวิตของตัวเองและนั่นคือประโยชน์สูงสุดที่คุณจะได้รับจากการอ่านหนังสือเล่มนี้
การทำงานก็เช่นเดียวกับความรักและอีกหลายร้อยหลายพันเรื่องราวที่เราต้องพบเจอนั่นคือมันไม่มี 'สูตรสำเร็จ' ทัศนคติในการทำงานซึ่งหลอมรวมมาเป็นทัศนคติในการใช้ชีวิตของแมคลาวด์อาจจะใช้ได้กับเขาและคนบางคน แต่อาจจะไม่เข้าท่าเลยสำหรับอีกหลายหมื่นล้านคนบนโลกใบนี้ก็ได้ แต่ถึงอย่างไรในความคิดเห็นส่วนตัวผมก็ยังเห็นพ้องตามทัศนคติส่วนใหญ่ของเขา โดยเฉพาะทัศนคติในภาพการ์ตูนหลังนามบัตรที่ปรากฏอยู่ในหน้าแรกๆ ของหนังสือเล่มนี้
ภาพลายเส้นยึกยือที่เป็นเอกลักษณ์ของแมคลาวด์มีตัวหนังสือเขียนกำกับเอาไว้ว่า "ข้อเสียของการเกิดเป็นแกะคือความเบื่อหน่าย ข้อเสียของการเกิดเป็นหมาป่าคือความโดดเดี่ยว พิจารณาเสียให้รอบคอบก่อนจะเลือกเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง"
ผมขอเสริมด้วยถ้อยคำของตัวเองเพื่อปิดท้ายแนวคิดของแมคลาวด์ หลังประโยคที่ว่า "ข้อเสียของการเกิดเป็นหมาป่าคือความโดดเดี่ยว" ก่อนประโยค “พิจารณาเสียให้รอบคอบก่อนจะเลือกเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง" ด้วยคำว่า "และในโลกแห่งความเป็นจริงก็คือ หมาป่ากินแกะ"
"วาดรูปหลังนามบัตรด้วยลายเส้นยึกยือแล้วเอาตัวหนังสือเท่ๆ มาประกอบแบบนี้ ชั้นก็ทำได้" คุ้นๆ ไหมครับ ถ้อยคำแบบนี้ ไม่ว่าคุณจะได้ยินได้ฟังหรือเป็นผู้กล่าวประโยคเหล่านั้นขึ้นมาเอง แต่ผมเชื่อว่ามนุษย์สายพันธ์ "ไม่เห็นเข้าท่าเลย แค่นี้ชั้นก็ทำได้" อยู่แวดล้อมใกล้ๆ ตัวคุณนั่นแหล่ะ
หากคุณเป็นผู้ที่ได้ยินถ้อยคำในลักษณะนั้น ก็ขอให้ยิ้มรับด้วยอารมณ์แจ่มใสแล้วเลือกฟังเสียงเดียวที่ดังอยู่ในหัวใจของตัวเอง แต่หากคุณเป็นผู้กล่าวมันเสียเอง สิ่งเดียวที่ผมจะบอกแก่คุณในฐานะที่คุณคิดว่าคุณทำได้ก็คือ
"หยุดบ่น แล้วทำซะ"
…................................................
ชื่อหนังสือ : Ignore Everybody / มองมุมกลับลับคมความคิด
ผู้เขียน : ฮิวจ์ แมคลาวด์
ผู้แปล : อาสยา ฐกัดกุล
สำนักพิมพ์ WeLEARN