หลังจากไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นักกับหนังเอเลี่ยนบุกโลกอย่างเรื่อง “กระดื๊บ” จีทีเอชก็ปล่อยหมัดเด็ดหมัดใหม่ออกมาเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนว่าเป็นหมัดที่ค่อนข้างจะ “เข้าเป้า” อย่างที่หวัง เพราะนับเวลาเพียง 4 วันที่เข้าฉาย “Suck Seed ห่วยขั้นเทพ” ก็เก็บรายได้เข้ากระเป๋าไปเรียบร้อยแล้วกว่า 20 ล้าน ซึ่งมองตาเดียวก็รู้ว่า ตัวเลขรายรับคงไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่ๆ แต่จะไปถึง 100 ล้านหรือไม่นั้น ผมว่าเป็นโจทย์ที่จีทีเอชอาจจะต้องเร่งหาวิธีการทำให้หนังอยู่ในกระแสและอยู่ในโรงไปอีกสักพัก
ตัวหนังมีดีขนาดนี้ อย่ายอมแพ้ง่ายๆ ครับ เพราะแม้แต่หนังรักวัยรุ่นอย่าง “เลิฟจุลินทรีย์” ที่เข้าฉายไปก่อนหน้า ผมถามสิบคนก็บ่นออดๆ แอดๆ เหมือนกันว่า “ไม่สนุกเอาซะเลย” ยังทำรายได้ไปร่วมๆ 50 ล้าน
ทำไม ผมจึงพูดแบบนั้น?
สั้นๆ ตรงนี้ก่อนเลยครับว่า ด้วยคุณภาพของ Suck Seed นั้น สมควรที่จะ Succeed ด้านรายได้ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็คือ หนังมีองค์ประกอบดีๆ ที่หนังวัยรุ่นดีๆ เรื่องหนึ่งจะพึงมี ไม่ว่าจะเป็นความตลกขบขันสนุกสนานเฮฮาตามประสาวัยสะรุ่น ไปจนถึงเนื้อหาเรื่องราวที่ชวนให้รู้สึก “ซึ้งๆ” พอดีพองาม
เนื้อเรื่องหลักๆ ของ Suck Seed นั้นเกาะเกี่ยวอยู่กับวัยรุ่นชายสามคนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนชั้นประถม คนแรก คือ “เป็ด” (เก้า-จิรายุ ละอองมณี) เด็กหนุ่มที่ไม่ชอบฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก ในความเข้าใจของเขา เพลงเร็วเรียกเพลงร็อก ส่วนเพลงช้าคือเพลงรัก และเพลงไทยก็มีอยู่สองประเภท คือเพลงอาร์เอสกับเพลงแกรมมี่
คนที่สอง...“คุ้ง” (พชร จิราธิวัฒน์) คนโก๊ะๆ กังๆ แต่ทว่าเป็นผู้นำเทรนด์ในกลุ่มเพื่อน เพราะไม่ว่าอะไรจะฮิต เขาเป็นรู้จักหมด ไม่ว่าจะเป็น เกมส์แฟมิคอม โรลเลอร์เบลด ตู้สติ๊กเกอร์ เกมส์เต้น โฟโต้ฮันท์ ฯลฯ แต่ถึงกระนั้น เราควรเรียกว่า “บ่าง” มากกว่า เพราะถึงแม้จะได้เล่นอะไรต่อมิอะไรมาเยอะแยะ แต่ก็ไม่เอาอ่าวเลยสักอย่าง ตรงกันข้ามกับน้องชายฝาแฝดอย่าง “เค” ที่กลายเป็นเทพกีตาร์ประจำโรงเรียนไปแล้ว
ส่วนคนสุดท้าย คือ “เอ็กซ์” (ธวัช พรรัตนประเสริฐ) เหมือนๆ จะเป็นตัวประกอบที่ไม่ค่อยมีบทบาทอะไรนัก แต่ก็เป็นคนประเภทที่ “ไปไหนไปกัน” ราวกับมีเลือดสุพรรณอยู่ในตัว ไม่เรื่องมาก ไม่พูดปาก เพื่อนชวนไปไหน ก็เอากับเขาด้วย
ด้วยการดีไซน์ตัวละครออกมาแบบนี้ ต้องบอกว่าเป็นความเข้าอกเข้าใจแบบ “อ่านขาด” ของจีทีเอชเขาล่ะครับ เพราะชีวิตวัยรุ่นวัยเรียนก็เป็นแบบนี้ เพื่อนฝูงที่หลากหลายบุคลิก แต่ละคนก็มีความน่าจดจำในแบบของตัวเอง และไม่แปลกใจที่บางคนเดินออกมาจากโรงหนังแล้วจะบอกว่า นึกถึงชีวิตวัยเรียนตอนเป็นวัยรุ่น หรือนึกถึงเพื่อนๆ สมัยละอ่อน
เรื่องแบบนี้ ก็เป็นทางถนัดของจีทีเอชเขาล่ะครับ ก็นับตั้งแต่ผลงานแรกๆ อย่าง “แฟนฉัน” นั่นก็รู้ และจะว่าไป มองในเชิงเนื้อหาคุณภาพงาน Suck Seed ก็ถือว่าเป็นหนังสูตรสไตล์แฟนฉันเต็มรูปแบบ นั่นก็คือ ขายความรู้สึกดีๆ ที่คิดว่าคนดูจะรู้สึกดีด้วย ขณะเดียวกัน ก็มีบรรยากาศกลิ่นอายแบบ “วันวาน” (Nostalgia) ไม่ต่างจาก “แฟนฉัน” เพียงแต่เป็น “แฟนฉัน” ที่ผูกพันทั้งเวอร์ชั่นประถม-มัธยม พร้อมๆ กับมี “เพื่อนผม” ผสมมาด้วย (“แฟนฉัน” อาจจะมี “เพื่อนผม” ในวัยเยาว์เหมือนกัน แต่หนังขับเน้นประเด็นสำคัญที่ “รักแรก” มากกว่า)
เรื่องราวของหนังที่จะเล่นกับความรู้สึกของคนดูนั้น แยกพาร์ทออกเป็นสองส่วนหลักๆ ก่อนจะผลักให้เรื่องราวทั้งสองพาร์ทพาดผ่านมา หนึ่งคือกลุ่มเพื่อนสามสหายที่ว่ามา ซึ่งหลังจากที่ไม่เอาอ่าวมาแล้วกับหลายสิ่งหลายอย่าง พวกเขาก็หันหน้าเข้าหาการตั้งวงดนตรีร่วมกัน ในนามวง “Suck Seed” โดยมีความฝันอันสูงสุด คือการเข้าประกวดบนเวที Hot Wave Music Award
คุณเดาถูกแล้วล่ะครับว่า การรวมตัวกันคราวนี้ มันไม่ต่างอะไรกันเลยกับ “เป็ดมาเจอบ่าง” และวง Suck Seed ก็ดูจะเป็นศูนย์กลางแห่งความห่วยไปอย่างไม่เหนือความคาดหมาย
อย่างไรก็ดี ในขณะที่เรื่องราวของสามสหายแสนห่วยดำเนินไปท่ามกลางความเฮฮานั้น หนังก็มีเรื่องราวของตัวละครอีกตัวหนึ่งตีคู่ไปข้างๆ ไม่โฉ่งฉ่าง แต่ก็รับรู้รู้สึกได้ถึงความสำคัญที่เธอมีต่อเนื้อหาเรื่องราว นั่นก็คือ “เอิญ” (ณัฐชา นวลแจ่ม) ลูกสาวเจ้าของร้านขายเทปเพลง เธอเป็นเพื่อนเรียนชั้นประถมกับสามสหาย แต่โยกย้ายไปอยู่ที่อื่น ก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมความน่ารักและฝีมือกีตาร์ขั้นเซียนจนกระทั่งเพื่อนพ้องวงซัคซี้ดต้องรีบจูงแขนให้มาร่วมวงด้วย (โดยไม่ถามเจ้าตัวเขาก่อนเลยว่าเขาอยากจะเข้าร่วมด้วยหรือเปล่า ฮา)
ไม่สำคัญว่า เมื่อตัวห่วยมาพบกับตัวจริง มันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือว่า ทั้ง “เป็ด” “คุ้ง” และ “เอ็กซ์” อาจจะเป็น “เมล็ดพันธุ์ห่วยแตก” (Suck Seed) สำหรับหนังก็จริงอยู่ แต่ผู้กำกับหน้าใหม่ “ชยนพ บุญประกอบ” นั้น ไม่ห่วยแน่ๆ สำหรับการเปิดตัวครั้งแรกใต้ชายคาจีทีเอช
หนังมีองค์ประกอบทุกอย่างในความเป็นหนังวัยรุ่น อย่างที่บอก ความสนุกของเนื้อเรื่องนั้น คืออันดับหนึ่ง ขณะที่บรรยากาศที่โอบล้อมหนังทั้งเรื่องก็คือความมีชีวิตชีวาสมวัย โดยมีเนื้อหาสาระรองรับอย่างไม่หนักมาก แต่ก็สะท้อนความรู้สึกนึกคิดในวันวัยแบบนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมของความเป็นเพื่อน มิตรภาพที่ถูกท้าทายด้วยความขัดแย้ง, ความคิดฝัน อยากเอาชนะ อยากพิสูจน์ตัวเอง ไปจนถึงความรักแบบ Puppy Love ที่สุดท้ายก็เกี่ยวข้องโยงใยไปถึงประเด็นมิตรภาพ
ในส่วนของบทภาพยนตร์ จึงไม่มีอะไรต้องกังวล แม้จะดูเหมือนว่า มันมีประเด็นอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด แต่สุดท้าย หนังก็สามารถคุมโทนเนื้อหาให้อยู่ในกรอบโอวาทของคำสามคำอย่างจับต้องสัมผัสได้ นั่นก็คือ “มิตรภาพ ความรัก และความฝัน”
ส่วนสไตล์หรือวิธีการนั้น หนังก็หยิบยืมเอาสไตล์ของการ์ตูนมาใช้ได้ดูเท่เก๋ไก๋ แต่ที่มันทำให้หนังดูมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น ก็คงเป็นเรื่องของการผูกยึดตัวเองไว้กับยุคสมัย (คร่าวๆ คงราวๆ 10 กว่าปีก่อน หรือน้อย/มาก กว่านั้นไม่เท่าไหร่) โดยมีศิลปินที่โด่งดังในยุคนั้นเป็นดั่งตัวแทน และเป็นไอดอลของหลายๆ คน รวมถึงเด็กวัยรุ่นที่ไม่เอาอ่าวอย่างสมาชิกวงซัคซี้ดนั้นด้วย
ผมชอบจังหวะในการ “ใส่” ศิลปินดังๆ เหล่านั้นลงไปในหนัง ซึ่งถือว่าทำได้เกือบ “เนียน” ทั้งหมด เพราะไม่ได้ใส่เข้ามาทื่อๆ แต่เหมือนพวกเขาลอยมาในความนึกคิดของเด็กๆ เท่านั้น (ก็คล้ายกับที่เรานึกถึงเพลงๆ ไหน แล้วภาพของศิลปินเจ้าของเพลงก็มักจะพ่วงมากับเพลงนั้นด้วยนั่นแหละครับ) แต่มีที่ไม่เนียนหน่อยๆ ก็ตอนที่เด็กวัยรุ่นเหล่านั้นทะเล่อทะล่าเข้าไปในเวทีซ้อมของวงบอดี้สแลม ซึ่งมันดู “จงใจ” เกินไป แต่ก็ยังดีที่ในจังหวะนั้น มีมุกตลก (โดยเฉพาะ เจ้าเอ็กซ์ที่ถูกลากไปกับพื้น) เข้ามากลบเกลื่อน จึงทำให้พอลืมเลือนหรือมองข้ามจุดนี้ไปได้ แต่ถ้าถามว่า “การมา” ของใครเจ๋งสุด แน่นอน คงไม่มีใครเกิน “บร๊ะเจ้า” อย่างโจ๊ก โซคูล ไปได้
ผมเคยพูดในรายการ Viewfinder ทางช่องซูเปอร์บันเทิงไว้ว่า ถ้า Suck Seed เป็นการสมคบคิด (หรือผ่านกระบวนการคิดและประชุมมาอย่างดี) ระหว่างแกรมมี่กับจีทีเอช ซึ่งจริงๆ ก็เหมือนค่ายเดียวกัน โดยการนำศิลปินที่เคยโด่งดังมาใส่ไว้ในหนังด้วย เป็นการโปรโมตไปในตัว
คือถ้าจะหาเรื่อง ผมก็หาเรื่องได้ตลอดแหละครับ (ฮาฮา) เพราะพูดยังไง ผมก็ไม่เชื่อว่า มันไม่มี “วาระซ่อนเร้น” อยู่ในหนังเรื่องนี้หรอก (แม่นบ่ แกรมมี่ & จีทีเอช??) เราๆ ท่านๆ มันก็มีจิตวิญญาณแห่ง “เซลล์” (Sell) ด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่า ใครจะมีทักษะในการเซลล์แข็งแรงกว่าใคร แต่ยี่ห้อจีทีเอชนั้น ไม่เคยปล่อยไก่อยู่แล้วในเรื่อง “ขายของ”
ดังนั้น ต่อให้ “ห่วยขั้นเทพ” เป็นการขายพ่วง ก็เป็นการขายพ่วง ที่ไม่ทำให้คนดูรู้สึกแย่แต่อย่างใด เพราะหลักๆ ตัวหนังยังมีน้ำหนักในตัวเอง มีเรื่องราวของตัวเอง ถึงจะมีศิลปิน มีเพลง แต่เพลงและศิลปินก็เป็นเพียงตัวประกอบ
น่าศึกษานะครับว่า เวลาที่ “เซลล์ขั้นเทพ” เขาทำงานกัน ผลลัพธ์ที่ดีนั้น มันต้องออกมาเป็นเช่นที่เห็นนี้แหละครับ