xs
xsm
sm
md
lg

ฮักนะ สารคาม : กด Like ให้ 130 บาท/อภินันท์

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


ผมชอบหนังเรื่องนี้ครับ

ขึ้นต้นง่ายๆ แบบนี้กันไปเลย เพราะไม่อยากจะอารัมภบทพรรณนาอะไรให้มากความ

รักก็บอกว่ารัก ชอบก็บอกว่าชอบ แต่ก็ใช่ว่าจะชอบแบบไร้เหตุผล หรือรักแบบไม่มีเหตุผล เพราะอย่างนั้น มันจะดูไร้สาระไปสักหน่อย

ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่อง “รักไม่มีเหตุผล” ผมว่าคนจะรักกันชอบกัน มันต้องมีเหตุปัจจัยกันบ้างล่ะ อย่างน้อยก็หนึ่งอย่างสองอย่าง และสำหรับหนังเรื่องนี้ ผมว่าก็มีเหตุผลตั้งหลายอย่างที่ทำให้ผมบอก “ชอบ”

ครับ, นี่เป็นผลงานการกำกับของคนทำหนังที่ชื่อของเขาอาจไม่คุ้นหูคนดูหนังในวงกว้างสักเท่าไหร่ แต่ “ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์” เป็นที่รู้จักดีในแวดวงของคนดูหนังนอกกระแส แต่อันที่จริง เขาทำงานในวงการบันเทิงมาหลายปีแล้ว ทั้งแสดงละครฟรีทีวี เขียนบทหนัง ทำหนังสั้น แล้วค่อยๆ ขยับมากำกับหนังยาว แต่เป็นหนังยาวที่ไม่ได้เข้าฉายในโรงทั่วไป ผลงานของเขาที่โด่งดังมากในยุทธจักรของหนังนอกกระแส ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ก็คือ Insects in the Backyard ที่ได้ข่าวว่า เป็นหนังที่ถูกสั่งห้ามฉายในประเทศกันเลยทีเดียว

ใครอยากรู้รายละเอียด คงต้องไปหาอ่านข่าวย้อนหลังดูครับ

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนดูหนังในวงกว้าง บางคน อาจจะเคยชื่อของผู้กำกับคนนี้แว้บๆ ในตอนที่เขาได้ร่วมงานกับคนทำหนังมือฉมังในด้านความเร็ว (คิดเร็ว ถ่ายเร็ว ฉายเร็ว ปานจรวดอาร์พีจี ทันใจคุณผู้ชม) อย่างพจน์ อานนท์ เรื่อง “ตายโหง” หนังสั้นสี่ตอน ซึ่งธัญญ์วาริน รับหน้าที่กำกับในตอนที่ชื่อว่า “ศพแท็งก์น้ำ”

ตอนนั้น ผมดูแล้วก็ยังรู้สึกเฉยๆ กับผลงานของแกนะครับ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าด้วยเวลาที่จำกัด ก็เลยส่งผลให้ธัญญ์วารินยังปล่อยของได้ไม่เต็มที่ ทั้งที่จะว่ากันตามจริง เวลาเขาทำหนังนอกกระแสซึ่งไม่ต้องอิงกับความชอบของมวลชน ผู้คนที่ติดตามหนังนอกกระแส ต่างก็พากันชื่นชมผลงานเขาเป็นส่วนมาก ผมเคยดูบ้าง หนังสั้นของเขาบางเรื่อง ก็รู้สึกว่า เขาเป็นคนที่มีไอเดียดี
ทีนี้ พอได้ข่าวว่า เขาจะมาทำหนังฉายโรงเต็มเรื่อง โชว์เดี่ยวอย่างเต็มรูปแบบ ผมก็คิดว่า เขาจะทำมันออกมาอย่างไร คนทำหนังแนวๆ (แนวไหนก็ไม่รู้นะ เห็นเขาพูดกัน แล้วเข้าใจกันได้ ผมก็พูดไปงั้น) มาทำหนังตลาดจ๋า ผลลัพธ์ออกมาจะเป็นยังไง

แต่ที่ว่าจะอาร์ตจะแนวนั้น คงไม่มีแน่ครับ เพราะอย่างน้อยที่สุด หนังตัวอย่างที่โปรโมต ก็บอกเป็นนัยๆ แล้วว่า นี่คงเป็นหนังที่ดูง่ายๆ ไม่ต้องตีลังกาสามตลบแล้วขบคิด ถึงจะเก็ต

สรุปก็คือ ดูง่ายจริงๆ ครับ

ภาพรวมทั้งหมด ผมว่าหนังมีความกลมกล่อมลงตัว ผสมผสานระหว่างอารมณ์ขันกับความเป็นดราม่าซึ้งๆ ได้พอเหมาะพอดี ขณะที่การจัดวางจังหวะของอารมณ์ 2 อารมณ์นี้ ก็ได้จังหวะจะโคน ขณะที่หนังพยายามจะเล่าเรื่องความรักซึ่งเป็นเรื่องหลักที่อยากจะสื่อสาร หนังก็เปลี่ยนคนดูไปสู่อารมณ์ขันเป็นพักๆ ผมอยากเรียกว่าเป็นการ “เว้นวรรค” ที่เวิร์กดี

อธิบายเป็นภาพง่ายๆ ก็คือ ถ้าเรื่องความรักเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่ง หนังก็หยิบอารมณ์ขันแต้มจุดลงไปเป็นระยะๆ บนเส้นตรงเส้นนั้น แบบไม่ทิ้งระยะห่างกันมาก ผมว่ามันทำให้คนดูหนังไม่เบื่อดีนะครับ ก็อย่างที่เขาบอก หนังรัก มันต้องมีตลก อันนี้จริงครับ

โดยเฉพาะหนังรักที่เรียกตัวเองว่า “โรแมนติก-คอมิดี้”

คุณตุ๊กกี้ เคยดูดีมาแล้วกับบทบาทในหนังเรื่อง “สุดเขตเสลดเป็ด” ในเรื่องนี้ เธอก็ยิ่งดูดีขึ้นไปอีก กับมุกตลกที่ไม่หยาบคาย ไม่ก้าวร้าว ไม่น่าเกลียด และทำให้เราเข้าใจว่า ดาราตลก จะเป็นอย่างไร บางที ก็ขึ้นอยู่กับผู้กำกับด้วยนะครับว่า จะทำให้ภาพของพวกเขาออกมาดูดีหรือดูแย่

ขณะเดียวกัน ผมว่า ส่วนที่มาเติมเต็มความขำความฮาได้เป็นอย่างดี ก็คือ คุณสมคิด สุขเอิบ กับบทบาทกะเทยร่างยักษ์ มิตรสหายข้างกายเจ๊อุบล (ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน) สองคนนี้ออกฉากร่วมกันตอนไหน เป็นได้ฮากันตอนนั้น มุกตลกส่วนใหญ่ก็ไม่แป้ก ไม่โหล อย่างเช่น “กะเทยเป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดไปเอง” ผมชอบมาก มุกนี้ ไม่ได้จะว่าอะไร “ผู้ชายนะยะ” นะครับ แต่ถ้อยคำมันเข้ากับบริบทของหนัง ณ ขณะนั้นอย่างลงตัวพอดี

จังหวะของมุกตลก แม่นยำมาก

ในฝั่งฟากของอารมณ์ดราม่า ก็ไม่น้อยไปกว่ากัน

และที่สำคัญ มันมีทั้งดราม่าความรัก และดราม่าแบบชีวิตๆ แล้วสองส่วนนี้ก็เกี่ยวโยงสัมพันธ์กัน


“เทพ” (ธันวา สุริยะจักร) เป็นนักศึกษาหนุ่มแห่งคณะสถาปัตยกรรม ด้วยความที่หน้าตาหล่อเหลา ก็ทำให้เขาเป็นที่นิยมของหญิงสาว แต่ลึกๆ เขาก็มีปมในใจบางอย่างที่ไม่กล้าจะเปิดเผยให้ใครรู้ อาจจะเพราะความอายหรืออย่างไรไม่แน่ใจ แต่สุดท้าย เขาก็พยายามเก็บงำมันไว้เป็นความลับ

ในจุดนี้ ผมว่าหนังแตกประเด็นเนื้อหาได้ดี เพราะในขณะที่จะเล่าเรื่องรักของหนุ่มหล่อ ประเด็นที่ดีก็แทรกตัวขึ้นมา ซึ่งว่าด้วยเรื่องของความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่ว่าพื้นฐานรากเหง้าของเราจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องยอมรับมันให้ได้ ไม่ใช่ลืมกำพืด ลืมตัวเอง หนังก็จะอย่างนั้นนะครับ ผมว่า

อย่างไรก็ตาม เรื่องความรักในหนังไม่ได้มีเพียงคู่เดียว เพราะนอกจากเรื่องรักของหนุ่มมหา’ลัยอย่างที่ว่ามาแล้ว ก็ยังมีเรื่องรักของวัยรุ่นมัธยมซึ่งค่อยๆ บ่มเพาะกลายเป็นรักสามเส้า ระหว่าง “มุก” (สุมลนาถ คำหว่าน) กับ “ภูมิ” (ประภัทรพงศ์ ประสิทธิพงศ์) โดยมี “แก่น” (วิภู งามเนตร) เป็นมือที่สามแทรกเข้ามา

สิ่งที่ผมรู้สึกว่าหนังทำได้ค่อนข้างดีก็คือว่า ที่สุดแล้ว หนังไม่ได้ใส่เรื่องรักของวัยรุ่นเข้ามาแบบลอยๆ หากแต่เนื้อหาของมันยังเกาะยึดอยู่กับประเด็นซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรื่องราวในส่วนของ “เทพ” เพราะสุดท้าย คนดูก็จะรู้สึกเช่นเดียวกันว่า คนเรานั้น บางที ก็ไม่จำเป็นต้องคิดว่าจะทำอะไรเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าทำอย่างอื่นได้ด้วยแล้วมันไม่เสียหาย ก็สามารถที่จะทำได้ เหมือนกับ “หมอทองแป้น” (คนนี้มีตัวตนอยู่จริง และเคยออกรายการ “ฅนค้นฅน”) ที่ในด้านหนึ่ง เป็น “หมอ” รักษาคนไข้ในโรงพยาบาลจริงๆ แต่ก็ยังเจียดเวลามาใส่ใจกับสิ่งที่เป็นความรักความฝันของตนเองด้วยการเล่น “หมอลำ”

แน่นอนครับ เรื่อง “หมอลำ” ก็เป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นที่หนังนำเสนอเคียงคู่ไปกับเนื้อเรื่องหลักได้ดี คนที่เป็นคอหมอลำ ก็จะได้ฟังกลอนลำเพราะๆ จากในหนังด้วย ขณะที่นักแสดงเกือบทุกคนก็เว้าอีสานกันอย่างคล่องแคล่วถูกสำเนียง ไม่มีเพี้ยน ใครอยากฟังคุณมิลค์-ภาวิณี วิริยะชัยกิจ (นางเอกหน้าหวานจากหนัง "ฝันโคตรๆ") เว้าอีสานได้ม่วนหูเพียงใด ต้องไปดูกันครับ

“ฮักนะ สารคาม” ไม่ใช่หนังที่นำเสนอความเป็นจังหวัดมหาสารคามแบบโดดๆ สิ่งที่เห็นทั้งหมดในหนังก็ไม่ได้บอกว่านี่คืออัตลักษณ์เฉพาะของจังหวัดมหาสารคาม แต่มันคือความเป็นอีสาน วัฒนธรรมอีสานทั้งหมด ขณะที่ภาพของความเป็น ม.สารคาม ก็ไม่ได้ถูกยกขึ้นมาให้เป็นประเด็นใหญ่ในหนัง

ที่พูดแบบนี้ เพราะในรายการ Viewfinder ทองช่องซูเปอร์บันเทิง ถามผมว่า ถ้าไม่ใช่เด็ก ม.สารคาม หรือคนสารคาม จะดูหนังเรื่องนี้สนุกไหมหรือเข้าใจเข้าถึงหรือเปล่า ตอบง่ายๆ อย่าได้วอรี่ และจะไม่มีเก๊กซิมเสียใจแน่นอน และตามวัฒนธรรมของรายการ Viewfinder ที่ผมจะถูกถามว่าให้คะแนนหนังเท่าไหร่ โดยใช้ราคาค่าตั๋วเป็นตัวตั้ง

ผมดูหนังเรื่องนี้ในราคา 140 บาท ความคุ้มค่าที่ได้กลับมาก็ 130 บาท

ถามว่าขาดไปไหนสิบบาท


จุดหลักๆ ก็คงเป็นเนื้อหาของตัวละครมือที่สามซึ่งแทรกขึ้นมาในความรักระหว่างมุกกับภูมินั่นแหละครับ ผมรู้สึกว่า หนังทำให้เขาดู “หล่อ” เกินจริงไปสักหน่อย โดยเฉพาะเรื่องการชกต่อยอะไรนั่น แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังรู้สึกดีกับตัวละครตัวนี้นะครับ เพียงแต่เห็นว่า หนังน่าจะหาเหตุผลหรือ “เรื่อง” อื่นๆ ที่มันดูน่าเชื่อมากกว่านี้ ไม่ต้องหล่อมากก็ได้ นะ.

ขณะเดียวกัน ผมว่าบางที หนังก็ดูจะล้นๆ เกินๆ บางอันในส่วนรายละเอียดซึ่งบางอย่าง ไม่ต้องใส่เข้ามาเยอะก็ได้ อย่างเช่น ส่วนที่เกี่ยวกับหัวหน้าร้านอาหารที่ “แก่น” ไปทำงานอยู่ ผมรู้สึกว่ามันเยอะเกินไป และเพราะเหตุนี้ มันจึงทำให้หนังเสียเวลาไปพอสมควร แทนที่จะใช้ส่วนนี้มาเล่าเรื่องความรักให้เต็มที่

ด้วยเหตุนี้ ความรู้สึกตอนที่ดูหนังจบ ผมจึงรู้สึกเหมือนกับว่า หนังจบแบบไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก พูดภาษาง่ายๆ คือ ยังไม่อิ่มเท่าที่ควร เข้าใจว่าหนังคงถูกบีบด้วยเรื่องของเวลา สุดท้าย ก็เลยต้อง “ปาหมอน” อย่างที่เห็น

แต่จบแบบคนดูอึ้งไปอย่างงั้น ไม่รู้ว่าจะทิ้งปมไว้ทำภาคสองต่อหรือเปล่า อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ







กำลังโหลดความคิดเห็น