xs
xsm
sm
md
lg

"เอกกี้" กับสิ่งที่ฉันเป็น?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มนุษย์เราโดยธรรมชาติเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง สิ่งอยากรู้อยากเห็นนั้น หลายเรื่องก็หาใช่สิ่งที่สำคัญและจำเป็น

หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งบางครั้งบางคราเราเองไม่จำเป็นที่จะต้องไปรับรู้ในสิ่งที่เขาเป็นก็ได้

เนื่องจากสาระสำคัญมันอยู่ในสิ่งที่เขาทำต่างหาก

...
"ตอนเด็กๆ เรียบร้อยมาก แม่บอกว่าวางไว้ที่ไหนก็จะอยู่แต่ตรงนั้น จะไม่ไปไหน..." น้ำเสียงร่าเริงสดใสของ "เอกกี้ เอกชัย" บอกเล่าแบบสรุปถึงนิสัยวัยเด็กของตนเอง โดยตัวเขาเป็นน้องคนที่สองในบรรดาจำนวนพี่น้องทั้งหมด 5 คนของตระกูล "เอื้อสังคมเศรษฐ์" (พี่สาว/น้องสาว และน้องชายฝาแฝด)

หากไม่ใช่คนในแวดวงวงการบันเทิงอาจจะเกิดความสงสัยว่าแล้ว เอกกี้ คนนี้เป็นใคร?

ย้อนกลับไปเมื่อพ.ศ. 2537 เชื่อว่าหลายคนคงจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับ 6 หนุ่มวัยรุ่นหน้าใสในนามของ "ยูเอชที" บอยแบนด์ยุคบุกเบิกของบ้านเรา

เอกกี้ คือ 1 ใน 6 ของสมาชิก ที่เหลือประกอบไปด้วย ภูธเนศ หงษ์มานพ (กัปตัน), รัฐศาสตร์ กรสูต (เปปเปอร์), อัลเบิร์ต เดมอน, วุฒิสิทธิ์ สืบสุวรรณ (เต็ม) และเอกภพ จันทรังษี (ไก่)

"มาเป็นสมาชิกยูเอชทีได้อย่างไร สมัครครับ(หัวเราะ) คือเอาเทปเดโมแล้วเดินมาที่แกรมมี่ฯ เลย ซึ่งพอดีเขามีโปรเจ็กต์ที่จะทำบอยแบนด์อยู่ เป็นบอยแบนด์วงแรกของแกรมมี่ ตอนแรกเขาก็ฟังเสียงแล้วก็ลองไปออกรายการเกมฮ็อต เพลงฮิต พอแต่งหน้า แต่งตัว ก็เลยดูมีแวว"

"จากนั้นก็ได้เข้าเทสต์เสียงเป็นจริงเป็นจัง เทสต์เสียง เทสต์ภาพ แล้ววันนั้นทางผู้ใหญ่เขาประชุมกันอยู่ ก็เลยเอาวีดีโอที่เทสต์ตรงนี้ขึ้นไปให้ดูเลย พอดูเสร็จผู้ใหญ่ก็บอกรอแป๊ปนึงนะ แล้วเขาก็ลงมาบอกว่าพร้อมเซ็นสัญญาเลยไหม โอ้..โห พร้อมสิครับ"

"ไม่พร้อมได้ไง แกรมมี่ฯ นะ (หัวเราะ) จริงๆ อยากเป็นนักร้องตั้งแต่เด็กแล้วครับ มารู้ตัวว่าชอบร้องเพลงตั้งแต่ ม.1 ก็ร้องมาเรื่อยๆ ฝึกเองมาตลอดเลย จนม.5 ม.6 ถึงจะมีโอกาส"

ยุคนั้น สมัยนั้น ต้องบอกว่ายูเอชทีดังมากนับตั้งแต่งานอัลบั้มชุดแรก "ดูดีดีนะเพื่อน" ที่ถูกส่งออกมา ก่อนทั้งหมดจะตกลงแยกย้ายกันไป และกลับมารวมตัวกันอีกครั้งพร้อมมีอัลบั้มออกมาอีก 2 ชุด 2 U (2546), Red Message (2547)

"คือดังนะ โอเค (หัวเราะ) ตอนนั้นเราเด็ก เราไม่รู้ไง ทำงานสนุกสนานไปเรื่อยเปื่อย บางทีมีงานทุกวัน ก็น่าจะดังนะช่วงนั้น ก็เป็นล้านนะ ใช่ได้อยู่

"ซึ่งตลอด 2-3 ปีที่เรามีอัลบั้มแรก อัลบั้มเดี่ยวเต็มๆ เรารับคอนเสิร์ตตลอด ถ่ายรายการ มีซิทคอม มีอัลบั้มพิเศษ ทั้ง UHT ซัมเมอร์ไทม์ หกสองสิบสอง คือตลอดสองปีนี้มันทำงานมาตลอดนะ ประมาณ 90% ที่ทำงาน อีก 10% ได้หยุดบ้าง"

"เราก็เลยมีความรู้สึกว่ามานั่งคุยกันเหนื่อยกันไปไหม งานเยอะขนาดนี้ ยังเด็กอยู่เลย แล้วต่างคนก็ต้องเรียนด้วย เอาเวลาไปค้นหาตัวเอง ไปเรียนก่อนไหม ก็เลยหยุด หยุดไป 6 ปีก่อนแล้วค่อยกลับมา นี่ก็หยุดไปอีก 6-7 ปีแล้ว แต่ทุกวันนี้แฟนๆ ก็ยังเหนียวแน่นอยู่นะ"

ปัจจุบันเอกกี้มีอาชีพหลักคือเป็นดีเจอารมณ์ดีให้กับคลื่นกรีนเวฟ 106.5 พิธีกรรายการ The Star/Five iive/คนมันๆ รวมถึงรับงานแสดง ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าในระยะหลังๆ นี้ ลักษณะท่าทาง ตลอดจนการพูดการจาของเขานั้นดูจะเปลี่ยนไป มีความสดใส ร่างเริง รื่นฤดี เยอะขึ้นทีเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่เขาเป็นสมาชิกหนุ่มคนหนึ่งของวงยูเอชที

"ออกอาการอะไร (หัวเราะ) ก็ไม่ได้ยอมรับขนาดนั้น เป็นคนสนุกสนานร่าเริง ก็ทำไป ก็ดูๆ กันไป ไม่จำเป็นต้องมาออกจากปากเรา เราก็เรื่อยเปื่อย ก็เป็นงานของเรา แต่ก็มาทางนี้ เราก็สนุกสนาน หลั่นล้า คือไม่เปิด ไม่ปิด เป็นคนตลกมากกว่า"

ว่ากันว่าคนเรากว่าจะค้นพบว่าตัวเองก็ต้องให้เวลาเป็นตัวตัดสิน ซึ่งเขาคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น..."ตั้งแต่ The star4 มั้ง คือโมเม้นท์ตรงนั้นเราเป็นอย่างนั้น โมเม้นท์ตรงนี้เราเป็นอย่างนี้ แล้วมันค่อยๆ พัฒนา ค่อยๆ ปรับตัวเข้ามา โดยที่เราไม่ได้ฝืนมันไง ถ้าบางอย่างมันฝืนมันก็ไม่ใช่ ถูกเปล่า เราไม่ได้อยู่ดีๆ แล้วเปิดตู้มเลย"

"อย่างที่หลายๆ คนทราบ The star4 ปีของแก้ม ก็อยู่บนเวที มีแซวไปแซวมา ก็เลยเป็น ทอร์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ตั้งแต่วันนั้นที่โดนแซวตลอด แล้วเราก็หลังๆ สนุกมากขึ้น เป็นดีเจก็สนุกมากขึ้น เป็นพิธีกร งานอีเว้นท์ เราก็รู้สึกว่าจะไปทางไหน หลายๆ อย่าง ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมมาทางนี้"

ถามจริงๆ ว่า เทียบกับเมื่อก่อนสบายใจมากขึ้น?
"โอ๊ย..ที่สุด (หัวเราะ) คนรอบข้างแปลกใจไหม? ไม่นะ เพราะเราแบบค่อยๆ มา เราไม่ได้อยู่ดีๆ จากหน้ามือเป็นหลังมือ พลิกหน้าเลยแล้วกลายเป็น คือค่อยๆมา แล้วทุกคนซึมซับไปเลย แล้วมันรับเราได้ เอกคิดว่าอย่างนี้นะ ด้วยอารมณ์ที่เราขำๆ สนุกสนานไปด้วย มันก็เลยกลายเป็น ตลกดีว่ะ"

ครั้งหนึ่ง เอกกี้ เคยทำงานเพลงร่วมกับ อัลเบิร์ต กับอัลบั้มที่ชื่อ EAK A Different Shade of Love โดยหนึ่งในนั้นมีเพลงที่ชื่อ "รักไม่มีกฏเกณฑ์" บอกเล่าเรื่องราวความรักซึ่งไม่จำกัดเฉพาะชายกับหญิง และนั่นเองที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเจ้าตัวต้องการจะสื่อความนัยของตัวเองหรือเปล่า?

"เพลงรักไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่ได้แต่งเองนะ เป็นอัลบั้มเดี่ยวที่ทำขึ้นมา กับอัลเบิร์ต เขาเป็นเจ้าของค่ายตอนนั้น ก็ทำขึ้นมาก็แหวกแนวดีนะ...ตอนนั้นมีแต่คนถามว่าต้องการบอกอะไรหรือเปล่า มันคือสิ่งที่เราอยากทำมากกว่า พูดถึงความรักทุกมุมมอง ทุกเพศ ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน เป็นมุมมองที่มีความรักได้ บางคนเป็นแบบนั้นแบบนี้ก็มีกำแพงมากั้น สังคมมากั้น แต่สุดท้ายแล้วคนที่ไม่มีความสุขก็คือตัวของคนนั้นเอง ไม่ใช่สังคม"

นับตั้งแต่เป็นเอกกี้ เจ้าตัวยืนยันว่าไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นคนรอบข้าง ครอบครัว เพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งแฟนคลับ..."ครอบครัว ก็ไม่เห็นมีอะไรนะ ก็ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ ไม่ได้คุย ไม่ได้คาดคั้นอะไร เขารู้มันคืองานของเราแล้วก็เป็นตัวของเรา ที่บ้านเขาจะเงียบๆ อยู่แล้ว ปกติ..."

"สาวไม่มีผิดหวังนะ มีแต่สาวๆ ชอบเยอะมากขึ้นด้วยซ้ำไป เพราะรู้สึกว่าเราเหมือนเพื่อนสาวหรือเปล่า(หัวเราะ) ไม่หรอกคือเข้าถึงเราง่ายขึ้น เหมือนเข้าใจผู้หญิง เข้าใจแม่บ้าน...คือมันบอกไม่ได้ว่าเราเข้าใจผู้หญิงมากขึ้นไหม แต่เรารู้สึกว่าเราเข้าถึงเขามากขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเข้าใจเขามากขึ้นเปล่านะ สามารถไปเจอะเจอแล้วไปหลั่นล้ากับเขาได้มากขึ้น เขาก็เข้าถึงเราได้มากขึ้น สามารถสัมผัสเราได้มากขึ้น"

เหมือนกับหลายคน เขาคนนี้ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชีวิตมีรอยแผลเป็นอันเกิดจากความรักที่ไม่สมหวัง..."ก็เหมือนคนทั่วไปแหละ ที่บอกว่าทุ่มเทความรักมากมายแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ผ่านมา 6-7 ปีแล้ว...ยากมั้ยกว่าจะผ่าน ยากช่วงระยะนึง แค่หนักช่วงระยะนึง"

"ไม่ทำร้ายตัวเองไม่มีทางเพราะว่านึกถึงพ่อแม่ตลอด กว่าพ่อแม่จะเลี้ยงเราได้มันยากมาก เรื่องอะไรต้องทำร้ายตัวเองให้พ่อแม่เสียใจใช่ไหม โอเคเราก็ใช้เวลาพักฟื้นนิดนึง อยู่กับเพื่อนอยู่กับตัวเอง แล้วก็คิดว่าเราจะป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหนหรือ? เพื่ออะไร? ในเมื่อคนๆ นั้นก็ไม่ได้ใส่ใจเรา ไปมีความสุข ก็แค่นั้นก็จบ แล้วมันก็ผ่านไปเอง คือถึงจุดที่ลืมได้ก็ลืมไปเองนะ"

"เราค่อนข้างปลงกับชีวิตเร็วมั้ง เวลามีปัญหาอะไรก็ให้หลุดให้เร็วมากที่สุด ถามว่ามีปัญหาอะไรกับชีวิตไหม มันก็มีเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว แต่เราโชคดีที่เราหลุดจากมันเร็ว ตอนนั้นเราเข้าใจว่าเราอยู่ด้วยตัวเราเอง ตัวเราเองก็ค่อนข้างให้ความรักเป็นอันดับหนึ่ง งานสอง บางทีเราทุ่มกับความรักมากเกินไป คิดได้ไงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา ตอนนั้นเคยคิดแต่ตอนนี้ไม่เลย จะมีหรือไม่มีอยู่ได้"

"ก็จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ไม่มีแฟนอีกเลย...มันไม่เข็ดนะ แต่มันไม่เจอ คือเราเป็นคนที่แบบว่าถ้าไม่รักก็ไม่ยุ่ง แค่กิ๊กหรือแค่คุยกัน ก็แค่นั้น ไม่ได้เอาตัวเข้าไปผูกพันหรือว่ามีความรู้สึกไม่อยากเจอ คนเราถ้ามีความรักก็อยากเจอคนที่เรารัก อยากไปกินข้าวด้วย ไปดูหนังด้วย แต่ตอนนี้ไม่เจอไม่มีคนๆ นั้นเลย ก็มีเข้ามานะ แต่เราไม่ชอบ เราต้องการแค่เพื่อน เราไม่คิดจะเรียนรู้หรือสร้างปฏิสัมพันธ์มากไปกว่านั้น"

เวลามีปัญหาจะปรึกษาใคร?
"ถ้าสมัยก่อนปรึกษาเพื่อนรุ่นพี่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มี เพราะเราเข้าใจชีวิตเรามากขึ้น เราผ่านจุดที่มันหนักในชีวิตมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอกหัก เรื่องงาน ตอนนั้นเราแค่คิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แก้ไขได้ก็แก้ แก้ไขไม่ได้ก็นอนหลับพักผ่อน ก็จบ"

ในความคิดของคนส่วนใหญ่มักจะมองความรักของเพศที่ 3 ว่าเป็นความรักที่ไม่ยืนยาว ซึ่งเป็นเหตุผลให้เมื่อคนเหล่านี้มีความรัก จึงมักแสดงออกอย่างค่อนข้างที่จะชัดเจนและรุนแรงในบางครั้ง ทว่าเอกกี้กลับมีมุมมองที่ต่างออกไป..."ก็เห็นหลายๆ คู่เขาก็ยืนยาวนะ(หัวเราะ) แค่รู้จักว่ารักให้เป็นแค่นั้นแหละ บางคนผู้ชายผู้หญิง เขาไม่มีลูกเขายังรักกันได้เลย มันอยู่ที่ว่าแต่ละคนรักกันแค่ไหน แค่แบบว่ารักกันไม่ต้องแสดงความเป็นเจ้าของ"

"ส่วนเรื่องดูรุนแรง จริงๆ มันก็ทุกเพศทุกวัยนะ แต่มันอยู่ที่สื่อจะนำเสนอหรือเปล่าแค่นั้นเอง ความรักผู้หญิงก็รุนแรงถึงขนาดตบตีกันก็ยังมีเลย เห็นเปล่า เพราะฉะนั้นมันจำกัดไม่ได้หรอกว่าใครรุนแรงมาก รุนแรงน้อย มันไม่มีเครื่องวัด มันอยู่ที่ความรู้สึกข้างในของแต่ละคนมากกว่า ว่าใครคิดได้ว่ารักให้เป็นมันก็จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์"

"มันอยู่ที่ว่าแต่ละคนมันจะพรีเซนต์ยังไง บางคนที่เขาเป็นเกย์ เขาก็เก็บ ไม่ได้ทำอะไรที่เปิดเผยตามสาธารณะ ไปจูบกัน มันแล้วแต่คนจริงๆ เพราะฉะนั้นจะวัดกันไม่ได้เลยว่าคนที่เป็นเพศนี้"

ถือเป็นความโชคดีของเขาคนนี้ก็ว่าได้ที่สามารถได้เป็นตัวเองอย่างที่เป็น ในขณะที่บางคนไม่สามารถ..."เรามีความรู้สึกว่าชีวิตคนเราเกิดมาชีวิตนึงแล้วนะ บางทีต้องถามตัวเองก่อนหาคำตอบด้วยตัวเองให้ได้ ต้องการอะไร ถ้าคุณต้องการเก็บแล้วคุณมีความสุขไม่มีใครว่า แต่อย่าไปหลอกใครก็ตาม ง่ายๆ เลยอย่าหลอกตัวเอง ชีวิตไม่มีความสุขหรอก มันกดดัน คิดดูสิคนเราเกิดมายังหลอกตัวเองเลย มันไม่ประโยชน์หรอกไม่มีความสุข"

"ทุกอย่างในโลกนี้มีหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม บางคนรู้ตัวตั้งแต่นี้ บางคนทุกวันนี้แต่งงานแล้วยังไม่รู้ตัวก็มี มันบอกไม่ได้จริงๆ มันเป็นอะไรไม่รู้เหมือนเวรกรรมมากกว่า ฉะนั้นอย่าคาดคั้นหรือหาคำตอบอะไรตรงนั้น แต่อย่าไปพรากลูกพรากเมียเขา"

"คือสังคมไทยทำอะไรก็ขอให้ทำความดี ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนคุณจะเป็นอะไรก็แล้วแต่อันนี้เป็นเรื่องของคุณ เพราะชีวิตคุณต้องจัดการให้ได้ ทำตัวเองให้มีความสุขมากกว่าความทุกข์ ถ้าคุณคิดว่าเป็นสิ่งที่คุณคิดว่าโอเคที่สุดแล้วในชีวิต"

มีโอกาสที่เอกกี้คนนี้จะกลับไปเป็นเอกกี้เมื่อวันวานมั้ย?
"ไม่นะ เพราะทุกวันนี้ก็ชัดเจนมากขึ้น (หัวเราะ) มันก็เหมือนเรามั่นใจขึ้น แต่ว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ได้ผิด ไม่ได้ทำให้เดือดร้อน แล้วก็คืองานที่เราทำ ทำให้คนมีความสุข มันคืองาน เวลาผมขึ้นเวทีหรือผมทำอะไรก็ตามรู้สึกสนุก ผมก็รู้สึกว่าคนที่ดูหรือคนที่ชมรู้สึกสนุก เขาก็มีความสุข"

"คือสมมุติเราทำอะไรก็ตามตัวเราเองยังไม่มีความสุขเลย ยังไม่สนุกเลย แล้วคนดูจะมีความสุขหรอ คิดแค่นี้เอง แล้วตอนทำงานกับตัวตนจริงก็ไม่ได้ต่างกันนะ คือเป็นตัวของตัวเองโดยเฉพาะงานพิธีกรเป็นตัวของตัวเองมาก ส่วนละครก็แล้วแต่บทบาทที่เราได้รับ ส่วนใหญ่ก็จะได้รับบทตุ๊ด บทผู้ชายแมนๆ ไม่มีใครติดต่อเลย ติดต่อได้นะ แต่คงไม่มีใครเชื่อ(หัวเราะ)"

วางแผนชีวิตตัวเองไว้อย่างไรบ้าง?
"ก็ตั้งใจทำงานไปเรื่อยๆ ตอนนี้ไม่ได้คิดเรื่องคู่เลย แต่ก่อนคิด คิดถึงเรื่องแต่งงาน ถ้าเรารักใครเราก็ไม่แคร์ แต่งงานได้ แต่ขอให้มั่นใจ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยคิดแล้ว เพราะเราต้องทำงาน งานเราเยอะ เรามีหน้าที่ดูแลคุณพ่อคุณแม่ เพราะอายุท่านก็เยอะแล้ว เราอยากให้เวลาท่านเต็มที่ ดูแลท่านให้เต็มที่"

ใช่หรือไม่ว่าความสุขของชีวิตนั้นบางครั้งก็หาไกลเกินเอื้อม หากอยู่แค่ที่ว่าเราค้นพบตัวตนและเป็นอย่างที่มันควรเป็นหรือยังเท่านั้นเอง...





กำลังโหลดความคิดเห็น