xs
xsm
sm
md
lg

“เอ ศุภชัย” จากตัวประกอบสู่นักปั้นเงินล้าน ผู้ก่อตั้งบ้านซุป'ตา ร.ร.ดัดสันดานดารา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“เอ ศุภชัย” เผยชีวิตกว่าจะเป็นผู้จัดการดาราเงินล้าน ถือกระเป๋าใบละเป็นแสนต้องเป็นตัวประกอบได้ค่าแรงวันละ 300 บาท บากบั่นเก็บเงินไปชุบตัวที่อังกฤษเพื่อเปิดโลกทัศน์จับเด็กนอกมาเป็นดารา เผยเรื่องราวสุดฮากว่าจะปั้น “ป๋อ” จนดังเคยจับยัดสเตย์มาแล้ว ฝันปั้นดาราอีกยาวสร้างบ้าน 50 ล้านไว้เป็นที่กินนอนฝึกเด็กเป็นดารา ตั้งกฎเหล็กห้ามกินกันเอง

“เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร” ผู้จัดการดาราเงินล้านที่ชอบหิ้วกระเป๋าใบละเป็นแสนจนกลายเป็นโลโก้ของตัวเอง ปั้นดาราดังๆ ประดับวงการมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ, ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ, เมย์ เฟื่องอารมณ์, ปู ไปรยา สวนดอกไม้, ธาวิน เยาวพลกุล, เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ, ณเดชน์ คูกิมิยะ, หมาก ปริญ สุภารัตน์, สน ยุกต์ ส่งไพศาล, วิว วรรณรท สนธิไชย และล่าสุดที่กำลังมาแรงก็ใหม่ ดาวิกา โฮรเน นางเอกช่อง 7 และอีกหลายต่อหลายคนที่ไม่ได้เอ่ยนาม

และนอกจากจะเป็นนักปั้นมือทองแล้ว เอ ศุภชัย ยังได้ชื่อว่าเป็นนักขายชั้นเลิศ เด็กในสังกัดของเอ ศุภชัย ล้วนกวาดพรีเซ็นเตอร์สินค้าชื่อดังเกือบจะทั้งตลาด เพราะฝีมือการขายโฆษณาของเจ้าตัวนี่แหละ ส่งผลให้ตอนนี้เอ ศุภชัย กลายเป็นนักปั้นหรือผู้จัดการดาราที่มีเงินมากที่สุดในประเทศ มีบ้านหลังละ 50 กว่าล้านเป็นของตนเอง และก็ใช้เป็นที่สถานที่ในการฝึกอบรมเด็กในสังกัดที่กำลังจะก้าวมาเป็นดารา

บ้านหลังนี้ประกอบไปด้วยห้องนอน 20 ห้อง สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องประชุม ห้องเรียนแอ็กติ้ง เด็กในสังกัดของเอ ศุภชัย จะต้องมากินนอนใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพื่อเรียนรู้วิธีการเป็นดาราว่าจะต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมร่างกายอย่างไรในการเป็นซูเปอร์สตาร์ในอนาคต หมาก, เวียร์, ณเดชน์ และใครต่อใครอีกหลายคนก็เคยอยู่ที่บ้านหลังนี้ จนบ้านหลังนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บ้านซูเปอร์สตาร์” หรือบ้านที่ใช้ฝึกความเป็นดารา พูดกันแบบบ้านๆ เอาฮาก็บ้านดัดสันดานดารานั่นแหละ

แต่กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ เอ ศุภชัย เคยเป็นแม้กระทั่งตัวประกอบได้เงินวันละ 300 บาทเท่านั้น ....

“ผมเป็นเด็กเบญจมราชูทิศนครศรีธรรมราช ถือกำเนิดที่ภาคใต้ คุณพ่อเป็นครู แต่เป็นคุณครูที่มีสวนยางพาราเยอะมาก เพราะคุณปู่มีลูกคนเดียว คือคุณพ่อก็เลยทิ้งสวนยางพาราไว้ให้เป็นหลายร้อยไร่ ถามว่าชีวิตที่นั่นลำบากไหม ก็ไม่ลำบาก แต่คุณพ่อสอนให้ลำบากตั้งแต่เด็ก”

“คือเมื่อก่อนบ้านเราจะเป็นแค่ป่าไผ่ คุณปู่ก็ต้องถอนไผ่ทีละต้นๆ เพราะรัฐบาลสนับสนุนให้ปลูกยางพารา ปู่ถางป่าหลายร้อยไล่ก็เลยได้ปลูกยางพารา ซึ่งเราก็เติบโตมากับยางพาราติดตาเป็น ปลูกต้นกล้าเอง บ้านเราก็อยู่กันแบบนี้ พ่อเป็นครูเขาก็ไม่ได้มองชีวิตในวงการบันเทิง เขาก็มองแต่วิศวะ เภสัช หมอ พอเรียนจบที่โน่นก็เลยมาเรียนวิศวะมหาวิทยาลัยรังสิต”

“เป็นการเรียนที่ตามใจคุณพ่อ ทั้งๆ ที่เราเป็นคนที่ชอบแสดงออกตั้งแต่เด็ก เคยโต้วาทีระดับจังหวัดได้ที่ 1 และก็ได้ที่ 1 ของภาคใต้ ก็เลยทำให้เรารู้ว่าเราชอบการสนทนา ชอบการโต้ตอบ ก็อยากจะเรียนด้านนิเทศศาสตร์ แต่พ่อบอกว่าจะเรียนด้านนี้จบมาทำอะไร สมัยนั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับ พ่อก็ไม่ยอมเขาก็บอกว่า มีสองอย่างให้เลือก ถ้าไม่เลือกเรียนวิศวะก็ให้เป็นครู ก็เลยเลือกที่จะเรียนวิศวะเพราะอยากจะเข้ากรุงเทพฯ”

“พอเรียนวิศวะที่ ม.รังสิต เราก็คิดว่าจะทำยังไงก็ได้ที่จะทำให้เราเข้าใกล้วงการบันเทิงที่เราใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กให้ได้มากที่สุด ผมฝันอยากจะเป็นนักแสดงอยากอยู่ในจอ บ้านเราเป็นบ้านที่ไม่มีชาวบ้านอยู่ใกล้ๆ เลยเพราะมีพื้นที่หลายร้อยไร่ ทำให้เราต้องอยู่คนเดียว เราก็ต้องพูดกับต้นไม้เหมือนคนบ้า ก็จะแทนตัวเองสมมติเรื่องขึ้น อย่างเห็นต้นไม้ก็จะแบบ นี่พี่เอ้งนะ พี่เอ้งไม่สบายเป็นไงบ้าง จะอยู่กับเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เด็กเหมือนได้เล่นละคร”

ไต่เต้าจากตัวประกอบได้ค่าแรงวันละ 300
“พอมาเรียนที่นี่ชีวิตก็หักเหเพราะได้มาเจอกับน้องยุ้ย (ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี) คือน้าของเราเป็นน้องสะใภ้ของบ้านน้องยุ้ย เขาจะทำด้านตัวประกอบ คือจัดหาตัวประกอบ อย่างค่าตัว 500 เราก็จะเรียกตัวประกอบมาเข้าฉากให้เขา 300 เราได้ 200 ผมก็จะไปช่วยน้าทำงานด้านนี้ และเราก็ได้แฝงตัวเองไปเล่นด้วย ถ้าเป็นตัวประกอบเมนก็จะได้ 1,000-2,000 บาท ก็จะได้ค่าขนม ก็เป็นการทำงานที่ได้เงินและก็แลกกันกับการที่ได้อยู่บ้านเขาระหว่างเรียน”

“ผมจะเป็นเหมือนพี่เลี้ยงน้องยุ้ย จะตามน้องยุ้ยตลอดตั้งแต่สมัยออกเทปเธอยังคงมีฉัน น้องยุ้ยก็เรียนที่ ม.รังสิตเหมือนกันกับเรา แต่เรียนนิเทศ พอตามบ่อยๆ มันก็เหมือนเราแบบครูพักลักจำ ก็ได้ซึบซับการทำงานมาเรื่อยๆ ตอนนั้นยังไม่คิดอะไร ยังไม่เห็นช่องทางหรอกว่าจะมาได้ขนาดนี้ แต่เหมือนเป็นอะไรที่เราชอบเราได้ตามน้องยุ้ยได้อยู่กับสิ่งที่สวยๆ งามๆ”

“แต่ชีวิตช่วงนั้นก็เรียกได้ว่าค่อนข้างลำบากเหมือนกัน เพราะพ่อประกาศเอาไว้เลยว่า ถ้าเราเรียน 4 ปีไม่จบเขาจะไม่ส่งเงินมาให้ซักบาท แต่เราเรียน 6 ปีจบ ฉะนั้นพอหลังจาก 4 ปีก็ไม่เคยขอเงินพ่อเลย จะหาเงินเรียนเองมาโดยตลอด”

ก็หาเงินเรียนจากการเป็นตัวประกอบนี่แหละ เป็นตัวประกอบนี่เหนื่อยนะ ตอนนั้นเล่นเป็นตัวประกอบโฆษณาประกันชีวิตก็จะเป็นแบบมีรถวิ่งมาชน พอชนเราก็ต้องแกล้งทำเป็นหกล้มแล้วไอ้คนที่อยู่ข้างเราก็กระเด็นมาโดนตาเรา ตาเราก็แตก เขาก็บอกว่า ถ้าไม่เล่นต่อจะไม่ให้เงิน 500 เราก็ต้องนั่งตุ๊กตุ๊ก ไปเย็บสดๆ 5 เข็มมาเล่นต่อเพราะกลัวไม่ได้เงิน แล้วเงิน 500 เนี่ยก็โดนน้าหักไป 200 เหลือ 300”(หัวเราะ)

“ประสบการณ์ตรงนี้มันทำให้เราจะไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เพราะเขาบอกว่าถ้าชีวิตมันเคยลำบากมาก่อนมันจะรู้ถึงความสบายเป็นยังไง และก็จะไม่กลัวถ้าจะต้องลำบากอีก ชีวิตของเราทุกวันนี้ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องโดดเด่นโด่งดังเสมอ เราพร้อมที่จะเดินลงต่ำอยู่เสมอ”

“คือทองนี่มันอยู่บนดิน ถ้าเราทำตัวอยู่บนฟ้าเราก็คงไม่สามารถหยิบทองได้หรอก เหมือนกับการปั้นดารา ถ้าเราทำตัวเชิดๆ เลิศๆ เราก็ไม่สามารถเจอณเดชน์ เจอเวียร์ ได้หรอก อันนี้เป็นแบบฝึกหัดหนึ่งในชีวิต การที่เราสะสมความลำบากทำให้เราเจอสิ่งดีๆ”

ลงทุนรวบรวมเงินเก็บไปชุบตัวที่อังกฤษ

“พอจบเป็นช่วงเศรษฐกิจไม่ดีเราก็เลยได้มาทำงานแนวนี้ ประกอบกับเป็นเพื่อนกับอั้มตั้งแต่สมัยเข้าวงการ อั้มก็เลยแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการส่วนตัว ตอนนั้นน้องอั้มให้เงินเดือน 8,000 บาท เราก็บอกว่าเราคงอยู่ไม่ได้ อั้มก็เลยบอกว่า งั้นเราคงต้องหาคนอื่นเข้ามาด้วยเพื่อให้มีรายได้เพิ่ม แล้วก็ได้ไปเจอกับ ป๋อ ณัฐวุฒิ เราเคยเรียนหนังสือห้องเดียวกันป๋อเป็นรุ่นน้อง และเราก็เคยขอลอกข้อสอบป๋อแต่ป๋อไม่ให้ ก็ยังเคยวีนป๋อ”(ยิ้ม)

“พอป๋อไปเรียนที่อังกฤษ เราก็ไปที่อังกฤษด้วย ที่ไปก็เพราะว่ามันเป็นเหมือนความฝัน เมื่อก่อนอยู่บ้านนอกก็อยากจะเข้ากรุงเทพฯ พอเข้ากรุงเทพฯ เราก็มีเพื่อนเป็นเด็กนอก เราก็อยากไปให้ถึงจุดนั้น ก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินเองได้ประมาณแสน หรือสองแสน ก็ไปทำวีซ่าไปอังกฤษ เงินแค่ 2 แสนแต่เราสามารถอยู่ที่นั่นได้นานมาก”

“ไปอยู่ที่นั่นเราไม่ได้เรียนหนังสือเพราะไม่มีเงิน แต่เรามีโอกาสได้เรียนรู้ชีวิตของคนที่นั่น เรียนรู้ภาษา เรียนรู้วัฒนธรรม เหมือนไปเปิดโลกทัศน์ของตัวเอง มันทำให้เรามีความคิดกว้างไกลมากขึ้น ผมไปอยู่ที่นั่นก็ทำงานด้วย วันไหนว่างๆ ก็ไปเดินแถวหน้ามหาวิทยาลัยยูซีแอล ก็ไปเจอแอนจี้ เฮสติ้ง, แซม โชติบัณฑ์ คือเรารู้ว่าถ้ากลับจากอังกฤษเราจะไปทำอะไรที่เมืองไทย ก็สะสมเบอร์คนโน้นคนนี้ไปเรื่อยๆ ก้อง การุณ ก็เจอก็ยังเอาเขามาถ่ายโฆษณาบัตรเครดิตยี่ห้อหนึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว”

“การไปที่นั่นเราวางแผนไว้แล้วว่าจะทำอะไรต่อไปได้บ้าง เราไม่ได้ไปเที่ยวไร้สาระไปวันๆ เพราะเราก็อุตส่าห์สะสมเงินทั้งชีวิตเพื่อมาที่นี่ แต่ก็คุ้มนะครับเพราะการไปครั้งนั้นนอกจากจะทำให้เราเจอน้องๆ ดาราคนโน้นคนนี้แล้ว ก็ยังทำให้เราได้รู้จักกับคนอื่นๆ ที่ไปเรียนที่นั่นอีกเยอะ ซึ่งแต่ละคนก็เป็นลูกของนักธุรกิจที่เมืองไทย ทุกวันนี้น้องๆ เหล่านี้ก็เติบโตเป็นผู้บริหารกันหมดแล้ว เวลาที่เราไปคุยงานไปดีลลูกค้าก็จะแบบรู้จักกันหมดเลย”

ด้านได้อายอด หาเบอร์เลขาฯ “แดง สุรางค์” เพื่อดันเด็กเข้าช่อง 7
“พอกลับจากอังกฤษ เราก็แอบได้เบอร์เลขาฯ คุณแดง (สุรางค์ เปรมปรีดิ์) มา คือเราตั้งใจหาอยู่แล้ว(หัวเราะ) ก็โทร.ไปหาว่า ตอนนี้เอมีน้องคนหนึ่งมาจากอังกฤษนะอยากนำเสนอพี่ให้พี่ไปนำเสนอเจ้านายดู พี่เขาก็เอารูป ป๋อ ณัฐวุฒิ ที่เราพาไปถ่ายรูปไว้อย่างหล่อเอาไปให้คุณแดงดู มันเป็นจังหวะที่ตอนนั้นพี่ตุ้ย (ธีรภัทร สัจจกุล) ไปร้องเพลงพอดี ป๋อเขาก็เข้มๆ เหมือนกัน คุณแดงก็เลยเรียกไปที่ช่อง 7 และก็กรุณาให้ป๋อได้เล่นเก็บแผ่นดินที่สิ้นชาติ แต่เรื่องแรกยังไม่ได้เป็นพระเอกยังเป็นคู่สอง เรียกว่าป๋อเป็นคนแรกที่เราทำงานปั้นจริงๆ”

“ส่วนกับอั้มนี่ ตอนแรกอั้มเขาก็มีพี่แก้ว (แก้วพรีเมียร์ ศิริ เหลืองสวัสดิ์) บก.กอสสิปสตาร์ คอยดูอยู่ ตอนนั้นอั้มมีสัญญากับพี่แก้ว พี่เขาก็จะคอยสอนงานเราก็ได้เรียนรู้งานจากตรงนั้นด้วย แต่พอตอนหลังๆ พี่แก้วจะไปทำหนังสือกอสสิปสตาร์ก็เลยไม่ได้ทำด้านผู้จัดการนักแสดง ตอนหลังๆ ก็เลยได้มาดูแลอั้มแบบจริงๆ จังๆ แต่จริงๆ แล้วอั้มน่าจะเป็นคนดูแลเราซะมากกว่า เพราะตอนนั้นเราใหม่จริงๆ นักข่าวนัดสัมภาษณ์ป๋อ ก็มาปรึกษากับอั้มว่าจะทำยังไงดี อั้มก็มานั่งแต่งหน้าให้ป๋อที่สยาม”(หัวเราะ)

“ตอนนั้นเรายังไม่เก่งด้านการแต่งตัวหรืออะไรเลย ไม่รู้เรื่องเลย วันดีคืนดีก็เอาป๋อไปทำผมเป็นสีแดงก็ขำดี มีอยู่ครั้งหนึ่งป๋อเล่นเรื่องไรนี่แหละจะต้องแต่งตัวเป็นตำรวจ เราก็คิดว่าจะทำยังไงให้ป๋อใส่ชุดตำรวจแล้วเท่ห์ ตอนนั้นก็มีหน้าท้องนิดนึงเราก็เลยแอบไปซื้อสเตย์ของผู้หญิงมาให้ป๋อคาด ป๋อเห็นสเตย์ก็ร้องเลย...อีพี่เอกูไม่ใช่มึงจะได้ใส่สเตย์แบบนี้ได้(หัวเราะ) เราก็ใส่ไปเหอะป๋อใส่แล้วจะเป็นเชฟแบบนี้นะเดี๋ยวใส่เสื้อตำรวจจะออกมาดูดี ป๋อก็แบบกูไม่ใส่ถึงคนนอกไม่รู้แต่กูรู้ (หัวเราะ) แต่สรุปเขาก็ใส่นะเพราะเกรงใจเราแต่ใส่แค่วันเดียว”

“แต่ป๋อก็ดูแลเราเหมือนกัน คือต่างคนต่างดูแลเพราะไม่รู้เรื่องด้วยกันทั้งคู่ (หัวเราะ) ป๋อเขาก็จะชอบด่าเพราะเราแต่งตัวแย่มาก เพราะเราก็ไม่มีตังค์น่ะนะพูดตรงๆ ป๋อก็ให้การบ้านว่า เป็นผู้จัดการดาราต้องมีรถนะ เราก็กูจะเอาตังค์ที่ไหนมาซื้อรถวะเงินมีเท่าไหร่ก็เอาไปอังกฤษหมดแล้ว ก็เลยเก็บตังค์ได้อัลติสมาคันหนึ่ง ก็ได้รถคันนี้พาน้องๆ ไปส่งเข้าประกวดที่นั่นที่นี่อำนวยความสะดวกให้น้องๆ”

ป๋อเขาเป็นเหมือนครูเลยนะ เขาบังคับให้เราแต่งตัวดี วันดีคืนดีก็จะแบบ พี่เอมึงน่ะใส่กางเกงเหยียบชายจนขาดแล้วขาดอีกกูดูไม่ได้เลย เราก็เลยโมโหค่ะ รุ่งเช้าประชดแต่งตัวเป็นแบบนักเรียนอังกฤษเลย แต่ไปเฝ้าป๋อถ่ายละครที่น้ำตก 7 สาวน้อย(หัวเราะ) ป๋อบอกมันบ้าเนาะกูบอกให้มึงแต่งตัวดูดีแต่ต้องถูกกาละเทศะ มึงมาน้ำตก 7 สาวน้อยแต่ใส่สเวตเตอร์สีแดง เวลาอยู่กรุงเทพฯ มึงแต่งตัวเป็นพ่อคล้าวเลี้ยงควายในมนต์รักลูกทุ่ง”(หัวเราะ)

“แล้วเวลาอยู่กองถ่ายเราจะเป็นคนชอบทำกับข้าว ก็ทำกับข้าวในกองถ่ายแล้วก็เอาไว้ป๋อกิน ป๋อทำไงรู้ไหม ป๋อไม่กินค่ะทำเป็นเชิดเลยบอกว่า กูให้มึงมาเป็นผู้จัดการนะ กูไม่ได้ให้มึงมาเป็นคนครัวนะ กูให้มึงมาดูมอนิเตอร์นะ กูไม่ได้ให้มึงมาทำกับข้าวให้กูแด... กูกินได้ทุกอย่าง คือเขาดูแลลุคให้เราด้วย เขาอยากให้เราไปนั่งดูมอนิเตอร์แต่เรามัวแต่ทำกับข้าว ป๋อถามเมื่อกี๊เล่นเป็นยังไงบ้างตอบไม่ได้เลย”(หัวเราะ)

จากนักปั้นกลายเป็นนักขาย เด็กของ “เอ ศุภชัย” ฟาดพรีเซ็นเตอร์เกลี้ยงตลาด
“เราก็ดูแลเขามาอย่างนี้เรื่อยๆ จนป๋อเริ่มมีชื่อเสียงคราวนี้เราก็เริ่มจะไปจับงานขายโฆษณา ก็อาศัยว่าตอนเด็กๆ เราเคยเล่นเป็นตัวประกอบไว้เยอะ เราก็พูดจาตอแหลเขาไว้เยอะ โปรดักชันเฮาส์เราก็รู้จักกันตอนเป็นตัวประกอบนี่แหละ แมทชิ่ง หับโห้หิ้น ฯลฯ เรารู้จักตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และตอนหลังก็พัฒนาไปเป็นรู้จักลูกค้า เพราะเพื่อนที่จบ ม.รังสิต หรือจบจากอังกฤษ นามสกุลโน้นนามสกุลนี้ก็เป็นลูกค้าเอง คือพอจบเขามาบริหารงานแทนพ่อ เราก็จะยกหูนี่เอเองนะที่เจอที่ลอนดอนไงอ่า(หัวเราะ) ก็จะมาเลยงานโฆษณา เด็กของเราก็จะได้โฆษณาเยอะมาก”

“นอกจากนั้นแล้วเด็กของเราจะรับโฆษณาตัวไหน เด็กคนนั้นจะต้องใช้สินค้าตัวนั้นด้วย อย่างอั้มเขาใช้ผลิตภัณฑ์อะไรเวลาไปบ้านเขาเราเห็น เราก็จะไปขายสินค้าตัวนั้นว่าอั้มใช้นะ แต่ถ้าเขาไม่ใช้แต่เราอยากให้ถ่ายโฆษณาเราก็จะยัดเยียดให้ใช้ ใช้สิๆ ถ้าเขาใช้แล้วชอบเราก็จะเอาไปขายโฆษณาให้ เพราะเราอยากให้แฮบปี้ทั้งสองฝ่าย ลูกค้าเขาก็แฮบปี้ที่พรีเซ็นเตอร์ใช้โปรดักต์เขาจริงๆ”


อั้ม พัชราภา ซูเปอร์สตาร์คนที่ เอ ทำหน้าที่ผู้จัดการเป็นครั้งแรก
ป๋อ เด็กปั้นคนแรกของเอ
แองจี้ เฮสติ้ง อดีตนางเอกช่อง 3 คนนี้ เอ ไปจีบมาตอนเรียนที่อังกฤษ

“ณ ปัจจุบันนี้ก็ยังใช้ระบบเดิม อย่างล่าสุดมีแป้งยี่ห้อหนึ่งติดต่อให้เด็กเราเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่เด็กคนนั้นมันไม่ใช้เราก็บอกเขาตรงๆ ว่าไม่รับดีกว่า ถึงจะใช้หรือไม่ใช้ไม่มีใครรู้ก็ช่างแต่เราไม่อยากหลอกประชาชน แล้วเราก็นำเสนอคนอื่นให้เขาที่ใช้ของเขาจริงๆ”

“อย่างของอั้มนี่เราก็ถ่ายบีบีไปให้ลูกค้าดูว่านี่ห้องน้ำอั้มนะ อั้มใช้สินค้ายี่ห้อนี้นะ มันเป็นการขายที่จริงใจดีและเราก็พูดได้ง่ายดีว่ามันดียังไง ใช้ความจริงใจขายของ เราเป็นเหมือนเพื่อนกันมากกว่า อะไรที่ลดหย่อนกันได้ก็ยอมกันไปอย่าไปหน้าเลือดใส่เขา เราไม่ได้กินกันแค่ปีนี้ปีเดียว เราอาจจะกินกัน 20-30 ปี วันหนึ่งเราไม่มีดาราเราอาจจะไปขอเขาสปอนเซอร์รายการก็ได้ก็ต้องมองเผื่อวันข้างหน้าด้วย คือถ้าโขกน่ะมันได้ทีเดียว แต่ถ้าไม่โขกมันกินไปได้ทั้งชีวิต กินน้อยแต่กินนานๆ”

“กับเด็กๆ ของเราก็เหมือนกัน เราอยู่กันด้วยใจ เราไม่มีสัญญาไม่มีว่าหักเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ ถ้าทำงานได้มาหลังจากหักภาษีแล้วเขาได้เท่าไหร่อยากให้เราเท่าไหร่ก็ให้มา ที่ไม่มีสัญญาเพราะเรารู้สึกว่า สัญญาใบเดียวมันไม่สามารถกุมหัวใจคนได้ทั้งหัวใจ เราจะบอกทุกคนว่า หลังจากคุณหักจ่ายภาษีหมดแล้วก็ค่อยเอาเงินมาให้พี่เอก็แล้วกัน พี่เอขอเงินแบบที่คุณให้เงินพ่อแม่เหมือนที่คุณเลี้ยงคนแก่ไว้ที่บ้านซักคน ก็แล้วแต่คุณจะให้ตามที่พอใจ อย่างณเดชน์ตอนนี้ขายโฆษณาได้เยอะมาก(ยิ้ม) เขาก็จะชักเป็นเงินสดเอ้าให้เอเท่านี้นะ แต่บางคนก็ซื้อเป็นของให้ซื้อเป็นบ้านให้ก็มี”

“อั้มมาเห็นบ้านเราแล้วก็ร้องไห้...เราก็นึกว่าอั้มปลื้มกับเราเห็นบ้านแล้วร้องไห้ ที่ไหนได้เงินกู (หัวเราะ) สระว่ายน้ำพี่ป๋อ และอีกหลังขึ้นแว้บๆ ของเวียร์(หัวเราะ) เงินพวกนี้มาจากพวกเขาหมดเลย พูดได้เต็มปากว่าถ้าไม่มีเขา ก็ไม่มีเราในวันนี้”

ปลูกบ้าน 50 ล้านเพื่อซูเปอร์สตาร์ โรงเรียนดัดสันดานดารา

“การปั้นเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย การที่เด็กคนหนึ่งจะก้าวไปเป็นนักแสดงจะต้องมีความพร้อมจริงๆ เราก็เลยคิดว่า เราน่าจะมีที่สำหรับฝึกอบรมเด็กๆ เหล่านี้ ก็เลยตัดสินใจสร้างบ้านขึ้นมาเมื่อก่อนมี 10 ห้องแต่ตอนนี้เพิ่มเป็นเกือบ 20 ห้องแล้ว มีสระว่ายน้ำในตัว มีฟิตเนส ตอนแรกจะทำสนามบีบีกันเพราะล่าสุดซื้อที่ไว้ข้างบ้านไว้เป็น 15 ไร่ แต่ตอนหลังเปลี่ยนใจเพราะที่มันมีทุ่งนามีวิถีชาวบ้าน ก็อยากให้ดาราเขาไปเห็นวิถีชาวบ้านปลูกข้าวปลูกนายังไง อยากให้เขาเห็นเหมือนเราตอนเด็กๆ”

“ตอนนี้ก็เลยมาทำเป็นเลี้ยงปลา และก็ปลูกกล้วยไว้ด้วย ทำเป็นสวนเลย คือเราอยากยกบ้านตัวเองที่นครศรีธรรมราชมาไว้ที่กรุงเทพฯ เพราะเราไม่กลับไปอยู่ที่นั่นแล้ว ก็อยากทำให้เป็นเหมือนสวนบ้านเราเด็กๆ เขาก็ชอบนะมีความสุขดี”

“หลายคนบอกว่าบ้านเราเหมือนบ้านนางงามเลย บ้านป้าศรีเวียงไรแบบนี้ (หัวเราะ) ตอนนี้มีคนดูแลบ้านและก็ดูแลเด็กๆ ประมาณ 30 คน แต่จริงๆ คิดว่า มันเหมือนการให้โอกาสมากกว่า ตอนเด็กๆ เราเป็นคนที่ไม่ได้รับโอกาสต้องกระเสือกกระสนเองทุกอย่าง วันหนึ่งที่เราโตขึ้นมาพอจะช่วยเหลือตรงนี้ได้ก็อยากทำ และก็ผลิตผลที่ออกมาก็เป็นประโยชน์ต่อสังคม ก็เป็นอาชีพที่ทำรายได้ให้กับพวกเขาสามารถไปเลี้ยงครอบครัวตัวเองได้ ตัวเราเองก็ได้บุญด้วย”

“ทุกวันนี้เวลาไปที่จังหวัดไม่จำเป็นจะต้องพักที่โรงแรมเลย เพราะเรามีบ้านของเด็กๆ ที่อยู่ในสังกัดตามจังหวัดต่างๆ เราสามารถไปนอนบ้านไหนก็ได้ แต่ส่วนมากก็ไม่ค่อยได้ไปนอนหรอกเกรงใจเขา ล่าสุดไปเชียงใหม่ลงมาจากโรงแรมเห็นเคาท์เตอร์นึกว่าเป็นตู้รับบริจาค เพราะพ่อแม่เด็กเอาของมาให้ทั้งฮังเลแกงอ่อมมาให้เต็มไปหมดเลย โดยที่เราไม่รู้เลยว่าของใครเป็นของใคร นี่แหละเป็นกุศลผลและบุญที่เราได้ทำไว้ให้ลูกเขาได้มีเงินเลี้ยงครอบครัว เขาก็เลยมีน้ำใจกับเรา”

กฎเหล็กของ “บ้านซูเปอร์สตาร์” ห้ามติดยา ห้ามกินกันเอง
เด็กที่เข้ามาอยู่บ้านนี้พอเข้ามาก็จะเจอพระพี่เลี้ยงก่อนเลย นั่นก็คือดารารุ่นพี่เช่นพี่ณเดชน์กับพี่เวียร์เขาก็จะเรียกเข้าไปคุยว่า อยู่บ้านนี้ต้องทำยังไง และก็จะได้รู้ว่าการใช้ชีวิตในโลกบันเทิงมันเป็นยังไง และทุกเช้าเราจะมีเรียนแอ็คติ้งที่บ้าน โดยเราจะจ้างครูมาสอนประจำให้ คือถ้าเลือกเด็กของเอ ศุภชัยแล้วไม่ต้องส่งไปเรียนแอ็คติ้งเพราะเราทำไว้เต็มที่แล้ว อาจจะแค่ปรับในสิ่งที่ผู้จัดต้องการนิดหน่อย”

“และก็มีเรียนออกกำลังกาย เราก็จะดูว่าคนไหนไหล่ย้อยไหล่ตกจะต้องออกกำลังกายยังไง คนไหนดูขี้ก้างขี้โรคก็จะบังคับให้กินกล้วยทุกวัน ก็จะไปเอากล้วยในสวนที่ปลูกไว้นี่แหละมาให้กินวันละหวี คนไหนที่จะเป็นนายแบบจะต้องออกกำลังกายทุกวัน เราก็จะไปสมัครฟิตเนสข้างนอกไว้ให้เลย มีเทรนเนอร์ให้ส่วนตัว เพราะที่บ้านเครื่องเล่นบางอย่างไม่ครบ เราก็จะมีพี่เลี้ยงประกบเด็กทุกคน ก็จะพาเด็กไปเล่นและก็จะรายงานเราว่า เงินที่เราจ่ายไปมันคุ้มไหม เขาไปออกกำลังกายหรือยัง”

“เราจะรู้หมดเลยว่าเด็กแต่ละคนเป็นไง คนนี้เป็นโรคกระเพราะเราจะต้องทำประกันชีวิตไว้ให้นะ เผื่อเป็นไรมาจะได้เข้าโรงพยาบาลเลย และก็จะมีพี่เลี้ยงหนึ่งคนคอยประกบเด็กเราก็จะเช็กได้ตลอด ถ้าเป็นพนักงานบริษัทเขาจะมีประชุมทุกวันจันทร์ แต่ของเราไม่มีถ้ารู้เรื่องปุ๊บโทร.ด่าเลยเดี๋ยวลืม (หัวเราะ) แต่เราจะมีตำรวจบ้านคอยตรวจเช็กซึ่งก็คือเฮเลน บางทีเราเหนื่อยขี้เกียจด่าก็จะให้โจทย์เฮเลนเป็นคนโทร.ด่าคนนั้นนะคนนี้นะ”

“เด็กที่มาอยู่ในบ้านหลังนี้มีทั้งเด็กที่อยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เด็กกรุงเทพฯ ที่ต้องมาอยู่เพราะมันเหมือนเข้าค่าย รด. อยู่ที่บ้านมันสบายเกินไป แต่อยู่ที่นี่จะต้องมีระเบียบ เป็นดาราต้องมีระเบียบนะเพราะทำงานกับคนหมู่มาก เราก็ต้องเอาเขามาฝึก”

“มาอยู่ที่นี่ถ้าใครดื้อเราตีจริงๆ นะ ตีแบบทุบเลย แต่ก็ต้องขออนุญาตบอกพ่อแม่เขาก่อนว่าเรามีวิธีการทำโทษนะ ถ้าใครทำผิดกฎระเบียบข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 มีการไล่ออกจากบ้านเหมือนบ้านเอเอฟเลยนะ เชิญพ่อแม่มารับกลับบ้านไปเลย”

“กฎของเราข้อแรกเลยก็คือ ห้ามเสพยาเสพติด ซึ่งจริงๆ มันไม่มีหรอก เพราะเด็กแต่ละคนที่เราให้เข้ามาอยู่ก็แปลว่าเราก็เลือกมาแล้วระดับหนึ่ง แต่ด้วยความเป็นเด็กบางคนก็ชอบหนีเที่ยว แล้วก็บอกว่า ออกไปเดินชอบปิ้ง ออกไปเซเว่น พอเข้ามาเราก็จะแบบ ไหนอ้าปากสิ แล้วเราก็จะเอาเครื่องเป่ามาตรวจ ถ้าเจอกลิ่นแอลกอฮอล์เครื่องมันจะฟ้อง เราก็จะผลักตกสระน้ำไปเลย”(หัวเราะ)

"กฎข้อที่ 2 ห้ามกินกันเอง(ยิ้ม) ข้อนี้ห้ามยากมากเพราะคนสวยคนหล่อมาอยู่ด้วยกันเวลาไปแอบกินกันเราก็ไม่รู้(หัวเราะ) แต่เราก็แบ่งแยกโซนห้องไว้นะ โซนผู้หญิงกับผู้ชาย คือจริงๆ เราก็ไม่ได้ห้ามให้คุณเป็นแฟนกันหรอก เราก็เข้าใจวัยรุ่น แต่ถ้าเป็นแฟนกันเลิกกันแล้วทำงานบริษัทเดียวกันมันลำบาก ถ้าคุณเลิกกันแล้วเป็นเพื่อนกันได้จะไม่ว่าเลย แต่ที่เห็นๆ คนเลิกกันเนี่ย 100 คนจะเป็นเพื่อนกันได้แค่ 2 คน ฉะนั้นมันไม่ดีไปหาคนข้างนอกเหอะ อย่าไปหาคนข้างในเลย แต่คิดว่าก็คงจะแอบกันแหละแต่เราไม่รู้ มันไม่มีเครื่องตรวจซะด้วยสิ”(หัวเราะ)

“และก็ห้ามนอนตื่นสายด้วย เพราะบ้านเราเนี่ยพ่อแม่จะสอนไว้ว่า อย่านอนให้ดวงอาทิตย์ข้ามหลังหรือแยงตูดไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เราตื่นตั้งแต่ 6 โมง 9 - 10 โมงนี่ถือว่าสายของเราแล้วนะ บางคนนี่นอนตื่นสายมากเราก็จะเอาน้ำเป็นถังๆ เข้าไปสายเลย(หัวเราะ) เพราะเรามีกุญแจเข้าได้ทุกห้อง แต่พวกนี้ก็ฉลาดนะทำกลอนมาล็อกข้างในนะ(หัวเราะ) แต่เราแสบกว่าเรียกช่างมางัดลูกบิดเลยแต่มันก็ยังไม่ตื่นกันเลย เราก็เลยเอาลูกบิดออกแล้วก็เอาสายยางต่อจากห้องน้ำฉีดเข้าไปเลย”(หัวเราะ)

“บางครั้งเราก็รู้ว่าผู้ชายมันแอบปลื้มเด็กผู้หญิงแล้วนอนตื่นสาย เราก็จะไปเรียกผู้หญิงมาดูเลยมาดูให้เห็นสันดานของผู้ชายคนนี้ นี่เธอเป็นไงล่ะ ผู้ชายคนนี้นอนก็ตื่นสาย นอนน้ำลายบูดยังจะเอามาเป็นแฟนอีกหรอ ผู้ชายก็อาย ผู้หญิงพอเห็นข้อบกพร่องเยอะเลิกพิจารณาไปเลย”

“ณเดชน์มาอยู่แรกๆ ก็นอนตื่นสายเหมือนกันแต่ตอนนี้ไม่แล้ว แต่ไม่เคยโดนฉีดน้ำหรอกทุกคนจะชอบแซวว่า ณเดชน์เป็นลูกรัก(หัวเราะ) คือณเดชน์เขาเป็นเด็กที่รู้จักปรับตัวและก็อยู่กันมานานผูกพันกัน และมันก็ฉลาดอยู่ มันอยู่เป็น”(หัวเราะ)

มีวันหนึ่งที่เราแอบไปได้ยินณเดชน์กับธันวา(พระเอกมนต์รักแม่น้ำมูล) คุยกัน คือธันวาเวลาเจอเราก็จะกลัวเพราะเราชอบดุ ณเดชน์ก็จะสอนธันวาว่า ธันวาเวลาเจอพี่เอมึงก็เข้าไปหาเขาหน่อยสิ ทำเป็นอ่านหนังสือ ทำเป็นเขียนหนังสือให้พี่เอเขาเห็นว่า มึงเป็นเด็กขยันเรียน”(หัวเราะ)

“รุ่งเช้ามา ธันวามันก็เอาหนังสือเรียนมานั่งอ่านที่โซฟา นั่งทำการบ้านใหญ่เลยอ่ะ เราก็ฮืม....กูรู้นะว่ามึงแอ๊บ(หัวเราะฮ่า) ไอ้พวกนี้มันแสบจริงๆ วันดีคืนดีเราก็ย่องไปฟังว่ามันพูดอะไรกัน วันๆ หนึ่งมันไม่ทำอะไรนั่งนินทาแต่เรา”(หัวเราะ)

“มีอยู่วันหนึ่งที่เราไปเกาหลีกลับมาถึงบ้านมืดหมดเลยไม่มีใครอยู่เงียบมาก เราก็โทรหาทุกคนเลย อยู่ไหนจ๊ะ....อยู่บ้านแล้วครับพี่เอนอนแล้วครับพี่เอง่วงมากเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นไปเรียนแอ็คติ้งตอนเช้า โทรไปหาอีกคนอยู่ไหนจ๊ะ....จะนอนแล้วค่ะพี่เอที่โน่นหนาวไหมคะ เราก็ฮืม....มึงกูอยู่หน้าห้องมึง มึงอยู่ไหนบอกมาเดี๋ยวนี้ คืออะไรที่เราทำตอนเด็กๆ ไว้กับพ่อแม่ เราก็จะเจอพวกเด็กๆ ทำใส่หมดเลย แต่ก็สนุกดีไม่มีเขาเราก็เหงานะ แต่ถ้ามีเขาเราก็เหนื่อยนะ”(ยิ้ม)

เป็นทั้งนักปั้น เป็นทั้งผู้ปกครอง ส่งเสียให้เด็กในสังกัดเรียนหนังสือ
เราจะดูแลเขาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือพฤติกรรมต่างๆ เป็นเหมือนผู้ปกครองคนหนึ่งจ่ายค่าเทอมให้ด้วย จ่ายให้เกือบทุกคนยกเว้นคนที่มีรายได้ของตัวเอง หรือพ่อแม่มีเงินอยู่แล้วก็ไม่ได้จ่าย ถ้าคนที่ลำบากก็จ่ายให้ บางคนบอกเรา พี่เอผมผ่านหมดเลย แต่ 2 เดือนผ่านไปโดนรีไทร์เราก็เอ้า...ไหนบอกผ่านหมดเลย ก็ผ่านของมันไง 1.00”

“เราก็ต้องเรียกมาอบรมใหม่หมดเลย ใครเข้าใหม่ปีนี้เอ ศุภชัยเรียกประชุมเด็กปี 1 ที่ห้องประชุมที่บ้านเลย เธอรู้ไหมโปรสูงคืออะไร โปรต่ำคืออะไร การที่โปรต่ำสองเทอมต่อกันจะโดนรีไทร์ 1.00 ต่อกันเนี่ยโปรโคตรต่ำเลยมึงจะต้องโดนรีไทร์ คือเด็กมันไม่รู้เรื่องอะไรเลย เราต้องสอนทุกอย่างเอามาอบรมปฐมนิเทศเป็นรุ่นๆ”

“พอประชุมเสร็จก็ให้เลขาจดรหัสนักศึกษามาให้หมดทุกคน เพราะโกหกกันหมดไม่มีใครบอกเกรดจริง เราก็ต้องให้เลขานี่แหละตามเชคที่มหาวิทยาลัย จะต้องวางแผนให้หมดอะไรไหนเกรดน้อยต้องแก้ไขยังไงดี คิดให้หมดไม่ได้คิดแต่เรื่องละคร”

“คิดแม้กระทั่งชีวิตพวกเขาต่อไปจะทำอะไร จะเลือกทหารแล้วนะ ต้องทำยกเว้นไปทางมหาวิทยาลัย เราดูแลหมดทุกสิ่ง แม้แต่เรื่องกางเกงในไม่มีใครได้ซักเองนะ แม่บ้านซักให้หมดเลย แต่ตอนหลังเราก็เปลี่ยนกฎใหม่กางเกงในนี่ขอให้ซักเองหน่อยเหอะก็สอนเขาให้เขาเป็นบุคลากรที่ดี”

“คือเป็นดาราจะสวยหล่ออย่างเดียวไม่ได้ จะต้องเรียนหนังสือด้วย เรื่องนี้เราค่อนข้างชัดเจนเน้นเรื่องเด็กต้องเรียนหนังสือ มันไม่ได้แค่โปรไฟล์แต่เป็นเพราะคนเรียนเก่งนี่เขาจะเก่งไปหมดทุกอย่าง เขาจะขยันมีความรับผิดชอบสูงซึ่งมันจะส่งผลกับเรื่องงานด้วย ถ้าเขามีวินัยในการเรียนเขาก็จะมีวินัยในการทำงาน”


ปู ไปรยา นางเอกช่อง 7 นี่ก็ฝีมือ เอ ปั้นจนดัง
ธาวิน พระเอกช่อง 7
เวียร์ พระเอกช่อง 7 เคยอยู่บ้านซูเปอร์สตาร์ของ เอ มาก่อน
คุณสมบัติซูเปอร์สตาร์ ต้องสวยหล่อเสียงดีมีเสน่ห์ ถ้าไม่เวิร์กจับผ่า!

“เด็กที่เข้ามาอยู่กับเราไม่ใช่ว่าจะเป็นซูเปอร์สตาร์ทั้งหมด เราไม่ได้มีณเดชน์ ไม่ได้มีเวียร์ ไม่ได้มีอั้ม ไม่ได้มีป๋อทุกวัน มันก็มีบางคนที่หลุดไปเป็นตัวสองตัวสาม แต่เด็กทุกคนมีงาน เพราะการเลือกเด็กก็มีเหมือนการสอบเอนทรานซ์ เราได้เลือกคนที่คิดว่าใช่ไว้แล้วฉะนั้นจะต้องมีงาน เมื่อคุณได้เข้ามาในเอ ศุภชัยแล้วก็แปลว่าคุณจะต้องมีอนาคต อย่างน้อยก็ต้องเลี้ยงตัวเองได้”

ความเป็นซูเปอร์สตาร์นี่ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ อย่างแรกที่เราจะมองก็คือ หน้าตาจะต้องสวยและนิสัยจะต้องดี อย่างจมูกนี่ต้องสวย ฟันต้องสวย ปากต้องสวย เสียงเนี่ยต้องมีเอกลักษณ์จะต้องเพราะ เสียงต้องมีเสน่ห์ต้องหวานต้องกังวานฟังแล้วต้องจับใจ ถ้าเสียงเหมือนลูกเป็ดนี่จบเลยนะ เราไม่เอาเลยนะ”

คือถ้าได้หมดแล้วขาดเสียง เราจะพาไปผ่าเส้นเสียงใหม่ทันที เราจะมีหมอผ่าเส้นเสียงโดยเฉพาะใช้บริการประจำ(หัวเราะ) คือถ้าเสียงไม่ไหวนี่เราจะบอกเด็กเลยว่า มานี่มึงมาเลยกูจะพาไปผ่าเสียงพรุ่งนี้ เรื่องเสียงนี่สำคัญเท่าไหร่เท่ากัน เพราะถ้าฟังแล้วมันน่ารำคาญมันแหวะต้องจัดการเลย มึงเตรียมตัวตายด้วยการผ่าเส้นเสียงเลย”

ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นนักร้องแต่เสียงนี่สำคัญมากนะ บางคนพูดเสียงแอ๊บอยู่นั่นแหละ เราก็จะทำไมหรอ ตดไม่หมดเหรอ(หัวเราะ) ก็จะไล่ให้ไปหัดออกเสียง เวลาเข้าห้องน้ำตอนนั่งอึไปเอาหนังสือพิมพ์มาอ่านสิ อ่านให้มันดังๆ อ้าปากกว้างๆ อย่าทำเหมือนอมอะไรเอาไว้ไม่กล้าอ้าออกมา ทีทำอย่างอื่นล่ะอ้ากว้างเชียว”(หัวเราะ)

“เราก็จะแกล้งด่าเด็กมันไป แต่บางกรณีก็แก้ไขได้ไม่ต้องผ่าเราก็จะส่งไปเรียนออกเสียงกับครูรุเป็นครูที่อักษรจุฬาฯ บางคนก็ส่งไปเรียนกับครูเจี๊ยบ นนทิยา บางครั้งก็เรียกครูมาสอนที่บ้านเลยก็มี รู้ว่ามันไม่ได้แก้ไขได้ง่ายๆ ถ้าต้องทำเป็นปีสองปีก็ต้องทำเราต้องทำให้มันดี”

ลงทุนศัลยกรรมทีเป็นล้าน
“เรื่องศัลยกรรมนี่ถ้ามีความจำเป็นก็จะต้องทำ บางคนปากไม่สวยก็จะพาไปทำ แต่เราก็ต้องคิดตั้งแต่เจอเขาครั้งแรกแล้วว่า ปากเขาไม่สวยจะมีโอกาสเป็นไปได้ไหม ถ้าเป็นไปไม่ได้เราก็ต้องไม่เอา แต่ถ้าเสียแค่ปากอย่างเดียวก็ต้องเอามาปรับปรุง”

“อย่างบางคนปากตกก็ต้องเอามาฝึกกล้ามเนื้อปาก เวลาพูดนี่มันเป็นสละอีไหม มันจะต้องหงายไม่ใช่คว่ำ คนเราเวลาดูละครเนี่ยเขาดูหมด ต้องดูทั้งปากทั้งจมูกทั้งตา หน้าผากโหนกหน้าผากต้องสวย หน้าผากนี่ก็สำคัญนะ หน้าผากสวยก็สวยเลยนะ”

โดยเฉพาะตานี่จะต้องสวยต้องวาววับมีประกาย ดูแล้วต้องมีเสน่ห์มีเซ็กซ์ แอพพีลไม่ใช่ตาแบ๊วแต่ไม่มีความรู้สึกก็ไม่เอา ดูแล้วต้องมีเสน่ห์เห็นแล้วอยากเก็บไว้ที่บ้าน ไม่ใช่เห็นแล้วอยากติดไว้ฝาผนังอย่างเดียวและก็มองข้ามไป”

“คือดาราเนี่ยจะต้องมีสองดักคือ ดักตาและก็ดักใจ ดักตาคือมองปุ๊บตาจะต้องหยุดที่เธอ แต่บางคนมองแล้วตาหยุดอยู่ที่เธอแต่ใจไม่หยุดอยู่ที่เธอก็ไม่ได้นะ ตาหยุดที่เธอใจก็ต้องหยุดตรงนั้นด้วย เหมือนเรามองผู้ชายพอมองแล้วหันไปมองคนอื่นต่อแสดงว่าคนๆ นั้นไม่สามารถสะกดใจให้เราอยู่กับที่ได้ ยังมีเสน่ห์ไม่พอ การที่คุณดักได้ทั้งตาและใจจะต้องเป็นแบบ เห็นตาปุ๊บแล้วต้องหยุดใจก็ต้องหยุดตรงนั้น ซึ่งคนแบบนี้มันหายากซูเปอร์สตาร์จะต้องเป็นแบบนี้”

“เราจะต้องหาคนให้ได้แบบนี้ ถ้าจะให้ศัลยกรรมทุกคนมันไม่ไหว การลงทุนมันเป็นสิ่งที่เสี่ยงและลงทุนมาก ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เราจะไม่เลือกเอาคนที่จะต้องมาทำศัลยกรรม เพราะเกิดทำมาไม่สวยกูก็เจ๊งพอดีเพราะมันลงทุนไม่น้อยนะ ศัลยกรรมที่นึงหมดไปเกือบล้านนะ ของเราไม่ได้ทำแบบทีละแสนสองแสนหรือหลักหมื่นนะ เพราะถ้าทำทีนึงเราเอาไปทำที่เกาหลีเลย ทำเว่อร์ไปเลยฉะนั้นมันเสี่ยง”

“แต่ที่ต้องศัลยกรรมก็คือ พาไปดูดวงแล้วหมดบอกว่า ต้องทำจมูกนิดนึงนะเสริมโหงวเฮ้ง คือการทำศัลยกรรมมันคือการลงทุนนะครับ อย่างเกาหลีนี่เขามีให้ทำเยอะมาก ทั้งตอกทั้งเลาะแต่ถ้าทำไปแล้วไม่ดังเราก็เจ๊งนะ เราก็เหมือนเป็นนักธุรกิจทำอะไรก็ต้องไม่ขาดทุน เราต้องเลือกคนที่ดีที่สุดและมีเสน่ห์อาจจะต้องมีบางส่วนที่ต้องเอาไปฝึกหรือแก้ไขนิดหน่อยเท่านั้น”

“ตอนนี้เราก็มีร้านประจำในโซลคุณหมอค่อนข้างสนิทกันกลายเป็นเพื่อนซี้กันไปแล้ว เป็นหมออันดับหนึ่งของโลก สำหรับในเมืองไทยก็มีที่ประจำเหมือนกัน จะเป็นแบบแก้ไขตานิดหน่อย ถ้าใครตาตกถุงใต้ตาเยอะก็ต้องแก้ไข แต่ไม่ได้ส่งเสริมให้คนไปทำศัลยกรรม ถ้าทำแล้วมันดีต่อสุขภาพร่างกายมันดีต่อสายงานก็ทำ อย่างดาราอยู่กับของพวกนี้เขาก็ต้องดูแลตัวเอง”

เป็นดาราต้องเลิศ ! ลงทุนจ้างสไตล์ลิสต์เมืองนอกมาประจำตัวดารา
“เรื่องหน้าอกสำหรับเด็กของเอ ศุภชัยไม่จำเป็นต้องตู้ม แต่คนมักจะมองข้ามว่า อั้มหน้าอกโตก็เลยอยากหน้าอกโตแบบอั้ม แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ว่าคนที่หน้าอกโตแล้วจะดังทุกคนนะ อย่างอั้มเนี่ยเขาก็แอ็คติ้งเก่ง เล่นละครก็ดัง คือมันต้องเก่งด้วย แต่งตัวโป๊แต่โง่ก็ไม่ดังนะ ดารารุ่นพี่อี๊ด เพชราเขาก็ไม่ได้โชว์หน้าอกนะ มันอยู่ที่คาแร็คเตอร์ของแต่ละคน”

“คือถ้าหน้าเรียบร้อยแล้วไปทำหน้าอกโตมันออกมาแตกต่างกันเองมันก็ตาย เรื่องหน้าอกไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับเราแต่ขอให้ใส่เสื้อผ้าสวย การแต่งตัวเป็นสิ่งสำคัญ ทุกวันนี้ก็จะช่วยกันออกแบบซื้อหนังสือของเมืองนอกมาอัพเดทตลอด จะต้องแต่งให้ถูกกาลเทศะด้วย และต้องให้เข้ากับตัวเด็กด้วย บางทีก็ต้องจ้างสไตล์ลิสต์มาดูให้”

“อย่างน้องฉัตรตอนที่เล่นละครใต้ฟ้าตะวันเดียวกัน จะมีลุคส์นักแสดงสไตล์เกาหลี มีช่วงหนึ่งเราก็จะจ้างสไตล์ลิสต์ของเกาหลีมาเลย มาดูเรื่องเสื้อผ้ามาซื้อเสื้อผ้าให้เราซื้อไอเดียเขาเสื้อผ้าหน้าผม ก็ซื้อเขาซัก 6 เดือน พอเราเริ่มรู้ทางก็พอแล้วก็ให้เขากลับแล้วเราก็ทำต่อเลย”

อย่างเวลาออกงานนี่ก็ต้องจ้างสไตล์ลิสต์มาช่วยดู เพราะเด็กเรามีเยอะดูไม่ไหวคิดให้ไม่ทัน แต่อย่างอั้มไม่ต้องไปดูให้เขาเพราะเขาเป็นตัวแม่ มีแต่เขานี่แหละมาช่วยดูให้ อั้มเขาก็จะคอยเตือน อย่างตอนที่มีข่าวว่าเราถือกระเป๋าของปลอมแล้วร้องไห้เพราะเราซื้อของจริงมาแทบตาย อั้มก็จะแบบก็สมควรที่ร้องไห้นะพี่เอนะเพราะมึงถืออะไรก็ดูเป็นของปลอม”(หัวเราะ)

“ก็จะปรึกษาอั้มตลอด บางทีก็โทรไปถามน้องคนนี้ควรแต่งตัวยังไง อั้มก็จะแบบไม่อยากทำตัวเป็นผู้รู้แต่ก็จะช่วยออกไอเดีย อั้มเขาเก่งนะไปเดินเกาหลีกับเขาก็จะแบบเธอจะต้องเอาอันนี้นะไปทำเป็นแบบนี้ ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาไอเดียบรรเจิด”

อยากดังไม่จำเป็นต้องฉาว แต่บางทีเด็กมันแรงจัดเอง
“เราจะสอนตลอดว่า อย่าคิดว่าตัวเองเป็นดาราต้องคิดว่าตัวเองเป็นนักแสดง ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน เจอใครก็แล้วถึงคนนั้นจะคิดว่าอายุน้อยกว่าหรือมากกว่า ถ้าเขาไม่ไหว้เราเราต้องแย่งไหว้เขา เราต้องมีความเป็นมิตรกับเขา การที่จะได้ใจเขาจะต้องให้ใจเขาก่อนจะสอนเรื่องพวกนี้ตลอดเวลา แต่อยู่ที่น้องๆ จะทำได้แค่ไหน”

“การวางตัวเราจะสอนวันเดียวไม่ได้ ต้องสอนตั้งแต่วันที่เข้ามาทำงานกับเรา และก็ต้องคอยเชคพฤติกรรม เพราะถ้าได้ยินกระแสมาว่า คนนี้เปลี่ยนไปนะ เราก็จะคอยสืบละว่าเขาวางตัวยังไง ก็จะเรียกเด็กเรามาตักเตือน และเตือนแม้กระทั่งผู้ดูแลนักแสดงของเรา”

“โดยเฉพาะการดังด้วยข่าวฉาวต้องระวัง มันเกิดง่ายแต่ดังด้วยผลงานจะอยู่ได้นานกว่า ดังด้วยข่าวฉาวก็ได้อีเว้นท์ไม่เกิน 5 งาน แต่คุณจะอยู่แค่ 5 งานหรอ หรือจะอยู่อีก 50 ปีในวงการบันเทิง ค่าของคนมันอยู่ที่ผลของงาน ประชาชนเขาจะเสฟคุณที่ความสามารถ ถ้าคุณมีความสามารถแสดงเก่งแอ็คติ้งเก่งก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีอย่าปล่อยให้ตัวเองโทรม ถ้าคุณเดินไปกับพี่เอที่ไหน แล้วคนมองพี่เอกว่าคุณจะต้องพิจารณาตัวเองแล้ว เพราะคุณคือสตาร์นะแต่เราคือผู้จัดการ”

เรื่องการจัดฉากเราไม่ทำเพราะอย่างที่บอกว่าอยู่ไม่นาน ยกเว้นซะแต่ว่าเด็กมันแรงเอง มันอยากเดินกับคนโน้นคนนี้ให้เป็นข่าว มันจัดของมันเองก็เลยโดนปาปารัสซี่ เรื่องบางเรื่องก็ห้ามกันยาก อย่างเด็กบางคนเอามาปั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่า มันแมนหรือไม่แมน บางเรื่องมันเป็นเรื่องส่วนตัวเราไม่มีเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจจับได้(เขาบอกว่าผีเห็นผีไง)เราก็อยากเห็นนะ แต่บางทีผีมันก็ปิดมิด เราคงต้องหาเครื่องจับเก้ง”(หัวเราะ)

“คือเอาอย่างนี้ดีกว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นหญิงเป็นชายหรือเป็นเก้งขอให้เขาทำความสุขให้กับประชาชนได้แค่นั้นก็ดีแล้ว โดยส่วนตัวถึงรู้ว่าเขาไม่แมนเราก็ไม่รังเกียจมันน่ารักดีออก เดี๋ยวนี้พวกผู้หญิงชอบเก้งเยอะนะครับ กะเทยก็ชอบเก้ง เรายังอยากปั้นเก้งซักตัวสองตัวเลย มันเป็นตลาดใหม่ที่คนชอบ”

“เพื่อนผู้หญิงเราเดี๋ยวนี้จะแปลกเห็นผู้ชายไม่ชอบเหม็น แต่พอเห็นผู้ชายที่แต่งตัวเนี้ยบๆ ดูเป็นเกย์ๆ เก้งๆ ชอบกรี๊ดใหญ่ดูสะอาด อันนี้เราตั้งใจไว้ว่าอยากจะบุกเบิกตลาดนี้ไว้แต่มันไม่มีใครกล้าเปิดตัว ว่าจะเอาน้ำสาดให้เก้งแตกซักที(หัวเราะ) อยากมากอยากได้เก้งน้อยหล่อๆ น่ารักเป็นขวัญใจผู้หญิงผู้ชาย”

“อนาคตก็คงอยากจะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพราะเห็นเด็กๆ เขาก้าวไปข้างหน้าได้ดีเราก็ดีใจ ถึงวันหนึ่งที่เขาอาจจะไปโตที่ไหนหรือไม่ได้อยู่กับเรา แต่เราก็มองเขาอยู่ห่างๆ แล้วรู้สึกภูมิใจ เมื่อวานก็มีน้องๆ มานั่งคุยที่นี่(ร้านเสื้อผ้า) มานั่งคุยให้เราฟังว่า พี่เอหนูจะซื้อบ้านแล้วนะ 6 ล้าน หนูจะซื้อนั่นซื้อนี่แล้วนะ เราฟังแล้วมันภูมิใจน่ะ ก็บอกเขาไปว่า ดีแล้วต้องซื้อไว้เผื่อพ่อแม่ท่านมาอยู่ด้วยเวลาที่ขึ้นมากรุงเทพ บางคนก็ถามว่าจะซื้อคอนโดดีไหมพี่ เราดีใจที่เด็กๆ เขาได้มีอะไรเป็นของตัวเอง”

“บางคนบอกว่า หมากออกไปจากบ้านเอ ศุภชัย คนนั้นออกจากบ้านเอ ศุภชัย คือเรารู้สึกว่า บ้านนี้ไม่ใช่บ้านอนาถานะที่จะเลี้ยงเด็กไว้ตลอดชีวิต พอรุ่นนี้จบประสบความสำเร็จก็ต้องมีรุ่นใหม่ๆ เข้ามา การให้โอกาสคนมันก็เหมือนโรงเรียนพอเรียนจบยืนได้ด้วยขาตัวเองแล้ว ก็ต้องให้โอกาสน้องใหม่ๆ ได้เข้ามาอยู่”

“กำหนดกฏเกณฑ์ในการออกจากบ้านนี้ก็คือ ถ้าคุณมีเงินเมื่อไหร่ก็ออกไปได้ ในข่าวบอกว่ามี 10 ล้านออกได้จริงๆ ก็ใช่ แต่ถ้ามีน้อยกว่านี้แต่เขาสามารถซื้อบ้านได้แล้วก็ออกไปได้ แต่ถ้าไม่มีก็อยู่กับเราต่อไปได้ ทุกวันนี้ ณเดชน์ก็ยังอยู่ทั้งที่จริงๆ ณเดชน์น่าจะออกคนแรกด้วยซ้ำเพราะรายได้เยอะแล้ว แต่เขาบอกมันอบอุ่นดีอยู่กับพี่เอ บ้านก็ไม่ต้องเช่าข้าวก็ไม่ต้องซื้อ น้ำไฟไม่ต้องเสีย”(หัวเราะ)

“บ้านเรามันเหมือนต้นไม้เหมือนรังนก ถ้านกตัวไหนโตแล้วอยากจะบินไปหากินไปสร้างรังที่ต้นไม้อื่นก็ได้ แต่ถ้าคุณไปสร้างรังที่ต้นไม้อื่นแล้วอยู่ไม่ได้ รังนี้ก็พร้อมที่จะให้คุณกลับมาได้ตลอดเวลา นี่เป็นสิ่งที่เราบอกกับเด็กทุกคนไว้ตลอดเวลา”



หมาก ปริญ เคยอยู่บ้านซูเปอร์สตาร์ของ เอ จนได้ดีเป็นพระเอกถึงได้ไปซื้อบ้านย้ายออกไป
ใหม่ ดาวิกา นางเอกใหม่ช่อง 7 ที่กำลังมาแรงมีละครจ่อ 5 เรื่อง
ณเดชน์ พระเอกช่อง3 ปัจจุบันยังอยู่บ้านซูเปอร์สตาร์ของ เอ ทั้งที่ดังระเบิดมีเงินหลายล้าน
กำลังโหลดความคิดเห็น