xs
xsm
sm
md
lg

“Jamiroquai” นายยัง(เก๋าเจ๋ง)เหมือนเดิม/บอน บอระเพ็ด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : บอน บอระเพ็ด (skbon109@hotmail.com)
ปกหน้า อัลบั้ม Rock Dust Light Star
“เอซิดแจ๊ซ” (Acid jazz) ถือกำเนิดขึ้นมาทะลุทะลวงหูชาวโลกอย่างเป็นทางการในช่วงปลายทศวรรษที่ 80’s โดยแรงมาจากทางฝั่งอังกฤษ ก่อนจะข้ามฟากไปโด่งดังในฝั่งอเมริกา

เอซิดแจ๊ซ เป็นดนตรีอีกแขนงหนึ่งในสายพันธุ์ดนตรี“แจ๊ซ”ที่ผสมความหลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งแจ๊ซ โซล ฟังก์ ฮิป-ฮอป ดิสโก้ อิเลคทรอนิกาส์ และ ฯลฯ ตามแต่ที่นักดนตรีจะสร้างสรรค์ขึ้นมา

ในวงการเอซิดแจ๊ซ “จามิโรไคว์”(Jamiroquai)จัดเป็นวงดนตรีหัวหอกแถวหน้าระดับ“ตัวพ่อ”วงหนึ่ง ซึ่งได้รับความนิยมในเมืองไทยไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นวงต้นแบบให้บางวงในบ้านเราใช้เป็นแนวทางหรือเลียนแบบบ้างพอเหม็นปากเหม็นคอ

จามิโรไคว์ เป็นวงดนตรีจากอังกฤษ แจ้งเกิดในยุทธจักรวงการเพลงในปี ค.ศ. 1992 วงนี้มี“เจสัน เคย์”(Jason Kay) หรือ “เจย์ เคย์”(Jay Kay) ไอ้หนุ่มหัวแฉก(หมอชอบใส่หมวกประดับเป็นแฉกๆ) จอมซ่าปากจัด ผู้หลงใหลใน สตีวี่ วันเดอร์ เป็นขุนพลหลัก ซึ่งนอกจากจะเป็นนักร้องนำต้นเสียงของวงแล้ว ยังเป็นคนแต่งเพลง มือเรียบเรียง และตัวกระฉูดไอเดียของวงอีกด้วย ในขณะที่สมาชิกนักดนตรีคนอืนๆนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่หลายครั้งพอดู

มีเรื่องเล่าว่า เจย์ เคย์ ก่อนที่จะมาตั้งวงจามิโรไคว์ หมอเคยเข้าไปสมัครเป็นนักร้องนำวง The Brand New Heavies (อีกหนึ่งวงดนตรีหัวหอกในแนวเอซิดแจ๊ซ) แต่ปรากฏว่าได้รับการปฏิเสธต้องกลับมาหลบเลียแผลใจ ก่อนจะรวบรวมพลังลมปราณสร้างวงจามิโรไคว์ขึ้นมา

และด้วยสไตล์ดนตรีโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เนื้อหาคมเข้มอุดมไปด้วยทัศนคติทางสังคม การเมือง ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมที่ชวนฟัง รวมถึงไอเดียอันสุดบรรเจิดในการสร้างสรรค์บทเพลงและ MV ที่จามิโรไคว์“ครีเอท” ความประหลาด ความเพี้ยน ความเซอร์ ออกมาก่อน “เลดี้ กาก้า”เสียอีก(แต่ก็ไม่เพี้ยนถึงขนาดใส่ยกทรงไปเต้นโยกย้ายส่ายก้นดึ๋งๆในคุกเหมือนแม่น้องนางเลดี้ กาก้า) ส่งผลให้วงนี้ผงาดขึ้นมาเป็นวงเอซิดแจ๊ซชั้นนำของโลกได้อย่างไม่ยากเย็น

เกือบ 20 ปีที่วาดลวดลายในยุทธจักรวงการเพลง จามิโรไคว์มีผลงานสตูดิโออัลบั้มออกมา 6 ชุดด้วยกัน นำโดย “Emergency On Planet Earth”(1993) ผลงานชุดแรกที่เปิดตัวได้อย่างแร๊งส์และเริ่ดหรู ในขณะที่ผลงานชุดที่สาม “Travelling Without Moving”(1996) ได้รับคำยกย่องว่าเป็นหนึ่งในงานที่ดีสุด คว้าไปทั้งชื่อเสียง กล่อง และยอดขาย

กระทั่งในช่วงปลายปีที่แล้ว จามิโรไคว์กลับมาเขย่าวงการอีกครั้งหลังจากทิ้งช่วงจากชุดที่หก“Dynamite”(2005) ห่างหายจากสตูดิโออัลบั้มไปนานร่วม 5 ปี ด้วยผลงาน “Rock Dust Light Star”

การกลับมาครั้งนี้ของจามิโรไคว์ นำโดย เจย์ เคย์ แหกปากร้องนำ ส่วนสมาชิกหลักของวงคนอื่นๆได้แก่ Rob Harris : ขยี้สายกีตาร์ Paul Turner : ทึ้งเบส(โคตรเจ๋ง) Matt Johnson : คีย์บอร์ดDerrick McKenzie : หวดกลอง Sola Akingbola : เพอร์คัสชัน ร่วมด้วยทีมคอรัสและทีมเครื่องเป่า เครื่องสายที่มาช่วยเสริมเติมแต่งสีสันในอีกหลายบทเพลงให้น่าฟังมากขึ้น

Rock Dust Light Star ใช้เวลาบันทึกเสียงอยู่ร่วม 2 ปี ด้วยวิธีบันทึกเสียงแบบ“อัดสด” เล่นเครื่องดนตรีสดๆกันจริงๆ ไม่ใช้โปรแกรมสร้างสังเคราะห์เลียนแบบเสียงดนตรีขึ้นมา แถมยังมีความพิเศษ(สำหรับแฟนเพลงคนไทย)ตรงที่ ผลงานส่วนหนึ่งเขาบันทึกเสียงในสตูดิโอย่านบัคกิ้งแฮมเชอร์ในอังกฤษ ที่ถือว่ามีเครื่องไม้เครื่องมือเจ๋งที่สุดในอังกฤษ ส่วนงานเพลงอีกส่วนหนึ่ง ฟังแล้วเซอร์ไพรส์มาก เพราะจามิโรไคว์ เลือกบันทึกเสียงในห้องอัดเมืองพัทยา ชลบุรี บ้านเรานี่เอง

เจย์ เคย์ บอกว่า ห้องอัดที่เมืองไทย อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยเทียบเท่าที่อังกฤษ แต่มีข้อดีกว่าตรงที่ ต้นทุนถูกกว่ามากมาย ทั้งค่าเช่าห้องอัด ค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกจากนี้บรรยากาศเมืองไทยก็น่าอยู่ ผู้คนน่ารัก

นอกจากนี้ที่พัทยายังมีบางสิ่งบางอย่างที่แม้เจย์ เคย์ ไม่ได้พูดถึง แต่ก็ถือว่าขึ้นชื่อในหมู่นักท่องเที่ยวฝรั่งเป็นอย่างดี นั่นก็คือ สาวประเภทสองที่สวยระดับจักรวาลปานนั้น และเจ้าช่อมาลี(ฮวนน่า) ที่ฝรั่งกลุ่มหนึ่ง(โดยเฉพาะพวกทำงานศิลปะ)มักจะชอบใช้วิธี Smoke on the water เพิ่มจินตนาการให้กับตัวเอง
ปกหลัง อัลบั้ม Rock Dust Light Star
สำหรับผลงานชุดนี้นอกจากมาอัดเสียงที่เมืองไทยแล้ว จามิโรไคว์ยังได้ย้ายค่ายจาก โซนี่ มิวสิค มาอยู่ที่ค่ายมวยแฟร์เท็กซ์ พัทยา เอ้ย!!! ไม่ใช่ พวกเขายังได้ย้ายไปพักพิงบ้านหลังใหม่ยังค่ายยูนิเวอร์แซล แต่นั่นหาได้ทำให้ทิศทางและแนวเพลงของวงเปลี่ยนไปไม่ พวกเขายังคงดนตรีแบบจามิโรไคว์ไว้เช่นดังเดิม

งานเพลงชุดนี้มีทั้งหมด 12 เพลงด้วยกัน หลายบทเพลงฟังแล้วเหมือนเหล้าเก่าในสลากใหม่ที่แม้จะห่างหายไปร่วม 5 ปี แต่ว่ารสชาติก็ยังคงชวนดื่มด้วยรสอันคุ้นเคยจากฝีมือการกลั่นอย่างบรรจงในแบบจามิโรไคว์

Rock Dust Light Star เปิดหัวด้วยเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม “Rock Dust Light Star” ที่ขึ้นต้นนำมาด้วยซาวนด์แปลกๆเหมือนตัวนักร้องนำ ก่อนส่งเข้าเพลงแบบสนุกๆ ไลน์กีตาร์ในเพลงนี้ที่เล่นเป็นแถวสองเจ๋งมาก ไม่เด่นเกิน แต่ว่าโดนอย่างแรง!!

แทรคที่สอง “White Knuckle Ride” เป็นดิสโก้ร่วมสมัยโชว์เสียงสังเคราะห์มากหน่อย ต่ออารมณ์กันด้วย “Smoke and Mirrors” ขึ้นต้นในอารมณ์แจ๊ซบางๆ เจย์ เคย์ร้องจั่วหัวชวนให้นึกถึง อัล จาร์โร ชะมัด เพลงนี้ให้อารมณ์สนุกๆไปต่างจาก 2 เพลงแรก แต่ฟังมีสีสันแตกต่างด้วยเสียงแซกโซโฟนที่มาเป่าเสริมเติมสอด ก่อนปลดปล่อยอย่างเมามันในช่วงโซโลท้ายเพลง แล้วส่งต่อด้วย “All Good in the Hood” มาในอารมณ์ใกล้เคียงกับ Smoke

“Hurtin” เพลงนี้ฟังแตกต่างกว่าใครเพื่อน เสียงร้องคลอเคล้าไปกับริฟฟ์กีตาร์แตกๆในซาวนด์ฮาร์ดร็อคร่วมสมัยที่ไม่หนักกะโหลกและดิบจนเกินไป ถือเป็นความพยายามสอดแทรกความแปลกใหม่เข้ามาในซุ่มเสียงแบบจามิโรไคว์

ทีนี้ก็มาถึงเพลงไฮไลท์และเพลงขายของวงอย่าง “Blue Skies” บัลลาดเริงร่าที่มาในจังหวะไม่เนิบช้าเกินไป มีไลน์เครื่องสายเล่นประสานอุ้มอย่างหนาแน่นแต่ไม่ล้นทะลัก เข้ากันได้ดีกับเสียงร้องของเจย์ เคย์ที่มาแบบสบายๆ แต่ฟังสะดิ้งได้ใจเป็นบ้า นับเป็นเพลงเพราะๆมากกึ๋นอีกเพลงหนึ่ง

ถัดมาเป็น “Lifeline” ที่มาในแบบคึกคักและเต็มแน่นทั้งไลน์เครื่องสาย เครื่องเป่า ส่วน “She's a Fast Persuader” “Two Completely Different Things” “Goodbye to My Dancer” ยังคงเป็นซุ่มเสียงแบบจามิโรไคว์ในอารมณ์สนุกๆมันๆ ให้แฟนานุเพลงของวงนี้ได้หายคิดถึงกัน

จากนั้นเป็นการเบรกอารมณ์กันด้วย “Never Gonna Be Another” บัลลาดช้าๆฟังล่องลอย แต่ฟังแล้วสู้ Blue Skies ส่วนเพลงปิดท้าย “Hey Floyd” ช่วงแรกของเพลงโชว์เพอร์คัสชั่นแบบพองาม ก่อนส่งท่อนต่อมาด้วยเร็กเก้และโซลสนุกๆ ให้“พอล”มือเบสที่แม้จะไม่โด่งดังเท่าเจ้าหมึกพอลผู้ลาลับ ได้โชว์ลีลาการทึ้งเบสเจ๋งๆ ส่งท้ายกัน

12 เพลงของ Rock Dust Light Star ผ่านพ้นไป แต่สรรพเสียงของจามิโรไคว์ในงานเพลงชุดนี้ยังไม่สิ้นสุดลง เพราะวงนี้เขามีโบนัสแทรคที่อาจหาฟังไม่ได้ในแผ่นผีแถมให้อีกถึง 6 เพลง ประกอบด้วย 4 เพลงจากอัลบั้มชุดนี้ได้แก่ “All Good in the Hood”(Acoustic Version),“Rock Dust Light Star”(Live(Version) at Paleo),“White Knuckle Ride”(Alan Braxe Remix),“Blue Skies”(Fred Falke Remix) และอีก 2 เพลงที่ไม่อยู่ในอัลบั้มชุดนี้ได้แก่ “Angeline” กับ “Hang It Over”

โบนัสแทรคทั้ง 6 เพลง ให้อารมณ์ที่แปลกแตกต่างไปจากต้นตำรับ อาทิ All Good in the Hood ที่แม้จะฟังไม่ค่อยเป็นอะคูสติกเท่าไหร่ แต่เป็นฟังค์กี้เครื่องดนตรีน้อยชิ้นในจังหวะขัดๆที่ชวนให้ขยับหัวตาม Hang It Over เพลงมันๆ มีไลน์ของเครื่องเป่า แบนโจ มาเล่นหยอกล้อกันอยู่ในแถวสอง ช่วยสร้างสีสันในอารมณ์นิวออร์ลีนแจ๊ซที่น่าฟังยิ่ง ในขณะที่ Blue Skies นั้น อารมณ์บัลลาดถูกถีบทิ้งไปกลายเป็นเพลงแดนซ์เบสตึ้บๆ ที่ขาแดนซ์ ขาเธค น่าจะชอบใจกัน

และนั่นก็คือสรรพเสียงแห่ง Rock Dust Light Star งานเพลงชุดใหม่จาก“จามิโรไคว์” หัวหอกเอซิดแจ๊ซ ที่ชุดนี้ยังคงโดดเด่นไปด้วยดนตรีลูกผสมหลากหลายแต่กลมกลืน เพียงแต่ว่าลดดีกรีความห้าวเหิมลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น หันมาตกผลึกทำดนตรีที่สุขุมลุ่มลึก พร้อมทั้งไม่ลืมจะใส่ความเก๋าและเจ๋งลงไป ตามสูตรสำเร็จของหลายๆวงที่เริ่มแก่ตัวลง(ปีนี้เจย์ เคย์ ได้เดินทางผ่านหลักสี่เข้าสู่ดอนเมืองแล้ว)

เข้าทำนองมะพร้าวห้าว ยิ่งแก่ยิ่งมัน แถมยังเตะปี๊บบุบอีกต่างหาก
*****************************************

คลิกฟังตัวอย่างเพลงของ Jamiroquai ได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=Dg7E9wEQVOA

*****************************************

แกะกล่อง

ศิลปิน : Kenny G
อัลบั้ม : Heart And Soul

Heart and Soul อัลบั้มชุดใหม่(ชุดที่ 13 ) ของ เคนนี่ จี นักเป่าแซกโซโฟนที่ขึ้นชื่อในเรื่องความหวานหยดย้อยกับแนวทางสมูธแจ๊ซอันเป็นเป็นเอกลักษณ์

ผลงานชุดนี้เคนนี่ จี ไม่ตกกระแสการฟีเจอร์ริ่งที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกด้วยการชวน Robin Thicke มาร่วมร้องฟีเจอร์ริ่ง ในเพลง Fall Again และชวน Babyface มาร้องใน No Place Like Home ในขณะที่เพลงอื่นๆส่วนใหญ่ยังคงไว้ด้วยความหวานพลิ้วเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็น “Heart & Soul” “The Promise” “My Devotion” เป็นต้น อย่างไรก็ดีเคนนี่ จี ยังมีเพลงสนุกๆ เพลงในจังหวะกระชับๆ อย่าง “Déjà vu” “G-Walkin'” และ “Encore” เอาไว้แก้เลี่ยนบ้าง

สำหรับแฟนเพลงเคนนี่ จี นี่คงเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ช่วยให้หายคิดถึง แต่สำหรับผู้ที่อยากฟังเพลงแจ๊ซร่วมสมัยที่เข้มข้น ซับซ้อน เห็นทีคงต้องผ่านชุดนี้ไป
*****************************************

คอนเสิร์ต

ละครเพลง คลีโอพัตรา : Cleopatra The Musical อำนาจหรือความรัก....

สาขาวิชาธุรกิจดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดคอนเสิร์ตละครเพลง “Cleopatra The Musical” นำเสนอเรื่องราวของราชินีผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์ ความสัมพันธ์ของพระนางกับชู้รักต่างวัย จูเลียต ซีซาร์ และมาร์ค แอนโทนี เป็นไปเพื่ออำนาจหรือความรัก

เรื่องราวทั้งหมดถูกเรียงร้อยผ่านบทเพลงประพันธ์โดยนักศึกษาสาขาประพันธ์เพลง ซึ่งหนึ่งในนั้นเพิ่งได้รับรางวัลที่ 1 Young Thai Artist Award 2010 สาขาประพันธ์เพลงมาสดๆ ร้อนๆ การแสดงจะเป็นรูปแบบคอนเสิร์ตละครเพลง ประกอบวงออร์เคสตร้าบรรเลงสด กำกับการแสดงโดย ภัทรสุดา อนุมานราชธน ผู้กำกับมืออาชีพที่ ผลงานเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับละครเพลง“Cleopatra The Musical” มีการเปิดแสดง 6 รอบ ณ หอแสดงดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่วันที่ 12 - 15 มกราคม 2554 เวลา 19.00น. และรอบพิเศษวันที่ 12 และ 15 มกราคม 2554 เวลา 14.00 น. บัตรราคา 250/350/500/1000 บาท

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่ 083-2388917, 085-559-6524, 089-831-3984 หรือ www.music.mahidol.ac.th, http://cleopatra-the-musical.co.cc/
กำลังโหลดความคิดเห็น